ให้เงินเดือนพ่อแม่ แต่ตัวเองไม่มีเงินเก็บ

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับเพื่อนๆพันทิป
กระทู้แรกของผมครับ แท็กห้องผิด หรือพิมพ์อะไรผิด ขออภัยด้วยนะครับ

จะเล่ารายละเอียดให้คร่าวๆเลยนะครับ
คือผมขายของทางอินเตอร์เน็ต และมีหน้าร้านของตัวเองด้วย
ขายมาเข้าปีที่ 4 (2558) ครับ

มีหนี้ที่ต้องจ่ายทุกเดือน เดือนละ 25,000฿ (ค่าผ่อนบ้าน)
พ่อแม่ ไม่ได้ทำงานแล้วครับ ท่านอายุ 50-60 ครับ

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน  ขายดีมากครับ รายได้เดือนนึงประมาณ80,000฿
ให้เงิน พ่อแม่ รวมกัน 30,000฿/เดือน
(เงินเก็บหลักแสน)

แต่พอมาปีนี้ ผมเริ่มแย่มากๆเลยครับ เศรษฐกิจด้วย คู่แข่งด้วย อะไรหลายๆอย่างมาชนกัน
รายได้เดือนนึงตกประมาณ 50,000฿ ครับ
ให้เงินพ่อแม่ รวมกัน 15,000฿
เงินที่เก็บมาทั้งหมด ก็เอาไปลงทุนหมดเลยครับ ซึ่ง..กำไรไม่งอกขึ้นเลย
ขายไม่ดีเอาสุดๆ อาจจะเป็นช่วงตกของผมก็ได้ TT
ซึ่งตอนนี้เดือนนึงผมเหลือเงินประมาณ10,000฿ค่ากิน ค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน

ค่าบ้านผมส่งเองทุกเดือนตลอดอยู่แล้วครับ

คือตอนนี้ผมเครียดมาก แต่ก็ไม่อยากแสดงออกมากเกิน กลัวท่านจะรู้ แต่จริงๆท่านคงรู้
ผมควรทำยังไงต่อดี คือถ้าผมให้เงินเดือนน้อยกว่านีอีก ท่านก็จะไม่มีเงินใช้เลย
ผมไม่มีเงินเก็บ มีเท่าไรก็ให้พ่อแม่หมดเลย บางเดือนอาจมากกว่า 15,000฿
คือผม งง ไม่รู้จะทำไงต่อ หรือผมควรทำแบบนี้ต่อไป ผมก็ไม่ได้เครัยดที่ให้เงินพ่อแม่
ผมมีความสุขนะครับ ที่ได้ให้ถึงแม้ตัวเองจะคาอนข้างลำบาก
แต่ท่านก็ลำบากมามากกว่านี้เยอะแล้ว ผมอยากให้ท่านสบายๆอะคร้บ

ที่เครียด คือผมไม่มีเงินเก็บเหมือนเมื่อก่อน หรือผมโง่เอง เอาไปลงทุนหมดเลย แล้วขายไม่ได้เอง

เลยอยากมาระบาย มาบอกความรู้สึกตอนนี้อะครับ

อ่านแล้ว งง ขอโทษด้วยครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
คุณจขกท.กตัญญูมาก ขอชื่นชมครับ

แต่คุณจขกท.เข้าใจผิดเรื่องสัดส่วนการจัดสรรเงินจริงๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดเลยครับ โง่มาก่อนฉลาดผิดเป็นครูจริงๆครับ

ผมเคยตกในสภาพเดียวกันกับจขกท.มาก่อน  ได้เงินมากมายก็ให้แม่หมด ตัวเองไม่เคยมีเก็บเลย
จนวันหนึ่งคงถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงมั้งครับ ผมประสบเหตุฉุกเฉิน อุบัติเหตุครับ  
วูบนั้นคิดว่าตัวเองกำลังจะตายแน่
เชื่อไหม ที่ผู้ใหญ่เคยบอกว่า..สิ่งที่เรายังไม่เคยได้ทำมันจะวูบขึ้นมาตอนนั้น...มันจริงด้วยครับ
ผมวูบภาพแรกในหัวเลยคือ "แม่" ครับ  คำแรกที่ผุดขึ้นมาเลยคือ
"แม่เราจะอยู่ได้ยังไงถ้าเราตายไปแล้ว เพราะทุกวันนี้เราให้แม่เพิ่งพาให้เราหาเลี้ยงมาตลอดเลย"

