มนุษยชาติได้รู้จัก HIV/AIDS มาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว สมัยก่อนโรคนี้เป็นที่รู้จักในรูปแบบของโรคระบาดที่ไม่รู้ต้นตอของเชื้อโรค เกิดการแพร่กระจายและคร่าชีวิตคนไปมากกว่า 30 ล้านคน จนถึงตอนนี้ ทุกปีเอดส์ยังคงฆ่าชาวอเมริกัน 8,000 คนอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ใต้ซาฮารา แอฟริกาดูจะยิ่งแย่ เพราะประชากรมากกว่า 15% ติดเชื้อเอดส์ ข้อเท็จจริงต่อไปนี้เป็นเรื่องน่าสนใจบางส่วนเกี่ยวกับโรคเอดส์
10. ต้นกำเนิด
เชื่อ HIV มีอยู่ 2 สายพันธุ์คือ HIV-1 (คาดว่าต้นกำเนิดมาจากลิงชิมแพนซี) และ HIV-2 (คาดว่ามาจากลิงสายพันธุ์แอฟริกาตัวเล็กตัวหนึ่ง) นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลากหลายสายพันธุ์ย่อย แต่สายพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดคือ HIV-1 ไวรัสนี้นอกจากจะจับตัวได้ยากแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนแปลง ปรับตัวและพัฒนาให้มีความแข็งแรงและทำให้จับตัวได้ยาก โดยเชื้อ HIV นี้มักเข้ามาทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ เติมโต กลายพันธุ์และพัฒนาจนมีความสามารถมาขึ้นด้วย
9. เคสแรก
เคสหรือกรณีศึกษาแรกที่ได้รับการยืนยันของการติดเชื้อเอดส์ในคนมาจากเมืองคินชาซา เมืองหลวงของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ได้รับการทดสอบจากเนื้อเยื่อตัวอย่างที่เก็บไว้ในปี 1959 สิบปีถัดมาได้พบผู้ติดเชื้อที่มีซูรีชื่อ นายโรเบิร์ต เรย์ฟอร์ด แพทย์เชื่อว่านายเรย์ฟอร์ดทำอาชีพเป็นผู้ชายขายบริการ ในปี 1977 ก็ได้พบเชื้อเอดส์ในแถบยุโรป เป็นกลาสีเรือชาวนอร์เวย์ชื่อ อาร์วิด โนว์ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานพบว่าเชื้อเอดส์เกิดขึ้นในยุโรปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย โดยคาดเดาจากการล้มป่วยด้วยโรคพีซีพีในเด็ก ซึ่งโรคนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นักวิจัยชาวดัชได้ติดตามผลและพบว่าการติดต่อน่าจะมาจากการใช้เข็มร่วมกัน แต่ที่น่าแปลกคือมีเด็กตายเพียงแค่ 1 ใน 3 ของผู้ที่ติดเชื้อเท่านั้น คาดว่าในช่วงนั้นเชื้อยังไม่ได้พัฒนาจนเหมือนเชื้อในปัจจุบัน
8. ผู้ป่วยหมายเลข 0
สจ๊วตสายการบินแคนาดาชื่อ Gaëtan Dugas ได้รับการเรียกถึงในชื่อ "Patient 0" ("ผู้ป่วยหมายเลข 0") ในงานวิจัยเกี่ยวกับเอดส์ในยุคแรกๆ ของ Dr. William Darrow แห่ง Centers for Disease Control หลายคนเชื่อว่า Dugas เป็นผู้ที่นำเชื้อเอชไอวีมายังอเมริกาเหนือ ซึ่งไม่เป็นความจริงเนื่องจากเชื้อเอชไอวีได้แพร่ระบาดอยู่แล้วก่อนที่ Dugas จะทำอาชีพนี้เสียอีก ข่าวลือนี้อาจมีที่มาจากหนังสือ And the Band Played On ของ Randy Shilts ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2530 (รวมถึงภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากหนังสือนี้ซึ่งกล่าวถึง Dugas ว่าเป็น Patient 0 ของโรคเอดส์) แต่ทั้งหนังสือและภาพยนตร์ก็ไม่ได้ระบุว่า Dugas เป็นคนแรกที่นำเชื้อเอชไอวีมาสู่อเมริกาเหนือ สาเหตุที่ Dugas ถูกเรียกว่าเป็น "Patient Zero" เนื่องจากมีคนจำนวนอย่างน้อย 40 คนจากที่ติดเชื้อเอชไอวี 248 คนในปี พ.ศ. 2526 ที่มีเพศสัมพันธ์กับ Dugas หรือคนที่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเขา
7. พรางตัว
ความน่ากลัวของไวรัสตัวนี้คือความสามารถในการหลบหลีกและทำลายภูมิคุ้มกัน เมื่อไวรัสเข้าสู่ระบบเชื้อจะพรางตัวในโมเลกุลน้ำตาลในคาโบไฮเดรต หลอกร่างกายว่าเป็นสารอาหาร แต่นักวิชาการเองก็ได้กล่าวว่าการค้นพบในเรื่องนี้อาจจะปรับใช้โมเลกุลของน้ำตาลเพื่อพัฒนาและใช้เป็นวัคซีนและกระตุ้นให้ร่างกายจดจำไวรัสและต่อสู้ได้
6. เหล่าเซเลบ
มีเหล่าคนดังจำนวนไม้อยู่ไม่น้อยที่พ่ายให้กับโรคเอดส์ ตั้งแต่ดาราเทนนิส อาร์เธอ แอช จนไปถึงนักร้องนำวงควีนอย่างเฟรดดี เมอร์คิวรี โดยคนดังเหล่านี้หลายคนติดเชื้อเพียงเพราะการถ่ายเลือดเท่านั้น ไม่ได้มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่นนักเขียนไซไฟชื่อดังอย่าง ไอแซค อาซิมอฟ ก็ได้รับเชื่อจากการทำผ่าตัดบายพาสเช่นกัน และยังมีข่าวดังเรื่องเซเลบเป็นเอดส์อย่าง เมจิก จอห์นสันที่เป็นคณะกรรมการในรายทีวีเกี่ยวกับกีฬาที่ไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นเอดส์เพราะเห็นเขาดูปกติและแข็งแรงดี นอกจากนี้ยังมีคนกล่าวอ้างว่าเขาใช้เงินสนับสนุนการทดลองยารักษาด้วย
5. เจตนาติดเชื้อ
อาวุธชีวภาพมีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้คนที่เป็นโรคติดต่ออย่างฝีดาษลอบเข้าไปแพร่เชื้อในค่ายของศัตรู จึงไม่น่าแปลกใจหากจะมีใครนำเอาเชื้อ HIV มาใช้เป็นอาวุธ คุกในแอฟริกาใต้ใช้ระบบฉีดเชื้อเอดส์เป็นการลงโทษพวกที่ไปข่มขืนคนอื่น ในกรณีอื่นๆ เช่นที่นิวยอร์ก นายนุชวาน วิลเลียมมีเพศสัมพันธ์กับหญิงนับไม่ถ้วน และหลังจากค้นพบว่าตัวเองติดเชื้อ HIV เขาก็ฉีดเชื้อโรคให้ผู้หญิงกว่า 14 คน รวมทั้งลูกของเขาเองก็เกิดมาติดเชื้อ HIV ด้วย ในปี 2010 เขาถูกจำคุกเพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อสังคม
4. ฮีโม โกบิน
มีตัวการ์ตูนไม่มากที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ ในปี 1988 ค่าย ดีซี คอมมิกซ์มีการเปิดตัว ฮีโม โกบิน แวมไพเลือดบวกมีที่แพร่เชื้อด้วยเชื้อ HIV ซึ่งตัวละครนี้มีการส่งต่อเชื้อไปที่ซุปเปอร์ฮีโร่เกย์ชื่อ เอ็กซ์ตราโน ก่อนที่ตัวเองจะตายด้วยเชื้อเอดส์ ตัวละครนี้ได้ปรากฏตัวแค่ตอนเดียว
3. ระบบภูมิคุ้มกัน
ในขณะที่ไม่มีใครรอดพ้นจาก HIV แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่สามารถทนและต้านทานได้มากกว่าคนอื่น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบการปรับตัวอย่างน้อย 2 แบบคือ ต่อต้านเชื้อตั้งแต่ต้น กับ คุม HIV ไม่ให้พัฒนากลายเป็น AIDS ในอย่างแรกนั้นเป็นการกลายพันธุ์ของยีนที่พบมากในแถบสแกนดิเนเวียน การกลายพันธุ์นี้เรียกว่า CCR5-delta 32 ซึ่งป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าสู่เซลล์ได้ ผลวิจัยกล่าวว่าการกลายพันธุ์นี้อาจจะเกิดช่วงของประวัติศาสตร์โรคระบาดในแถบยุโรปซึ่งครั้งหนึ่งผู้คนเคยมีผลบวก HIV ถ้าพวกเขาไม่ได้กินยาอย่างเยอะและไม่พ่ายให้กับเชื้อโรคเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนส่วนน้อยอยู่ดีที่มีภูมิคุ้มกันที่สามารถสู้กับเชื้อโรค คนกลุ่มนี้เรียกว่า กลุ่มผู้ควบคุม HIV ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้จะมีโปรตีนในเลือดที่ต่างออกไป ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ไวรัสถอยห่าง ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ยังคงดำเนินการวิจัยต่อไปในระดับจีโนมว่าทำไม HIV ถึงไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนกับคนอื่นๆ
2. กรณีเจฟฟรี บราวเซอร์
ปี 1984 เจฟฟรี บราวเซอร์ได้งานในบริษัทใหญ่อย่าง เบกเกอร์ แอนด์ แมคแคนซี แต่หลังจากที่เขามีอาการของโรคเอดส์และเนื้องอกให้ได้เห็น แจฟฟรีก็ได้รับปฏิกิริยาที่ต่างออกไปจากทั้งบอส ผู้ร่วมงาน จนในที่สุดก็โดนไล่ออกจากบริษัท นายบราวเซอร์จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลในนิวยอร์กข้อหาสิทธิเท่าเทียมของมนุษย์ คดีของเขาเรียกได้ว่าเป็นคดีเรื่องการกีดกันคนเป็น AIDS คดีแรกๆ ของประวัติศาสตร์กฎหมายเลยก็ว่าได้ การไต่สวนเริ่มเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 1987 แต่โชคร้ายที่นายบราวเซอร์อยู่รอดเพียงแค่ 2 เดือนหลังจากนั้น คดีนี้ยืดเยื้อถึง 6 ปี ในที่สุดศาลตัดสินว่าบริษัทเป็นฝ่ายผิด ต้องจ่ายค่าปรับ 500,000 ดอลล่าสหรัฐ และต้องจ่ายค่าเสียหายอื่นๆ ที่บราวเซอร์ควรได้รับแก่ครอบครัวด้วย เรื่องของนายบราวเซอร์ได้รับความสนใจจนถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่องฟินลาเดเฟีย นำแสดงโดนทอม แฮงค์ ทางค่ายหนังสัญญากับทางครอบครัวว่าจะให้ค่าตอบแทน แต่ผิดสัญญา ครอบครัวของนายบราวเซอร์จึงฟ้องและชนะความ อย่างไรก็ดีหนังเรื่องนี้ยังคงได้รับเสียงตอบรับและรางวัลมากมาย รวมทั้งรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วย
1. ตามหายารักษา
จะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นทุกครั้งพอมีข่าวเกี่ยวกับยาหรือการรักษาโรคเอดส์ เช่นเดียวกับเรื่องของทิโมที บราวน์ที่ดูมีความหวังมาก นายบราวน์ดำรงชีวิตกับเชื้อ HIV มากว่า 10 ปีแล้ว เมื่อหมอบอกว่าเขาเป็นลูคีเมียและให้เขาได้รับการปลูกถ่ายกระดูก เมื่อเอาส่วนที่เป็นของนายบราวน์ออกแล้วใช้กระดูกที่ได้รับการบริจาคมานั้น พบว่านายบราวน์ไม่มีเชื้อ HIV เลย แม้แต่ความเป็นไปได้ในการติดเชื้อในเซลล์ก็ไม่มี แต่โชคร้ายที่วิธีการนี้เป็นวิธีการที่เสี่ยงถึงชีวิตเลยทีเดียว (ความเสี่ยง 40%) จึงต้องพัฒนาอีกมากก่อนที่จะใช้เป็นการรักษาอย่างจริงจัง ในขณะที่เด็กแรกเกิดคนหนึ่งที่มิซิสซิปปี ติดเชื้อ HIV จากแม่ก็รักษาหาย ด้วยการให้ยาต้านไวรัสอย่างาจริงจังตั้งแต่หลังคลอด ขณะนี้เด็กอายุ 3 ขวบและไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าติดเชื้อแต่อย่างใด ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยที่รอดพ้นจากโรคร้าย การค้นหาต้นตอที่แท้จริงต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาโรคนี้ คงยังต้องรออีกพอสมควรกว่าจะถึงวันที่เรามียารักษาโรคเอดส์
