ขอถามคุณหมอ โรคจิตหรืออาการที่มีบุคลิกภาพผิดปกติ มันถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้หรือเปล่าคะ??? ถึงเวลาที่ดิฉันต้องไปพบจิตแพทย์หรือยัง
พยายามจะย่อสั้นแล้วนะคะ แต่มันจะไม่เห็นภาพชัดเจน ถ้าสั้นมากเกิน
ขอเกริ่นจากพื้นฐานครอบครัวก่อน...
พ่อดิฉันเป็นคนขี้โกหก จะโกหกตลอดแล้วอ้างนั่นอ้างนี่ ไม่ยอมรับความจริง ชอบพูดคนเดียวบ่อยๆ บางทีก็นั่งบ่น ยืนบ่นเกรี้ยวกราดเสียงดัง บางทีก็ด่าเสียงดังแต่ด่าคนเดียวนะคะ เหมือนไปโกรธไปเก็บกดมาจากที่ไหนแล้วเอามาพูด บ่น ด่าคนเดียวทำเหมือนคนอื่นไม่ได้ยิน แต่ดิฉันได้ยินตลอดค่ะ นั่งอยู่ใกล้ๆ ในห้องเดียวกัน แต่อยู่ๆ พ่อก็พูด บ่น ด่าคนเดียว บางทีเห็นทะเลาะกับใครมา ก็ไม่ยอมตอบโต้เขาไปตั้งแต่ตรงที่นั้น แต่เก็บเอามาพูด บ่น ด่า พึมพำคนเดียวลับหลัง (ดิฉันรู้สึกรำคาญมาก ฟังแล้วเสียสุขภาพทางจิตมาก ได้ยินมากๆ ดิฉันปวดหัวค่ะ) บางทีพอรู้ว่าแม่ ดิฉันหรือน้องได้ยิน ก็จะกลบเกลื่อนด้วยการร้องเพลงเดิมๆ ซ้ำๆซากๆ (ปวดหัวมากและรำคาญในใจมาก) ชอบทำอะไรที่รุนแรงที่คนเขาไม่ทำ เช่น กินของร้อนแล้วเพดานในปากมันพอง แกก็จะลอกหนังที่สดๆ ออกมา และอะไรที่เป็นแนวซาดิสต์แบบนี้ บอกตรงๆว่าดิฉันไม่ชอบและรำคาญนิสัยของพ่อ วันไหนพ่อไม่อยู่บ้าน ไปต่างจังหวัดดิฉันจะมีความสุขมาก
แม่ดิฉัน ภายนอกดูซอฟต์และยอมให้พ่อกดขี่ พูดจาหยาบๆ ก้าวร้าว เหยียดเพศ พ่อชอบด่าว่าแม่โง่ ทั้งที่แม่มีฐานะทางการเงินเหนือกว่า การศึกษาสูงกว่ามาก แล้วเวลาจะทำธุรกรรมพ่อจะต้องพึ่งพาแม่ตลอดเพราะอ่านเอกสารอะไรไม่เข้าใจเลย แม้แต่การไปธนาคาร กดบัตรเอทีเอ็ม เอกสารหนังสือต่างๆ โรงพยาบาล แม้แต่การพูดจากับหมอ พ่อต้องพึ่งแม่ตลอด ทำเองไม่ได้ พูดเองไม่ได้ แต่ชอบด่าว่าแม่โง่ ซื่อบื้อ ประจานเสียงดังอะไรแบบนี้ (ดิฉันได้ยินทีไรเครียดจนปวดหัวมากๆ) แม่ดิฉันก็จะยอมให้พ่อโขกและด่าเหยียดเพศประจำ แม่ดิฉันเวลาทำอะไรบางอย่างมักจะไม่มีเหตุผลที่มาที่ไป ถามหาสาเหตุก็ตอบแบบไม่ชัดเจน บางทีก็ตอบไม่ได้ แต่จะตอบประมาณว่าไม่รู้ทำไมถึงได้ทำ อะไรแบบนี้ ทำไปได้ยังไงก็ไม่รู้
ส่วนตัวดิฉันเป็นผลผลิตจากวัตถุดิบแบบนี้ ก็ไม่รู้ตัวเองเป็นโรคจิตหรือเปล่า แต่ดูจากสภาพพ่อดิฉัน ก็ไม่น่าจะรอดจากอาการพฤติกรรมผิดปกติพวกนี้ไปได้มันน่าจะถ่ายเททางสายเลือด
