ชาวพุทธไทยอาจจะเคยเรียนกันมาบ้างว่าในสมัยการสังคายนาครั้งที่สองได้เกิดความขัดแย้งในด้านวินัยขึ้นทำให้สงฆ์แตกออกเป็นสองกลุ่มคือ มหาสังฆิกะ กับสถีรวาท กระทู้สั้นๆนี้ จะลองมาพิจารณากันว่าสิ่งที่เรารับรู้มานั้นมันมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือมารองรับหรือไม่
มูลเหตุของการแตกนิกายนั้นคนไทยหลายคนเชื่อว่าเกิดจากภิกษุวัชชีบุตรเสนอเรื่องวัตถุ 10 ประการ แต่จากบันทึกในพระไตรปิฎกไม่มีตรงไหนเลยที่แสดงให้เห็นว่าวัตถุ 10 ประการที่ว่า หรือแม้กระทั่งการสังคายนาครั้งที่สองเป็นสาเหตุของการแตกนิกาย โดยบันทึกในพระไตรปิฎกมีดังนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สมัยนั้น ท่านพระสัมภูตสาณวาสี อาศัยอยู่ที่อโหคังคบรรพต
ครั้งนั้น ท่านพระยสกากัณฑกบุตร เข้าไปหาท่านพระสัมภูตสาณวาสียังอโหคังค-
*บรรพต อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้งแล้วได้กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ
พวกพระวัชชีบุตร ชาวเมืองเวสาลีพวกนี้ แสดงวัตถุ ๑๐ ประการ ในเมืองเวสาลี
ว่าดังนี้:-
๑. เก็บเกลือไว้ในเขนงฉัน ควร
๒. ฉันอาหารในเวลาบ่ายล่วงสององคุลี ควร
๓. เข้าบ้านฉันอาหารเป็นอนติริตตะ ควร
๔. อาวาสมีสีมาเดียวกัน ทำอุโบสถต่างๆ กัน ควร
๕. เวลาทำสังฆกรรม ภิกษุมาไม่พร้อมกันทำก่อนได้ ภิกษุมาทีหลังจึง บอกขออนุมัติ ควร
๖. การประพฤติตามอย่าง ที่อุปัชฌาย์และอาจารย์ประพฤติมาแล้ว ควร
๗. ฉันนมสดที่แปรแล้ว แต่ยังไม่เป็นนมส้ม ควร
๘. ดื่มสุราอ่อน ควร
๙. ใช้ผ้านิสีทนะไม่มีชาย ควร
๑๐. รับทองและเงิน ควร
แต่ทว่าตำนานที่เรารับรู้มายังกล่าวต่อไปอีกว่า ภิกษุวัชชีบุตรนี่แหละที่กลายเป็นมหาสังฆิกะ ส่วนภิกษุที่ไม่ยอมรับวัตถุ 10 ก็คือบรรพบุรุษของเถรวาท ดังนั้นเถรวาทจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงวินัยฯลฯ ซึ่งในส่วนนี้ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎกหากแต่อยู่ในทีปวงศ์ ที่เขียนขึ้นในลังกา
แต่-------------------------คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าตำนานที่ว่ามันจริงหรือเปล่า?
