องคุลิมาล คือ โจรฆาตกรต่อเนื่องขึ้นชื่อในสมัยพุทธกาล สาเหตุไม่ใช่ความบ้าวิกลจริต แต่มาจากความหลง ที่โดนอาจารย์หลอกว่า เมื่อฆ่าคนครบ 1000 ศพ จะบรรลุวิษณุมนต์ เป็นโมกษะ คือความหลุดพ้น ที่ชื่อว่าองคุลิมาล คือเมื่อฆ่าใครได้ก็จะตัดนิ้วโป้งเหยื่อไปร้อยห้อยคอ เป็นพวงมาลัยนิ้วมนุษย์ ทำนองเอาไว้นับกันลืม
ขณะนั้น ชาวบ้านทั้งหลายได้ทูล พระเจ้าปเสนทิโกศล ให้ทราบความดุร้ายเหี้ยมโหดของ องคุลิมาล หรือ ชื่อเดิมคือ อหิงสกะ แปลว่า ผู้ไม่เบียดเบียน พระองค์ก็เตรียมเกณฑ์ไพร่พลในเมือง เพื่อเอากองทัพไปปราบโจรคนเดียว จนโกลาหลไปทั้งนครสาวัตถี มารดาขององคุลิมาล ทราบข่าวด้วยความเป็นห่วงบุตรชาย จึงเสี่ยงตายไม่กลัวถูกลูกชายฆ่า หนีออกนอกเมืองไปบอกข่าวแก่ลูกชายของตนให้หนีไป
ขณะนั้น องคุลิมาล ฆ่าคนได้ 999 ศพแล้ว เหลืออีกคนจะครบหนึ่งพัน และบรรลุโมษะตามความเชื่อที่โดนหลอกไว้ จึงดำริว่า หากรุ่งเช้าพบใครก่อนจะฆ่าคนนั้น และขณะนั้นมารดาองคุลีมาลกำลังรอนแรมไปหาลูกด้วยความรักความเป็นห่วง กลัวลูกชายจะถูกฆ่าตายด้วยกองทัพพระราชา
เดชบุญขององคุลิมาล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระญานตรวจดูสัตว์โลกก่อนรุ่งเช้า พบองคุลีมาลปรากฎในข่ายพระญาน ว่าอหิงสกะมีอุปนิสัยพระอรหันต์ แต่ด้วยติดโมหะโดนอาจารย์หลอกให้ทำบาปกรรมฆ่าคนมามาก และกำลังทำอนัตริยกรรม คือกำลังจะฆ่ามารดาในตอนรุ่งเช้า เป็นการห้ามมรรคผล นิพพาน จึงทรงพระกรุณา ออกจากที่ประทับในพระเชตวันวิหาร ไปปรากฎตัวใกล้กับที่อยู่อาศัยขององคุลิมาลในป่าโดยทรงพระประสงค์ให้องคุลีมาลเห็นพระองค์ก่อนพบกับมารดา
ครั้งรุ่งเช้า องคุลิมาล พบพระพุทธเจ้าก่อนเห็นมารดา จึงดำริว่า สมณะศากยบุตร นั้นฆ่าง่ายกว่าผู้หญิง จึงไล่ตามพระพุทธเจ้าไป ด้วยอำนาจพุทธปาฏิหารย์ ไม่ว่าองคุลีมาลจะวิ่งเร็วสักปานใด ก็ไม่อาจไล่ทันพระพุทธเจ้าที่ทรงพระดำเนินธรรมดาได้ องคุลิมาลวิ่งไล่ตามพระพุทธองค์จนหมดเรี่ยวแรง จึงหยุดวิ่งทรุดตัวลงแล้วกล่าวว่า
อ: หยุดก่อนสมณะ
พ: ดูก่อน อหิงสกะ เราหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด
อ: สมถะศากยะบุตร กล่าวแต่คำสัตย์ไม่มีโป้ปด เราหยุดวิ่งแล้ว แต่ท่านยังเดินอยู่ ไฉนท่านบอกว่าหยุดแล้ว แต่เรายังไม่หยุด
พ: ดูก่อนอหิงสกะ เราหยุดเบียดเบียนแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุดเบียดเบียน เราจึงกล่าว เราหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด
องคุลิมาล ฟังแล้วสำนึกได้จึงทิ้งดาบ ทิ้งพวงมาลัยนิ้ว นั่งฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า จนสำนึกในความผิดของตน ทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทให้ แล้วติดตามพระพุทธองค์กลับพระเชตวันวิหาร
พระเจ้าปเสนทิโกศล กำลังยกทัพไปปราบองคุลิมาลตอนเช้า เมื่อยกทัพผ่านพระเชตวันวิหาร จึงมีพระประสงค์ไปถวายบังคมพระพุทธเจ้า เพื่อขอพรในการยกทัพไปปราบองคุลีมาลจึงหยุดทัพแล้วไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ที่ประทับ เมื่อพบพระพุทธองค์ ได้ปราศัยพอสมควรแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงถามว่า
พ: ดูก่อนมหาบพิตร ท่านจะยกทัพไปรบกับเมืองใด
ป: ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ายกกองทัพหมายจะไปปราบโจรนามว่า องคุลิมาล
พ: หากองคุลิมาล สำนึกผิดและบวชในพระธรรมวินัยนี้ มหาบพิตรจะทำอย่างไรต่อ
ป: หากเป็นเช่นนั้นจริง หม่อมฉันจะอนุโมทนา ไม่ยกกองทัพติดตามไปฆ่าล้างอีก
พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ภิกษุผู้นั่งลำดับท้ายสุดคือองคุลีมาลที่มหาบพิตรตามหา บัดนี้ได้บวชเป็นภิกษุแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศล ตกใจใบหน้าซีดเผือก ได้มองภิกษุบวชใหม่ กล่าวว่า อัศจรรย์ดีแท้ ในอดีตไม่เคยมี โจรชั่วร้ายกาจบัดนี้ได้สำนึกผิดเป็นภิกษุแล้ว หม่อมฉันขออนุโมทนา แล้วจึงเสด็จกลับพระนคร
ครั้นเวลารุ่งเช้าพระองคุลิมาลเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีชาวพระนครได้เห็นท่านเกิดความตกใจกลัว พากันวิ่งหนีเป็นอลหม่านโดยวิ่งเข้าไปในกำแพงพระราชวังปิดประตูพระนครเสีย และพูดจากันต่าง ๆ นานาบางคนพูดว่า ท่านพระองคุลิมาลปลอมเป็นสมณะเพื่อหลบหนีราชภัยบางคนพูดว่า เพื่อหวังจะประทุษร้ายคนภายในพระนคร ท่านเที่ยวบิณฑบาตไปถึงไหนก็มีเสียงโจษจันเซ็งแซ่ไปถึงนั่น ไม่มีใครถวายบิณฑบาตเลยแม้แต่เพียงทัพพีเดียว ภิกษุรูปใดไปกับท่านภิกษุรูปนั้นก็พลอยอดไปด้วย
บางครั้งชาวบ้านที่โกรธแค้นก็พากันขว้างปาก้อนหินใส่พระองคุลิมาลจนศีรษะแตก บาตรแตก เลือดไหลโทรมกายกลับมา พระพุทธเจ้าก็ทรงให้กำลังใจพระองคุลิมาลว่า นี่เป็นเพียงเศษกรรมเท่านั้น ยังเทียบไม่ได้กับผลกรรมที่จะได้รับในมหานรกเมื่อตายไป ทำให้พระองคุลิมาลมีกำลังใจในการปฏิบัติเสมอ ครั้งหนึ่งท่านเข้าไปบิณฑบาตรในหมูบ้าน ชาวบ้านพากันเกรงกลัวหลบหนีไปหมด เหลือแต่หญิงท้องแก่เจ็บครรภ์ใกล้คลอดไปไหนไม่ได้ นอนสั่นหวาดกลัวอยู่ พระองคุลิมาลได้เข้าไปใกล้แล้วกล่าวคำพูดว่า
ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส.
แปลว่า "ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่ฉันเกิดมาแล้วโดยอริยชาติ ยังไม่รู้สึกตัวว่าได้แกล้งปลงชีวิตสัตว์เลยด้วยอำนาจสัจวาจานั้น ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่หล่อน และครรภ์ของหล่อนเถิด"
ฉับพลัน หญิงนั้นได้คลอดบุตรง่ายปลอดภัยทั้งแม่ลูก ชาวบ้านทั้งหลายทราบดังนั้นจึงเลิกกลัวท่าน หันมาใส่บาตรให้ เมื่อหญิงใดใกล้คลอดทางบ้านก็มักนำน้ำ มาให้ท่านทำน้ำมนต์เสมอ เมื่อหญิงใกล้คลอดได้รับประทานน้ำมนต์ ก็คลอดลูกง่ายปลอดภัยทั้งแม่ลูกทุกรายไป ชาวบ้านก็ยิ่งเพิ่มความเคารพในตัวพระองคุลิมาลมากขึ้น
ท่านพระองคุลิมาลนั้นเป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจเจริญสมณธรรม แต่จิตฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิได้ เพราะคนที่ท่านฆ่าประดุจดังว่ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า พระบรมศาสดาทรงทราบจึงเสด็จมาแนะนำสั่งสอนไม่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้พิจารณาธรรมที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าอย่างเดียว ท่านประพฤติตามไม่ช้าก็สำเร็จอรหัตตผล เป็นพระอริยสาวกนับเข้าในจำนวนอสีติมหาสาวกองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงอายุสังขารอยู่โดยสมควรแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.
พุทธปาฏิหารย์ ตอน ปราบโจร องคุลิมาลผู้เหี้ยมโหด
ขณะนั้น ชาวบ้านทั้งหลายได้ทูล พระเจ้าปเสนทิโกศล ให้ทราบความดุร้ายเหี้ยมโหดของ องคุลิมาล หรือ ชื่อเดิมคือ อหิงสกะ แปลว่า ผู้ไม่เบียดเบียน พระองค์ก็เตรียมเกณฑ์ไพร่พลในเมือง เพื่อเอากองทัพไปปราบโจรคนเดียว จนโกลาหลไปทั้งนครสาวัตถี มารดาขององคุลิมาล ทราบข่าวด้วยความเป็นห่วงบุตรชาย จึงเสี่ยงตายไม่กลัวถูกลูกชายฆ่า หนีออกนอกเมืองไปบอกข่าวแก่ลูกชายของตนให้หนีไป
ขณะนั้น องคุลิมาล ฆ่าคนได้ 999 ศพแล้ว เหลืออีกคนจะครบหนึ่งพัน และบรรลุโมษะตามความเชื่อที่โดนหลอกไว้ จึงดำริว่า หากรุ่งเช้าพบใครก่อนจะฆ่าคนนั้น และขณะนั้นมารดาองคุลีมาลกำลังรอนแรมไปหาลูกด้วยความรักความเป็นห่วง กลัวลูกชายจะถูกฆ่าตายด้วยกองทัพพระราชา
เดชบุญขององคุลิมาล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระญานตรวจดูสัตว์โลกก่อนรุ่งเช้า พบองคุลีมาลปรากฎในข่ายพระญาน ว่าอหิงสกะมีอุปนิสัยพระอรหันต์ แต่ด้วยติดโมหะโดนอาจารย์หลอกให้ทำบาปกรรมฆ่าคนมามาก และกำลังทำอนัตริยกรรม คือกำลังจะฆ่ามารดาในตอนรุ่งเช้า เป็นการห้ามมรรคผล นิพพาน จึงทรงพระกรุณา ออกจากที่ประทับในพระเชตวันวิหาร ไปปรากฎตัวใกล้กับที่อยู่อาศัยขององคุลิมาลในป่าโดยทรงพระประสงค์ให้องคุลีมาลเห็นพระองค์ก่อนพบกับมารดา
ครั้งรุ่งเช้า องคุลิมาล พบพระพุทธเจ้าก่อนเห็นมารดา จึงดำริว่า สมณะศากยบุตร นั้นฆ่าง่ายกว่าผู้หญิง จึงไล่ตามพระพุทธเจ้าไป ด้วยอำนาจพุทธปาฏิหารย์ ไม่ว่าองคุลีมาลจะวิ่งเร็วสักปานใด ก็ไม่อาจไล่ทันพระพุทธเจ้าที่ทรงพระดำเนินธรรมดาได้ องคุลิมาลวิ่งไล่ตามพระพุทธองค์จนหมดเรี่ยวแรง จึงหยุดวิ่งทรุดตัวลงแล้วกล่าวว่า
อ: หยุดก่อนสมณะ
พ: ดูก่อน อหิงสกะ เราหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด
อ: สมถะศากยะบุตร กล่าวแต่คำสัตย์ไม่มีโป้ปด เราหยุดวิ่งแล้ว แต่ท่านยังเดินอยู่ ไฉนท่านบอกว่าหยุดแล้ว แต่เรายังไม่หยุด
พ: ดูก่อนอหิงสกะ เราหยุดเบียดเบียนแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุดเบียดเบียน เราจึงกล่าว เราหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด
องคุลิมาล ฟังแล้วสำนึกได้จึงทิ้งดาบ ทิ้งพวงมาลัยนิ้ว นั่งฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า จนสำนึกในความผิดของตน ทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทให้ แล้วติดตามพระพุทธองค์กลับพระเชตวันวิหาร
พระเจ้าปเสนทิโกศล กำลังยกทัพไปปราบองคุลิมาลตอนเช้า เมื่อยกทัพผ่านพระเชตวันวิหาร จึงมีพระประสงค์ไปถวายบังคมพระพุทธเจ้า เพื่อขอพรในการยกทัพไปปราบองคุลีมาลจึงหยุดทัพแล้วไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ที่ประทับ เมื่อพบพระพุทธองค์ ได้ปราศัยพอสมควรแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงถามว่า
พ: ดูก่อนมหาบพิตร ท่านจะยกทัพไปรบกับเมืองใด
ป: ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ายกกองทัพหมายจะไปปราบโจรนามว่า องคุลิมาล
พ: หากองคุลิมาล สำนึกผิดและบวชในพระธรรมวินัยนี้ มหาบพิตรจะทำอย่างไรต่อ