เครียดมากค่ะ ตอนนี้แทบไม่เหลือเพื่อน ไม่เหลือใคร ไม่มีใครให้รัก ความสัมพันธ์กับคนอื่นค่อนข้างแย่ คนที่อยู่คบมาได้ยืดก็จะเป็นคนแปลกๆ มีลักษณะประจำตัวแปลกๆ ขอเล่าคร่าวๆ ดิฉันก็อยากรู้ว่าตัวเองเข้าข่ายเป็นโรคจิตไหม และถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องเข้ารับการบำบัดจิต (อ้อ...ดิฉันมีนิสัยกัดเล็บที่แก้ไม่หายด้วยค่ะ)
ก่อน 12 ขวบ ดิฉันไม่ได้ถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่ แต่เลี้ยงมาโดยยายกับน้า ยายเป็นคนขี้โมโห อารมณ์ร้อน ด่าเก่ง นิสัยตาต่อตา ฟันต่อฟัน น้าดิฉันทุกข์ทรมานจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ถูกเจ้านายกดขี่ เวลาโกรธคนที่ทำงานก็จะมาระบายอารมณ์ด้วยการด่าดิฉัน บางคร้งเคยปาฝาหม้อเฉียดหัวดิฉันไปนิดเดียว บางทีน้าก็นั่งร้องไห้และบอกว่าอยากหลับแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก ดิฉันรู้สึกฝังใจว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือทาสในที่ทำงานทำให้มีแต่เรื่องทุกข์และทำให้น้าเก็บกดจนต้องมาทำร้ายจิตใจดิฉันที่เป็นเด็กป้องกันตัวเองไม่ได้แบบนี้ ตั้งแต่เด็กจนวัยรุ่นดิฉันเป็นที่รองรับอารมณ์ของน้าตลอด น้าเคยด่าดิฉันแบบฉีกหน้าขณะคุยกับเพื่อน เพื่อนมาที่บ้านเพราะดิฉันทำที่คาดผมของน้าหัก ด่าชนิดที่เอาเป็นเอาตาย เหมือนยังกะดิฉันไปเสียตัวให้ใครมา ด่าแบบโกรธขนาดนั้น
สมัยเด็กๆ ดิฉันเป็นเด็กเงียบไม่พูดกับใครเลยในโรงเรียน ครู เพื่อน ดิฉันไม่พูด จนครูใหญ่ต้องบอกให้แม่พาไปหาจิตแพทย์ตั้งแต่ดิฉันอยู่ ป.4 ดิฉันเกลียดการไปหาหมอให้หมอซักถาม ว่าทำไมถึงไม่พูดกับใคร ดิฉันก็ตอบไม่ได้ ไปหาหมอมาหลายครั้งดิฉันก็ยังไม่พูด โดนครูบางคนฟาดด้วยฟุตเหล็ก น้ำตาตกใน บีบบังคับเพื่อให้พูดดิฉันก็ไม่พูด ไม่ว่าครูบางคนจะบีบเค้นยังไง ทรมานแค่ไหน ก็ไม่มีใครสามารถกระตุ้นให้ดิฉันกลายเป็นเด็กร่าเริง พูดเก่งเหมือนเด็กคนอื่น ดิฉันโดนเพื่อนรุ่นน้องรุ่นพี่รังแก บางคนเคยทำอนาจารล้วงเข้ามาในกางเกงใน บางคนหยิก กัด ดิฉันจนได้แผล ความรู้สึกที่อยู่โรงเรียนชั้นประถมศึกษาเหมือนจมอยู่ในนรก ดิฉันพูดกับคนนับครั้งได้เฉพาะคนที่สนิทจริงๆ และคำถามต้องสำคัญจริงๆ ดิฉันเป็นแบบนี้ แต่ผลการเรียนก็ไม่ได้แย่ กลับดีเกินคาดดิฉันอ่านหนังสือได้เร็วกว่าคนรุ่นเดียวกันและรักการอ่านมาก ตอนนี้ก็ยังคงรักการอ่านหนังสืออยู่ มาคิดดูว่าทำไมดิฉันถึงไม่เริ่มต้นพูดกับใคร เพราะดิฉันอาจกลัวกับการเริ่มต้น การเปลี่ยนแปลง ดิฉันกลัวผลตอบรับเมื่อเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งจบชั้นประถมศึกษา ความรู้สึกเหมือนได้หลุดจากคุก หลังจากจบดิฉันไม่เคยกลับไปเยี่ยมที่โรงเรียนนั้นอีกเลย ไม่รู้สึกผูกพัน ไม่มีความคิดถึงอะไรทั้งนั้น ความรู้สึกเหมือนแค่ได้เดินออกจากคุก
มัธยมศึกษา ดิฉันก็พูดกับคนอื่นๆ เหมือนเด็กที่เกือบจะปกติ บางทีอาจจะรู้สึกว่าสถานที่เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน แม้จะมีพวกเพื่อนจากโรงเรียนเก่าตามมาและเอาเรื่องสมัยที่เรียนประถมมาล้อ ดิฉันก็พูดมากขึ้น แต่ดูเหมือนจะมีปัญหาการเข้าสังคม การวางตัวกับคนอื่น ดิฉันวางตัวไมู่ถูก แมกระทั่งการคิดว่าได้เจอความรักครั้งแรก เป็นรักแรกพบหรือแอบรักรุ่นพี่ ม.ปลาย ความคลั่งไคล้ลุ่มหลงทุ่มเททุ่มไม่อั้นที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่งอย่างบ้าคลั่งและบ้าดีเดือด ไร้สติ (แต่ไม่ถึงขั้นพลีกายนะคะ แค่ตามติด ประกาศความรักแบบแปลกๆ พิลึกพิลั่นที่เขาไม่ทำกัน) เศร้าโศกเสียใจเกินคนปกติ ไม่เคยคิดเรื่องอื่นดั้งแต่รุ่นพี่คนนี้ไปเรียนต่อที่อื่น ดิฉันเศร้าเกินวัยรุ่นปกติ เท่าที่รู้ตัวดิฉันไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่มีการย้ายห้อง ดิฉันจะต้องมีปัญหาจนจนแม่ต้องมาพบครูปกครองเนื่องจากดิฉันไม่ยอมไปอยู่ในห้องที่ไม่มีเพื่อนสนิท ดิฉันกลัวการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่
ดิฉันจะคบกับคนที่สนิท ซึ่งเป็นเพื่อนแค่ไม่กี่คน ระหว่างมัยมปลายนี้ดิฉันมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหาร บอกแม่ว่าปวดท้อง แต่แม่กลับพาดิฉันไปหาจิตแพทย์ วันนั้นดิฉันโกรธแม่มาก ที่หลอกดิฉันพาไปหาจิตแพทย์ แม่คิดว่าการปวดท้องมาจากสภาพภายในจิตใจ จึงคิดเองเออเองด้วยการพาไปหาหมอรักษาโรคทางจิต วันนั้นดิฉัน้รองไห้ต่อหน้าหมอ ดิฉันบอกว่าตัวเองไม่ได้บ้านะ หลังจากนั้นหมอเรียกแม่เข้าไปหา แม่บอกว่าโดนหมอตำหนิ เรื่องที่พาดิฉันมาแต่ไม่บอกให้ดิฉันรู้ตัวก่อน เรื่องที่โกหกว่าจะพามาหาหมอรักษาโรคทั่วไป แต่ลงเอยด้วยการไปหาจิตแพทย์ ชีวิตตอนมัธยมเป็นแบบนี้
ระหว่างการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รู้สึกเบื่อการมีชีวิต คิดอยู่แต่ทำไมพ่อแม่ถึงต้องปล่อยให้เราเกิดมาบนโลกที่โหดร้าย อยู่ไปเพื่ออะไร เกิดมาไม่เห็นจะมีอะไรดี วนเวียนเจอแต่เรื่องซ้ำซาก มีแต่ความทุกข์ ความเศร้า ความเครียด ผิดหวัง พลัดพราก คนเกเรมีเต็มโลก เปนคนอ่อนแอมีแต่เจ็บตัว ดิฉันก็งงเหมือนกันจากเด็กที่ถูกคนอื่นรังแก สุดท้ายกลายเป็นคนก้าวร้าวไม่ยอมคนได้ยังไง
มหาวิทยาลัยบ้าง ดิฉันก็ชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างไม่มีสาเหตุ ชีวิตนี้มีแต่แอบชอบ. สวยจัดไง...หึ ! ดิฉันได้แสดงความชอบอย่างบ้าดีเดือดอีกตามเคย แต่ที่แย่คือเขาไม่รู้ว่าดิฉันมีตัวตนอยู่ในโลก ดิฉันได้แสดงความรู้สึกอย่างพิลึกพิลั่นยิ่งกว่าตอนมัธยม และเมื่อเขาปฏิเสธ ดิฉันก็ส่งจดหมายด่าเขา คิดดูตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองโรคจิตมาก ดิฉันไม่เคยโทษตัวเองแต่ไปโทษเพือนว่ายุให้ดิฉันทำแบบนั้นลงไป ตามมาด้วยการทะเลาะกับเพื่อนอย่างรุนแรง กลางตึกเรียน คนมองตรึม จนเรียนจบดิฉันเหลือเพื่อนเพียง 3 คน (ยังดีที่เหลือ) ตอนนี้แม่ไม่พาดิฉันไปหาจิตแพทย์แล้ว เพราะดิฉันยิ่งโตก็ยิ่งเกินจะควบคุมได้ในสายตาของแม่ คำพูดเดิมๆ เอามาหลอกไม่ได้อีกแล้ว
หลังจากเรียนจบ ดิฉันไม่ทำงานอยู่ 5 ปี เพราะรู้สึกไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่อยากเป็นทาสในที่ทำงาน ไม่อยากเป็นแบบน้าที่เครียดจากการเป็นลูกน้องแล้วเอามาระบายอารมณืกับดิฉันซึ่งเป็นหลาน เป็นเด็กที่ไม่มีทางสู้ ถ้าการเป็นทาสในที่ทำงานมันดีจริง น้าคงไม่กลายเป็นบ้า ไม่อยู่กะร่องกะรอยแบบนี้ เวลาที่ยาวนานทำให้รู้ว่าการอยู่บ้านเฉยๆ ชีวิตผ่านไปแสนว่างเปล่าและไร้ค่า
ในทางการแพทย์ดิฉันเป็นโรคจิตหรือมีพฤติกรรมผิดปกติหรือเปล่าคะ
พยายามจะย่อสั้นแล้วนะคะ แต่มันจะไม่เห็นภาพชัดเจน ถ้าสั้นมากเกิน
ขอเกริ่นจากพื้นฐานครอบครัวก่อน...
พ่อดิฉันเป็นคนขี้โกหก จะโกหกตลอดแล้วอ้างนั่นอ้างนี่ ไม่ยอมรับความจริง ชอบพูดคนเดียวบ่อยๆ บางทีก็นั่งบ่น ยืนบ่นเกรี้ยวกราดเสียงดัง บางทีก็ด่าเสียงดังแต่ด่าคนเดียวนะคะ เหมือนไปโกรธไปเก็บกดมาจากที่ไหนแล้วเอามาพูด บ่น ด่าคนเดียวทำเหมือนคนอื่นไม่ได้ยิน แต่ดิฉันได้ยินตลอดค่ะ นั่งอยู่ใกล้ๆ ในห้องเดียวกัน แต่อยู่ๆ พ่อก็พูด บ่น ด่าคนเดียว บางทีเห็นทะเลาะกับใครมา ก็ไม่ยอมตอบโต้เขาไปตั้งแต่ตรงที่นั้น แต่เก็บเอามาพูด บ่น ด่า พึมพำคนเดียวลับหลัง (ดิฉันรู้สึกรำคาญมาก ฟังแล้วเสียสุขภาพทางจิตมาก ได้ยินมากๆ ดิฉันปวดหัวค่ะ) บางทีพอรู้ว่าแม่ ดิฉันหรือน้องได้ยิน ก็จะกลบเกลื่อนด้วยการร้องเพลงเดิมๆ ซ้ำๆซากๆ (ปวดหัวมากและรำคาญในใจมาก) ชอบทำอะไรที่รุนแรงที่คนเขาไม่ทำ เช่น กินของร้อนแล้วเพดานในปากมันพอง แกก็จะลอกหนังที่สดๆ ออกมา และอะไรที่เป็นแนวซาดิสต์แบบนี้ บอกตรงๆว่าดิฉันไม่ชอบและรำคาญนิสัยของพ่อ วันไหนพ่อไม่อยู่บ้าน ไปต่างจังหวัดดิฉันจะมีความสุขมาก
แม่ดิฉัน ภายนอกดูซอฟต์และยอมให้พ่อกดขี่ พูดจาหยาบๆ ก้าวร้าว เหยียดเพศ พ่อชอบด่าว่าแม่โง่ ทั้งที่แม่มีฐานะทางการเงินเหนือกว่า การศึกษาสูงกว่ามาก แล้วเวลาจะทำธุรกรรมพ่อจะต้องพึ่งพาแม่ตลอดเพราะอ่านเอกสารอะไรไม่เข้าใจเลย แม้แต่การไปธนาคาร กดบัตรเอทีเอ็ม เอกสารหนังสือต่างๆ โรงพยาบาล แม้แต่การพูดจากับหมอ พ่อต้องพึ่งแม่ตลอด ทำเองไม่ได้ พูดเองไม่ได้ แต่ชอบด่าว่าแม่โง่ ซื่อบื้อ ประจานเสียงดังอะไรแบบนี้ (ดิฉันได้ยินทีไรเครียดจนปวดหัวมากๆ) แม่ดิฉันก็จะยอมให้พ่อโขกและด่าเหยียดเพศประจำ แม่ดิฉันเวลาทำอะไรบางอย่างมักจะไม่มีเหตุผลที่มาที่ไป ถามหาสาเหตุก็ตอบแบบไม่ชัดเจน บางทีก็ตอบไม่ได้ แต่จะตอบประมาณว่าไม่รู้ทำไมถึงได้ทำ อะไรแบบนี้ ทำไปได้ยังไงก็ไม่รู้
ส่วนตัวดิฉันเป็นผลผลิตจากวัตถุดิบแบบนี้ ก็ไม่รู้ตัวเองเป็นโรคจิตหรือเปล่า แต่ดูจากสภาพพ่อดิฉัน ก็ไม่น่าจะรอดจากอาการพฤติกรรมผิดปกติพวกนี้ไปได้มันน่าจะถ่ายเททางสายเลือด
เครียดมากค่ะ ตอนนี้แทบไม่เหลือเพื่อน ไม่เหลือใคร ไม่มีใครให้รัก ความสัมพันธ์กับคนอื่นค่อนข้างแย่ คนที่อยู่คบมาได้ยืดก็จะเป็นคนแปลกๆ มีลักษณะประจำตัวแปลกๆ ขอเล่าคร่าวๆ ดิฉันก็อยากรู้ว่าตัวเองเข้าข่ายเป็นโรคจิตไหม และถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องเข้ารับการบำบัดจิต (อ้อ...ดิฉันมีนิสัยกัดเล็บที่แก้ไม่หายด้วยค่ะ)
ก่อน 12 ขวบ ดิฉันไม่ได้ถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่ แต่เลี้ยงมาโดยยายกับน้า ยายเป็นคนขี้โมโห อารมณ์ร้อน ด่าเก่ง นิสัยตาต่อตา ฟันต่อฟัน น้าดิฉันทุกข์ทรมานจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ถูกเจ้านายกดขี่ เวลาโกรธคนที่ทำงานก็จะมาระบายอารมณ์ด้วยการด่าดิฉัน บางคร้งเคยปาฝาหม้อเฉียดหัวดิฉันไปนิดเดียว บางทีน้าก็นั่งร้องไห้และบอกว่าอยากหลับแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก ดิฉันรู้สึกฝังใจว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือทาสในที่ทำงานทำให้มีแต่เรื่องทุกข์และทำให้น้าเก็บกดจนต้องมาทำร้ายจิตใจดิฉันที่เป็นเด็กป้องกันตัวเองไม่ได้แบบนี้ ตั้งแต่เด็กจนวัยรุ่นดิฉันเป็นที่รองรับอารมณ์ของน้าตลอด น้าเคยด่าดิฉันแบบฉีกหน้าขณะคุยกับเพื่อน เพื่อนมาที่บ้านเพราะดิฉันทำที่คาดผมของน้าหัก ด่าชนิดที่เอาเป็นเอาตาย เหมือนยังกะดิฉันไปเสียตัวให้ใครมา ด่าแบบโกรธขนาดนั้น