ที่มา : DGO
Report : LIV Capsule
+++10 เรื่องน่ารู้เบื้องหลัง HIV/AIDS+++
10. ต้นกำเนิด
เชื่อ HIV มีอยู่ 2 สายพันธุ์คือ HIV-1 (คาดว่าต้นกำเนิดมาจากลิงชิมแพนซี) และ HIV-2 (คาดว่ามาจากลิงสายพันธุ์แอฟริกาตัวเล็กตัวหนึ่ง) นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลากหลายสายพันธุ์ย่อย แต่สายพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดคือ HIV-1 ไวรัสนี้นอกจากจะจับตัวได้ยากแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนแปลง ปรับตัวและพัฒนาให้มีความแข็งแรงและทำให้จับตัวได้ยาก โดยเชื้อ HIV นี้มักเข้ามาทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ เติมโต กลายพันธุ์และพัฒนาจนมีความสามารถมาขึ้นด้วย
9. เคสแรก
เคสหรือกรณีศึกษาแรกที่ได้รับการยืนยันของการติดเชื้อเอดส์ในคนมาจากเมืองคินชาซา เมืองหลวงของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ได้รับการทดสอบจากเนื้อเยื่อตัวอย่างที่เก็บไว้ในปี 1959 สิบปีถัดมาได้พบผู้ติดเชื้อที่มีซูรีชื่อ นายโรเบิร์ต เรย์ฟอร์ด แพทย์เชื่อว่านายเรย์ฟอร์ดทำอาชีพเป็นผู้ชายขายบริการ ในปี 1977 ก็ได้พบเชื้อเอดส์ในแถบยุโรป เป็นกลาสีเรือชาวนอร์เวย์ชื่อ อาร์วิด โนว์ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานพบว่าเชื้อเอดส์เกิดขึ้นในยุโรปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย โดยคาดเดาจากการล้มป่วยด้วยโรคพีซีพีในเด็ก ซึ่งโรคนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นักวิจัยชาวดัชได้ติดตามผลและพบว่าการติดต่อน่าจะมาจากการใช้เข็มร่วมกัน แต่ที่น่าแปลกคือมีเด็กตายเพียงแค่ 1 ใน 3 ของผู้ที่ติดเชื้อเท่านั้น คาดว่าในช่วงนั้นเชื้อยังไม่ได้พัฒนาจนเหมือนเชื้อในปัจจุบัน
8. ผู้ป่วยหมายเลข 0
สจ๊วตสายการบินแคนาดาชื่อ Gaëtan Dugas ได้รับการเรียกถึงในชื่อ "Patient 0" ("ผู้ป่วยหมายเลข 0") ในงานวิจัยเกี่ยวกับเอดส์ในยุคแรกๆ ของ Dr. William Darrow แห่ง Centers for Disease Control หลายคนเชื่อว่า Dugas เป็นผู้ที่นำเชื้อเอชไอวีมายังอเมริกาเหนือ ซึ่งไม่เป็นความจริงเนื่องจากเชื้อเอชไอวีได้แพร่ระบาดอยู่แล้วก่อนที่ Dugas จะทำอาชีพนี้เสียอีก ข่าวลือนี้อาจมีที่มาจากหนังสือ And the Band Played On ของ Randy Shilts ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2530 (รวมถึงภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากหนังสือนี้ซึ่งกล่าวถึง Dugas ว่าเป็น Patient 0 ของโรคเอดส์) แต่ทั้งหนังสือและภาพยนตร์ก็ไม่ได้ระบุว่า Dugas เป็นคนแรกที่นำเชื้อเอชไอวีมาสู่อเมริกาเหนือ สาเหตุที่ Dugas ถูกเรียกว่าเป็น "Patient Zero" เนื่องจากมีคนจำนวนอย่างน้อย 40 คนจากที่ติดเชื้อเอชไอวี 248 คนในปี พ.ศ. 2526 ที่มีเพศสัมพันธ์กับ Dugas หรือคนที่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเขา
7. พรางตัว
ความน่ากลัวของไวรัสตัวนี้คือความสามารถในการหลบหลีกและทำลายภูมิคุ้มกัน เมื่อไวรัสเข้าสู่ระบบเชื้อจะพรางตัวในโมเลกุลน้ำตาลในคาโบไฮเดรต หลอกร่างกายว่าเป็นสารอาหาร แต่นักวิชาการเองก็ได้กล่าวว่าการค้นพบในเรื่องนี้อาจจะปรับใช้โมเลกุลของน้ำตาลเพื่อพัฒนาและใช้เป็นวัคซีนและกระตุ้นให้ร่างกายจดจำไวรัสและต่อสู้ได้
6. เหล่าเซเลบ
มีเหล่าคนดังจำนวนไม้อยู่ไม่น้อยที่พ่ายให้กับโรคเอดส์ ตั้งแต่ดาราเทนนิส อาร์เธอ แอช จนไปถึงนักร้องนำวงควีนอย่างเฟรดดี เมอร์คิวรี โดยคนดังเหล่านี้หลายคนติดเชื้อเพียงเพราะการถ่ายเลือดเท่านั้น ไม่ได้มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่นนักเขียนไซไฟชื่อดังอย่าง ไอแซค อาซิมอฟ ก็ได้รับเชื่อจากการทำผ่าตัดบายพาสเช่นกัน และยังมีข่าวดังเรื่องเซเลบเป็นเอดส์อย่าง เมจิก จอห์นสันที่เป็นคณะกรรมการในรายทีวีเกี่ยวกับกีฬาที่ไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นเอดส์เพราะเห็นเขาดูปกติและแข็งแรงดี นอกจากนี้ยังมีคนกล่าวอ้างว่าเขาใช้เงินสนับสนุนการทดลองยารักษาด้วย
5. เจตนาติดเชื้อ
อาวุธชีวภาพมีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้คนที่เป็นโรคติดต่ออย่างฝีดาษลอบเข้าไปแพร่เชื้อในค่ายของศัตรู จึงไม่น่าแปลกใจหากจะมีใครนำเอาเชื้อ HIV มาใช้เป็นอาวุธ คุกในแอฟริกาใต้ใช้ระบบฉีดเชื้อเอดส์เป็นการลงโทษพวกที่ไปข่มขืนคนอื่น ในกรณีอื่นๆ เช่นที่นิวยอร์ก นายนุชวาน วิลเลียมมีเพศสัมพันธ์กับหญิงนับไม่ถ้วน และหลังจากค้นพบว่าตัวเองติดเชื้อ HIV เขาก็ฉีดเชื้อโรคให้ผู้หญิงกว่า 14 คน รวมทั้งลูกของเขาเองก็เกิดมาติดเชื้อ HIV ด้วย ในปี 2010 เขาถูกจำคุกเพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อสังคม
4. ฮีโม โกบิน
มีตัวการ์ตูนไม่มากที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ ในปี 1988 ค่าย ดีซี คอมมิกซ์มีการเปิดตัว ฮีโม โกบิน แวมไพเลือดบวกมีที่แพร่เชื้อด้วยเชื้อ HIV ซึ่งตัวละครนี้มีการส่งต่อเชื้อไปที่ซุปเปอร์ฮีโร่เกย์ชื่อ เอ็กซ์ตราโน ก่อนที่ตัวเองจะตายด้วยเชื้อเอดส์ ตัวละครนี้ได้ปรากฏตัวแค่ตอนเดียว
3. ระบบภูมิคุ้มกัน
ในขณะที่ไม่มีใครรอดพ้นจาก HIV แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่สามารถทนและต้านทานได้มากกว่าคนอื่น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบการปรับตัวอย่างน้อย 2 แบบคือ ต่อต้านเชื้อตั้งแต่ต้น กับ คุม HIV ไม่ให้พัฒนากลายเป็น AIDS ในอย่างแรกนั้นเป็นการกลายพันธุ์ของยีนที่พบมากในแถบสแกนดิเนเวียน การกลายพันธุ์นี้เรียกว่า CCR5-delta 32 ซึ่งป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าสู่เซลล์ได้ ผลวิจัยกล่าวว่าการกลายพันธุ์นี้อาจจะเกิดช่วงของประวัติศาสตร์โรคระบาดในแถบยุโรปซึ่งครั้งหนึ่งผู้คนเคยมีผลบวก HIV ถ้าพวกเขาไม่ได้กินยาอย่างเยอะและไม่พ่ายให้กับเชื้อโรคเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนส่วนน้อยอยู่ดีที่มีภูมิคุ้มกันที่สามารถสู้กับเชื้อโรค