โชคยังดีที่ฝรั่งเขาสงสัย เขาก็เลยค้นคว้าโดยการเอาปาฏิโมกข์ของมหาสังฆิกะและบาลีมาศึกษาว่าแตกต่างกันในเรื่องวัตถุ 10 ประการนี่จริงหรือเปล่า ผลสรุปก็ออกมาว่าไม่แตกต่างกันในสาระของวินัย อาจจะแตกต่างกันในด้านคำพูดที่ใช้หรือเลขที่ข้อ แต่โดยสาระแล้วมหาสังฆิกะเองก็ไม่ได้ยอมรับวัตถุ 10 ประการ
สรุปได้ว่าวัชชีบุตรที่ยอมรับวัตถุ 10 ที่ปรากฎว่าเป็นต้นเหตุของการสังคายนาครั้งที่สอง และมหาสังฆิกะนั้นไม่ควรจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และเอาเข้าจริงๆนอกจากทีปวงศ์แล้วตำราทางพุทธศาสนาเล่มอื่นๆที่เขียนในลังกาเองก็ไม่เคยบอกว่ามหาสังฆิกะเกิดขึ้นจากการสังคายนาครั้งที่สอง แม้กระทั่งมหาวงศ์ที่ใช้ข้อมูลจากทีปวงศ์เป็นจำนวนมากในการเขียนขึ้นมาก็ไม่ได้ใส่ส่วนนี้ลงไป
สรุปมาจาก
Mahāsāṃghika Origins: The Beginnings of Buddhist Sectarianism
และในบทความที่ว่ายังมีเรื่องที่น่าสนใจอีก 2-3 เรื่องเอาไว้ถ้าว่างจะมาเล่าให้ฟังอีกเช่น
1. วินัยของมหาสังฆิกะเก่าแก่กว่าของบาลี(เถรวาท)
2. บันทึกต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการแตกนิกาย
การสังคายนาครั้งที่สอง กับการแตกนิกาย - สิ่งที่หลายคนไม่รู้
มูลเหตุของการแตกนิกายนั้นคนไทยหลายคนเชื่อว่าเกิดจากภิกษุวัชชีบุตรเสนอเรื่องวัตถุ 10 ประการ แต่จากบันทึกในพระไตรปิฎกไม่มีตรงไหนเลยที่แสดงให้เห็นว่าวัตถุ 10 ประการที่ว่า หรือแม้กระทั่งการสังคายนาครั้งที่สองเป็นสาเหตุของการแตกนิกาย โดยบันทึกในพระไตรปิฎกมีดังนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ทว่าตำนานที่เรารับรู้มายังกล่าวต่อไปอีกว่า ภิกษุวัชชีบุตรนี่แหละที่กลายเป็นมหาสังฆิกะ ส่วนภิกษุที่ไม่ยอมรับวัตถุ 10 ก็คือบรรพบุรุษของเถรวาท ดังนั้นเถรวาทจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงวินัยฯลฯ ซึ่งในส่วนนี้ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎกหากแต่อยู่ในทีปวงศ์ ที่เขียนขึ้นในลังกา
แต่-------------------------คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าตำนานที่ว่ามันจริงหรือเปล่า?
โชคยังดีที่ฝรั่งเขาสงสัย เขาก็เลยค้นคว้าโดยการเอาปาฏิโมกข์ของมหาสังฆิกะและบาลีมาศึกษาว่าแตกต่างกันในเรื่องวัตถุ 10 ประการนี่จริงหรือเปล่า ผลสรุปก็ออกมาว่าไม่แตกต่างกันในสาระของวินัย อาจจะแตกต่างกันในด้านคำพูดที่ใช้หรือเลขที่ข้อ แต่โดยสาระแล้วมหาสังฆิกะเองก็ไม่ได้ยอมรับวัตถุ 10 ประการ
สรุปได้ว่าวัชชีบุตรที่ยอมรับวัตถุ 10 ที่ปรากฎว่าเป็นต้นเหตุของการสังคายนาครั้งที่สอง และมหาสังฆิกะนั้นไม่ควรจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และเอาเข้าจริงๆนอกจากทีปวงศ์แล้วตำราทางพุทธศาสนาเล่มอื่นๆที่เขียนในลังกาเองก็ไม่เคยบอกว่ามหาสังฆิกะเกิดขึ้นจากการสังคายนาครั้งที่สอง แม้กระทั่งมหาวงศ์ที่ใช้ข้อมูลจากทีปวงศ์เป็นจำนวนมากในการเขียนขึ้นมาก็ไม่ได้ใส่ส่วนนี้ลงไป
สรุปมาจาก Mahāsāṃghika Origins: The Beginnings of Buddhist Sectarianism
และในบทความที่ว่ายังมีเรื่องที่น่าสนใจอีก 2-3 เรื่องเอาไว้ถ้าว่างจะมาเล่าให้ฟังอีกเช่น
1. วินัยของมหาสังฆิกะเก่าแก่กว่าของบาลี(เถรวาท)
2. บันทึกต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการแตกนิกาย