.
จั่วหัวกระทู้แบบตีโค้งซะยาว....แต่จะพยายามเขียนให้สั้นๆ (ไม่รู้จะได้หรือเปล่า??) ไม่พูดพล่ามทำเพลงก็แล้วกันขอเริ่มที่ความยิ่งใหญ่ของตระกูลบุนนาคที่แม้องค์รัชกาลที่ห้าเคยมีพระราชหัถเลขาถึงราชโอรสในเรื่องนี้เช่นกัน ในระหว่างที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)สำเร็จราชการแทนพระองค์(ร.๕)นั้น ท่านเสนอให้พระองค์เจ้า ยอร์ชชวอชิงตัน(กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ)ขึ้นเป็น “วังหน้า” (องค์รัชทายาท)ในที่ประชุมที่มีพระเจ้าลูกและหลานยาเธอเข้าร่วมประชุม ซึ่งมีพระเจ้าบรมวงศืเธอ พระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ (ต้นตระกูลปราโมช)ยกมือไม่เห็นด้วย ด้วยเห็นว่าควรจะให้รัชกาลที่ห้า(ซึ่งยังทรงเยาว์วัยอยู่ตอนนั้น)ทรงแต่งตั้ง ทำให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ (ช่วง บุนนาค)ไม่พอใจ จึงย้อนกลับใส่พระองค์เจ้าปราโมชว่า “ที่ไม่ยอมนั้น หรือท่านต้องการจะเป็นเสียเอง” จากนั้นก็ไม่มีใครในทีประชุมกล้าขัดแย้ง.....องค์รัชทายาททีจะสืบราชบัลลังก์ต่อจากร.๕ องค์แรกก็คือ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ คิดดูเอายิ่งใหญ่ไม่ยิ่งใหญ่ แต่งตั้งองค์รัชทายาทท่ามกลางเชื้อพระวงศ์ได้โดยมีเสียงท้วงติงเพียงเสียงเดียวแต่เสียงนั้นก็โดนตะวาดกลับ ความจริงความยิ่งใหญ่ของสมเด็จเจ้าพระยาฯ (ช่วง บุนนาค)นี้ แผ่มาตั้งแต่สมัยร.๔ แหม่มแอนนาครูสอนภาษาอังกฤษของพระราชโอรสและธิดาก็เคยพูดถึง
ระหว่างนั้นการเมือง “ภายใน” และ “ต่างประเทศ” (กับอังกฤษและฝรั่งเศส) ขเกลียวและเข้มข้นทีเดียว ซ้ายก็อังกฤษ ขวาก็ฝรั่งเศสจัองรุกคืบเอาอาณาเขต ร.๕ ก็ทรงพยายามรักษาสัมพันธไมตรีเอาไว้ไปเรื่อยๆ อังกฤษที่ครอบครองพม่าอยู่เริ่มแสดงทีท่าว่าจะฮุบเอาส่วนเหนืออย่างเชียงใหม่ เพราะกิจการไม้สักและค้าของป่าเริ่มทำรายได้ เกร็ดประวัติศาสตร์ (อันนี้ฟังหูไว้หูนะ)เล่าว่า สมเด็จพระนางวิคตอเรียแห่งอังกฤษมีพระราชประสงค์จะรับเอาเจ้าดารารัศมีเป็นธิดาบุญธรรม นัยว่าเพื่อปูทางอ้างสิทธิต่อล้านนา(อย่าลืมว่าเชียงใหม่ตอนนั้นยังไม่ถือว่าเป็นดินแดนสยามอย่างสิ้นเชิง) ตรงนี้มีคนตั้งข้อสังเกตุว่าการรับเอาเจ้าดารารัศมีมาเป็นพระราชวรชายาของพระพุทธเจ้าหลวง ร.๕ นั้นเป็นการเตะสกัดกุศโลบายของพระนางวิคตอเรีย (ย้ำ อันนี้ต้องฟังหูไว้หู)
ส่วนทางด้านฝรั่งเศสที่ครอบครองลาวและเวียดนามอยู่ก็จ้องและรอจังหวะจะรุกอาณาเขตทางอีสานเช่นกัน กบฏผีบุญที่ต้องการเอาผืนดินดีสานเขาไปอยู่ในอาณัติของฝรั่งเศสเกิดขึ้นถี่ และเกือบสำเร็จก็มีแต่ก็ถูกปราบลงหมด แต่...ไฮไลต์หรือผมจะเรียกว่า “ไม้ขีดก้านแรก” ทีจุดประกายไฟจนกลายเป็นวิกฤตลุกลามใหญ่โต จนทั้ง เราต้องเสียดินแดน จนพระพุทธเจ้าหลวงทรงล้มประชวร ทั้งสยามและฝรั่งเศสต้องประจันบานกัน แล้วดึงเอาอังกฤษเข้ามาร่วมวงด้วยนั้นก็คือการตายของข้าหลวงฝรั่งเศส ม. กรอสกรูแรง เมื่อวันที่๓ มิถุนายน รศ ๑๑๒ เป็น “วันเสียงปืนแตก” ของเหตุการณ์ “วิกฤต รศ ๑๑๒
เอาลูกไปโรงยิมก่อน เดี๋ยวกลับมา แล้วผมจะตีโค้งเข้าการเมืองภายในที่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มเข้ามายุ่มย่ามจนแทบจะเรียกได้ว่ามีอำนาจในการกำหนด “ชะตากรรม” ประเทศไทยเลยก็ว่าได้ แล้วตบท้ายที่เ รื่องคลองคอดกระ ที่อาจจะมีส่วนต่อเนื่อง
ปล. พิมพ์ผิดพลาด หรือตกๆ หล่นๆ ก็ขออภัย แบบว่าร่ายกันสดๆ น่ะครับ
การเมืองในและระหว่างประเทศช่วงสมัยร.๕ ....มาลงเอยคลองคอคอดกระ(ได้อย่างไร??)
จั่วหัวกระทู้แบบตีโค้งซะยาว....แต่จะพยายามเขียนให้สั้นๆ (ไม่รู้จะได้หรือเปล่า??) ไม่พูดพล่ามทำเพลงก็แล้วกันขอเริ่มที่ความยิ่งใหญ่ของตระกูลบุนนาคที่แม้องค์รัชกาลที่ห้าเคยมีพระราชหัถเลขาถึงราชโอรสในเรื่องนี้เช่นกัน ในระหว่างที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)สำเร็จราชการแทนพระองค์(ร.๕)นั้น ท่านเสนอให้พระองค์เจ้า ยอร์ชชวอชิงตัน(กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ)ขึ้นเป็น “วังหน้า” (องค์รัชทายาท)ในที่ประชุมที่มีพระเจ้าลูกและหลานยาเธอเข้าร่วมประชุม ซึ่งมีพระเจ้าบรมวงศืเธอ พระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ (ต้นตระกูลปราโมช)ยกมือไม่เห็นด้วย ด้วยเห็นว่าควรจะให้รัชกาลที่ห้า(ซึ่งยังทรงเยาว์วัยอยู่ตอนนั้น)ทรงแต่งตั้ง ทำให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ (ช่วง บุนนาค)ไม่พอใจ จึงย้อนกลับใส่พระองค์เจ้าปราโมชว่า “ที่ไม่ยอมนั้น หรือท่านต้องการจะเป็นเสียเอง” จากนั้นก็ไม่มีใครในทีประชุมกล้าขัดแย้ง.....องค์รัชทายาททีจะสืบราชบัลลังก์ต่อจากร.