คนกลุ่มนี้เรียกว่า กลุ่มผู้ควบคุม HIV ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้จะมีโปรตีนในเลือดที่ต่างออกไป ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ไวรัสถอยห่าง ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ยังคงดำเนินการวิจัยต่อไปในระดับจีโนมว่าทำไม HIV ถึงไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนกับคนอื่นๆ
2. กรณีเจฟฟรี บราวเซอร์
ปี 1984 เจฟฟรี บราวเซอร์ได้งานในบริษัทใหญ่อย่าง เบกเกอร์ แอนด์ แมคแคนซี แต่หลังจากที่เขามีอาการของโรคเอดส์และเนื้องอกให้ได้เห็น แจฟฟรีก็ได้รับปฏิกิริยาที่ต่างออกไปจากทั้งบอส ผู้ร่วมงาน จนในที่สุดก็โดนไล่ออกจากบริษัท นายบราวเซอร์จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลในนิวยอร์กข้อหาสิทธิเท่าเทียมของมนุษย์ คดีของเขาเรียกได้ว่าเป็นคดีเรื่องการกีดกันคนเป็น AIDS คดีแรกๆ ของประวัติศาสตร์กฎหมายเลยก็ว่าได้ การไต่สวนเริ่มเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 1987 แต่โชคร้ายที่นายบราวเซอร์อยู่รอดเพียงแค่ 2 เดือนหลังจากนั้น คดีนี้ยืดเยื้อถึง 6 ปี ในที่สุดศาลตัดสินว่าบริษัทเป็นฝ่ายผิด ต้องจ่ายค่าปรับ 500,000 ดอลล่าสหรัฐ และต้องจ่ายค่าเสียหายอื่นๆ ที่บราวเซอร์ควรได้รับแก่ครอบครัวด้วย เรื่องของนายบราวเซอร์ได้รับความสนใจจนถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่องฟินลาเดเฟีย นำแสดงโดนทอม แฮงค์ ทางค่ายหนังสัญญากับทางครอบครัวว่าจะให้ค่าตอบแทน แต่ผิดสัญญา ครอบครัวของนายบราวเซอร์จึงฟ้องและชนะความ อย่างไรก็ดีหนังเรื่องนี้ยังคงได้รับเสียงตอบรับและรางวัลมากมาย รวมทั้งรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วย
1. ตามหายารักษา
จะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นทุกครั้งพอมีข่าวเกี่ยวกับยาหรือการรักษาโรคเอดส์ เช่นเดียวกับเรื่องของทิโมที บราวน์ที่ดูมีความหวังมาก นายบราวน์ดำรงชีวิตกับเชื้อ HIV มากว่า 10 ปีแล้ว เมื่อหมอบอกว่าเขาเป็นลูคีเมียและให้เขาได้รับการปลูกถ่ายกระดูก เมื่อเอาส่วนที่เป็นของนายบราวน์ออกแล้วใช้กระดูกที่ได้รับการบริจาคมานั้น พบว่านายบราวน์ไม่มีเชื้อ HIV เลย แม้แต่ความเป็นไปได้ในการติดเชื้อในเซลล์ก็ไม่มี แต่โชคร้ายที่วิธีการนี้เป็นวิธีการที่เสี่ยงถึงชีวิตเลยทีเดียว (ความเสี่ยง 40%) จึงต้องพัฒนาอีกมากก่อนที่จะใช้เป็นการรักษาอย่างจริงจัง ในขณะที่เด็กแรกเกิดคนหนึ่งที่มิซิสซิปปี ติดเชื้อ HIV จากแม่ก็รักษาหาย ด้วยการให้ยาต้านไวรัสอย่างาจริงจังตั้งแต่หลังคลอด ขณะนี้เด็กอายุ 3 ขวบและไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าติดเชื้อแต่อย่างใด ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยที่รอดพ้นจากโรคร้าย การค้นหาต้นตอที่แท้จริงต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาโรคนี้ คงยังต้องรออีกพอสมควรกว่าจะถึงวันที่เรามียารักษาโรคเอดส์
ที่มา : DGO
Report : LIV Capsule