สมัยเด็กๆ ดิฉันเป็นเด็กเงียบไม่พูดกับใครเลยในโรงเรียน ครู เพื่อน ดิฉันไม่พูด จนครูใหญ่ต้องบอกให้แม่พาไปหาจิตแพทย์ตั้งแต่ดิฉันอยู่ ป.4 ดิฉันเกลียดการไปหาหมอให้หมอซักถาม ว่าทำไมถึงไม่พูดกับใคร ดิฉันก็ตอบไม่ได้ ไปหาหมอมาหลายครั้งดิฉันก็ยังไม่พูด โดนครูบางคนฟาดด้วยฟุตเหล็ก น้ำตาตกใน บีบบังคับเพื่อให้พูดดิฉันก็ไม่พูด ไม่ว่าครูบางคนจะบีบเค้นยังไง ทรมานแค่ไหน ก็ไม่มีใครสามารถกระตุ้นให้ดิฉันกลายเป็นเด็กร่าเริง พูดเก่งเหมือนเด็กคนอื่น ดิฉันโดนเพื่อนรุ่นน้องรุ่นพี่รังแก บางคนเคยทำอนาจารล้วงเข้ามาในกางเกงใน บางคนหยิก กัด ดิฉันจนได้แผล ความรู้สึกที่อยู่โรงเรียนชั้นประถมศึกษาเหมือนจมอยู่ในนรก ดิฉันพูดกับคนนับครั้งได้เฉพาะคนที่สนิทจริงๆ และคำถามต้องสำคัญจริงๆ ดิฉันเป็นแบบนี้ แต่ผลการเรียนก็ไม่ได้แย่ กลับดีเกินคาดดิฉันอ่านหนังสือได้เร็วกว่าคนรุ่นเดียวกันและรักการอ่านมาก ตอนนี้ก็ยังคงรักการอ่านหนังสืออยู่ มาคิดดูว่าทำไมดิฉันถึงไม่เริ่มต้นพูดกับใคร เพราะดิฉันอาจกลัวกับการเริ่มต้น การเปลี่ยนแปลง ดิฉันกลัวผลตอบรับเมื่อเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งจบชั้นประถมศึกษา ความรู้สึกเหมือนได้หลุดจากคุก หลังจากจบดิฉันไม่เคยกลับไปเยี่ยมที่โรงเรียนนั้นอีกเลย ไม่รู้สึกผูกพัน ไม่มีความคิดถึงอะไรทั้งนั้น ความรู้สึกเหมือนแค่ได้เดินออกจากคุก
มัธยมศึกษา ดิฉันก็พูดกับคนอื่นๆ เหมือนเด็กที่เกือบจะปกติ บางทีอาจจะรู้สึกว่าสถานที่เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน แม้จะมีพวกเพื่อนจากโรงเรียนเก่าตามมาและเอาเรื่องสมัยที่เรียนประถมมาล้อ ดิฉันก็พูดมากขึ้น แต่ดูเหมือนจะมีปัญหาการเข้าสังคม การวางตัวกับคนอื่น ดิฉันวางตัวไมู่ถูก แมกระทั่งการคิดว่าได้เจอความรักครั้งแรก เป็นรักแรกพบหรือแอบรักรุ่นพี่ ม.ปลาย ความคลั่งไคล้ลุ่มหลงทุ่มเททุ่มไม่อั้นที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่งอย่างบ้าคลั่งและบ้าดีเดือด ไร้สติ (แต่ไม่ถึงขั้นพลีกายนะคะ แค่ตามติด ประกาศความรักแบบแปลกๆ พิลึกพิลั่นที่เขาไม่ทำกัน) เศร้าโศกเสียใจเกินคนปกติ ไม่เคยคิดเรื่องอื่นดั้งแต่รุ่นพี่คนนี้ไปเรียนต่อที่อื่น ดิฉันเศร้าเกินวัยรุ่นปกติ เท่าที่รู้ตัวดิฉันไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่มีการย้ายห้อง ดิฉันจะต้องมีปัญหาจนจนแม่ต้องมาพบครูปกครองเนื่องจากดิฉันไม่ยอมไปอยู่ในห้องที่ไม่มีเพื่อนสนิท ดิฉันกลัวการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่
ดิฉันจะคบกับคนที่สนิท ซึ่งเป็นเพื่อนแค่ไม่กี่คน ระหว่างมัยมปลายนี้ดิฉันมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหาร บอกแม่ว่าปวดท้อง แต่แม่กลับพาดิฉันไปหาจิตแพทย์ วันนั้นดิฉันโกรธแม่มาก ที่หลอกดิฉันพาไปหาจิตแพทย์ แม่คิดว่าการปวดท้องมาจากสภาพภายในจิตใจ จึงคิดเองเออเองด้วยการพาไปหาหมอรักษาโรคทางจิต วันนั้นดิฉัน้รองไห้ต่อหน้าหมอ ดิฉันบอกว่าตัวเองไม่ได้บ้านะ หลังจากนั้นหมอเรียกแม่เข้าไปหา แม่บอกว่าโดนหมอตำหนิ เรื่องที่พาดิฉันมาแต่ไม่บอกให้ดิฉันรู้ตัวก่อน เรื่องที่โกหกว่าจะพามาหาหมอรักษาโรคทั่วไป แต่ลงเอยด้วยการไปหาจิตแพทย์ ชีวิตตอนมัธยมเป็นแบบนี้
ระหว่างการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รู้สึกเบื่อการมีชีวิต คิดอยู่แต่ทำไมพ่อแม่ถึงต้องปล่อยให้เราเกิดมาบนโลกที่โหดร้าย อยู่ไปเพื่ออะไร เกิดมาไม่เห็นจะมีอะไรดี วนเวียนเจอแต่เรื่องซ้ำซาก มีแต่ความทุกข์ ความเศร้า ความเครียด ผิดหวัง พลัดพราก คนเกเรมีเต็มโลก เปนคนอ่อนแอมีแต่เจ็บตัว ดิฉันก็งงเหมือนกันจากเด็กที่ถูกคนอื่นรังแก สุดท้ายกลายเป็นคนก้าวร้าวไม่ยอมคนได้ยังไง
มหาวิทยาลัยบ้าง ดิฉันก็ชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างไม่มีสาเหตุ ชีวิตนี้มีแต่แอบชอบ. สวยจัดไง...หึ ! ดิฉันได้แสดงความชอบอย่างบ้าดีเดือดอีกตามเคย แต่ที่แย่คือเขาไม่รู้ว่าดิฉันมีตัวตนอยู่ในโลก ดิฉันได้แสดงความรู้สึกอย่างพิลึกพิลั่นยิ่งกว่าตอนมัธยม และเมื่อเขาปฏิเสธ ดิฉันก็ส่งจดหมายด่าเขา คิดดูตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองโรคจิตมาก ดิฉันไม่เคยโทษตัวเองแต่ไปโทษเพือนว่ายุให้ดิฉันทำแบบนั้นลงไป ตามมาด้วยการทะเลาะกับเพื่อนอย่างรุนแรง กลางตึกเรียน คนมองตรึม จนเรียนจบดิฉันเหลือเพื่อนเพียง 3 คน (ยังดีที่เหลือ) ตอนนี้แม่ไม่พาดิฉันไปหาจิตแพทย์แล้ว เพราะดิฉันยิ่งโตก็ยิ่งเกินจะควบคุมได้ในสายตาของแม่ คำพูดเดิมๆ เอามาหลอกไม่ได้อีกแล้ว
หลังจากเรียนจบ ดิฉันไม่ทำงานอยู่ 5 ปี เพราะรู้สึกไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่อยากเป็นทาสในที่ทำงาน ไม่อยากเป็นแบบน้าที่เครียดจากการเป็นลูกน้องแล้วเอามาระบายอารมณืกับดิฉันซึ่งเป็นหลาน เป็นเด็กที่ไม่มีทางสู้ ถ้าการเป็นทาสในที่ทำงานมันดีจริง น้าคงไม่กลายเป็นบ้า ไม่อยู่กะร่องกะรอยแบบนี้ เวลาที่ยาวนานทำให้รู้ว่าการอยู่บ้านเฉยๆ ชีวิตผ่านไปแสนว่างเปล่าและไร้ค่า