๕ องค์แรกก็คือ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ คิดดูเอายิ่งใหญ่ไม่ยิ่งใหญ่ แต่งตั้งองค์รัชทายาทท่ามกลางเชื้อพระวงศ์ได้โดยมีเสียงท้วงติงเพียงเสียงเดียวแต่เสียงนั้นก็โดนตะวาดกลับ ความจริงความยิ่งใหญ่ของสมเด็จเจ้าพระยาฯ (ช่วง บุนนาค)นี้ แผ่มาตั้งแต่สมัยร.๔ แหม่มแอนนาครูสอนภาษาอังกฤษของพระราชโอรสและธิดาก็เคยพูดถึง
ระหว่างนั้นการเมือง “ภายใน” และ “ต่างประเทศ” (กับอังกฤษและฝรั่งเศส) ขเกลียวและเข้มข้นทีเดียว ซ้ายก็อังกฤษ ขวาก็ฝรั่งเศสจัองรุกคืบเอาอาณาเขต ร.๕ ก็ทรงพยายามรักษาสัมพันธไมตรีเอาไว้ไปเรื่อยๆ อังกฤษที่ครอบครองพม่าอยู่เริ่มแสดงทีท่าว่าจะฮุบเอาส่วนเหนืออย่างเชียงใหม่ เพราะกิจการไม้สักและค้าของป่าเริ่มทำรายได้ เกร็ดประวัติศาสตร์ (อันนี้ฟังหูไว้หูนะ)เล่าว่า สมเด็จพระนางวิคตอเรียแห่งอังกฤษมีพระราชประสงค์จะรับเอาเจ้าดารารัศมีเป็นธิดาบุญธรรม นัยว่าเพื่อปูทางอ้างสิทธิต่อล้านนา(อย่าลืมว่าเชียงใหม่ตอนนั้นยังไม่ถือว่าเป็นดินแดนสยามอย่างสิ้นเชิง) ตรงนี้มีคนตั้งข้อสังเกตุว่าการรับเอาเจ้าดารารัศมีมาเป็นพระราชวรชายาของพระพุทธเจ้าหลวง ร.๕ นั้นเป็นการเตะสกัดกุศโลบายของพระนางวิคตอเรีย (ย้ำ อันนี้ต้องฟังหูไว้หู)
ส่วนทางด้านฝรั่งเศสที่ครอบครองลาวและเวียดนามอยู่ก็จ้องและรอจังหวะจะรุกอาณาเขตทางอีสานเช่นกัน กบฏผีบุญที่ต้องการเอาผืนดินดีสานเขาไปอยู่ในอาณัติของฝรั่งเศสเกิดขึ้นถี่ และเกือบสำเร็จก็มีแต่ก็ถูกปราบลงหมด แต่...ไฮไลต์หรือผมจะเรียกว่า “ไม้ขีดก้านแรก” ทีจุดประกายไฟจนกลายเป็นวิกฤตลุกลามใหญ่โต จนทั้ง เราต้องเสียดินแดน จนพระพุทธเจ้าหลวงทรงล้มประชวร ทั้งสยามและฝรั่งเศสต้องประจันบานกัน แล้วดึงเอาอังกฤษเข้ามาร่วมวงด้วยนั้นก็คือการตายของข้าหลวงฝรั่งเศส ม. กรอสกรูแรง เมื่อวันที่๓ มิถุนายน รศ ๑๑๒ เป็น “วันเสียงปืนแตก” ของเหตุการณ์ “วิกฤต รศ ๑๑๒
เอาลูกไปโรงยิมก่อน เดี๋ยวกลับมา แล้วผมจะตีโค้งเข้าการเมืองภายในที่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มเข้ามายุ่มย่ามจนแทบจะเรียกได้ว่ามีอำนาจในการกำหนด “ชะตากรรม” ประเทศไทยเลยก็ว่าได้ แล้วตบท้ายที่เ รื่องคลองคอดกระ ที่อาจจะมีส่วนต่อเนื่อง
ปล. พิมพ์ผิดพลาด หรือตกๆ หล่นๆ ก็ขออภัย แบบว่าร่ายกันสดๆ น่ะครับ