ป: หากเป็นเช่นนั้นจริง หม่อมฉันจะอนุโมทนา ไม่ยกกองทัพติดตามไปฆ่าล้างอีก
พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ภิกษุผู้นั่งลำดับท้ายสุดคือองคุลีมาลที่มหาบพิตรตามหา บัดนี้ได้บวชเป็นภิกษุแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศล ตกใจใบหน้าซีดเผือก ได้มองภิกษุบวชใหม่ กล่าวว่า อัศจรรย์ดีแท้ ในอดีตไม่เคยมี โจรชั่วร้ายกาจบัดนี้ได้สำนึกผิดเป็นภิกษุแล้ว หม่อมฉันขออนุโมทนา แล้วจึงเสด็จกลับพระนคร
ครั้นเวลารุ่งเช้าพระองคุลิมาลเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีชาวพระนครได้เห็นท่านเกิดความตกใจกลัว พากันวิ่งหนีเป็นอลหม่านโดยวิ่งเข้าไปในกำแพงพระราชวังปิดประตูพระนครเสีย และพูดจากันต่าง ๆ นานาบางคนพูดว่า ท่านพระองคุลิมาลปลอมเป็นสมณะเพื่อหลบหนีราชภัยบางคนพูดว่า เพื่อหวังจะประทุษร้ายคนภายในพระนคร ท่านเที่ยวบิณฑบาตไปถึงไหนก็มีเสียงโจษจันเซ็งแซ่ไปถึงนั่น ไม่มีใครถวายบิณฑบาตเลยแม้แต่เพียงทัพพีเดียว ภิกษุรูปใดไปกับท่านภิกษุรูปนั้นก็พลอยอดไปด้วย
บางครั้งชาวบ้านที่โกรธแค้นก็พากันขว้างปาก้อนหินใส่พระองคุลิมาลจนศีรษะแตก บาตรแตก เลือดไหลโทรมกายกลับมา พระพุทธเจ้าก็ทรงให้กำลังใจพระองคุลิมาลว่า นี่เป็นเพียงเศษกรรมเท่านั้น ยังเทียบไม่ได้กับผลกรรมที่จะได้รับในมหานรกเมื่อตายไป ทำให้พระองคุลิมาลมีกำลังใจในการปฏิบัติเสมอ ครั้งหนึ่งท่านเข้าไปบิณฑบาตรในหมูบ้าน ชาวบ้านพากันเกรงกลัวหลบหนีไปหมด เหลือแต่หญิงท้องแก่เจ็บครรภ์ใกล้คลอดไปไหนไม่ได้ นอนสั่นหวาดกลัวอยู่ พระองคุลิมาลได้เข้าไปใกล้แล้วกล่าวคำพูดว่า
ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส.
แปลว่า "ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่ฉันเกิดมาแล้วโดยอริยชาติ ยังไม่รู้สึกตัวว่าได้แกล้งปลงชีวิตสัตว์เลยด้วยอำนาจสัจวาจานั้น ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่หล่อน และครรภ์ของหล่อนเถิด"
ฉับพลัน หญิงนั้นได้คลอดบุตรง่ายปลอดภัยทั้งแม่ลูก ชาวบ้านทั้งหลายทราบดังนั้นจึงเลิกกลัวท่าน หันมาใส่บาตรให้ เมื่อหญิงใดใกล้คลอดทางบ้านก็มักนำน้ำ มาให้ท่านทำน้ำมนต์เสมอ เมื่อหญิงใกล้คลอดได้รับประทานน้ำมนต์ ก็คลอดลูกง่ายปลอดภัยทั้งแม่ลูกทุกรายไป ชาวบ้านก็ยิ่งเพิ่มความเคารพในตัวพระองคุลิมาลมากขึ้น
ท่านพระองคุลิมาลนั้นเป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจเจริญสมณธรรม แต่จิตฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิได้ เพราะคนที่ท่านฆ่าประดุจดังว่ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า พระบรมศาสดาทรงทราบจึงเสด็จมาแนะนำสั่งสอนไม่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้พิจารณาธรรมที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าอย่างเดียว ท่านประพฤติตามไม่ช้าก็สำเร็จอรหัตตผล เป็นพระอริยสาวกนับเข้าในจำนวนอสีติมหาสาวกองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงอายุสังขารอยู่โดยสมควรแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.