หลังจากวันนั้นผมปฏิวัติตัวเองเลยครับ  เริ่มเก็บออมเงินไว้ยามฉุกเฉินและวางแผนเงินรักษาพยาบาล
ไม่ใช่หาเงินได้เท่าไหร่ก็ให้แม่หรือใช้หนี้แทนทุกครั้ง
และบอกแม่ว่าเงินที่ให้ไปแม่ต้อง "ฝึกบริหารให้งอกเงย" ได้แล้ว  
เพราะถ้าแม่ผมทำไม่ได้ ให้ไปก็ใช้หมด แม่จะลำบากมากเวลาที่ผมหาเงินไม่ได้อีก หรือตายจากโลกนี้ไป
การที่ผมมีเงินออมไว้ มันจะช่วยได้บ้างกรณีที่ผมจากไป แม่ยังพอมีเงินสำรองใช้
แต่ถ้าแม่บริหารเงินนั้นไม่เป็น ยังใช้เงินขนาดนี้อยู่ ภายใน 2-3 ปีเงินที่ผมทิ้งไว้ให้ก็หมดแน่ๆ

ยิ่งผมรักแม่มากเท่าไหร่ผมยิ่งต้องคิดให้รอบคอบทุกด้าน ว่าแม่ต้องไม่ลำบากเมื่อผมไม่อยู่หรือให้เงินไม่ได้แล้วครับ


ส่วนเรื่องเงินลงทุนธุรกิจ  คุณจขกท.ต้องแยกการเงินออกให้ชัดเจนครับ
1. เงินส่วนตัวไม่ใช่เงินธุรกิจ อย่าเอาเงินออม เงินบำนาญ เงินประกัน ฯลฯ มาลงธุรกิจ
ธุรกิจต้องสร้างรายได้เป็นกำไรสะสมให้ได้  
ถ้าเอาเงินส่วนตัวมาลง ต้องเป็นรูปแบบว่า
1.1 "ธุรกิจเรายืมเงินเรา พร้อมจ่ายดอกเบี้ยกู้ยืม" แล้วพอได้เงินมาก็ต้องมีระบบการคืนหมดหรือผ่อนชำระทีละงวด ทำตามระเบียบเลยครับ
หรือ 2.2 "เราเพิ่มเงินทุนในธุรกิจ" ดังนั้นสัดส่วนหุ้นของเราต้องโตขึ้น
ต่อให้เป็นการค้าแบบรถเข็น หรือร้านชำ ก็ต้องทำระบบครับ แล้วเงินจะชัดเจน

2. เงินธุรกิจไม่ใช่เงินส่วนตัว  จึงอย่าเอาเงินธุรกิจมาใช้ส่วนตัว
เจ้าของกิจการจำนวนมากชอบคิดว่าเงินธุรกิจคือเงินของฉัน เลยชอบชักเงินมาใช้เรื่องส่วนตัว หรือซื้อของส่วนตัวแล้วไปเบิกจากธุรกิจ
มั่วตายเลยครับ

คุณจขกท.ต้องรักษาเงินออมไว้ แล้วธุรกิจต้องจ่ายเงินเดือนตัวเองให้ได้
ถ้าจ่ายเงินเดือนไม่ได้ มีแต่กำไร ก็ต้องแบ่งค่าแรงตัวเองออกมา
ถ้าธุรกิจทำแบบนี้ไม่ได้ตั้งแต่แรก แปลว่าธุรกิจเราไม่ทำเงินพอครับ
แต่ถ้าธุรกิจเราทำเงินได้ แต่ขยายตัวเร็วมาก ต้องการเงินทุนเพิ่ม ก็ต้องใช้วิธียืมเงินเจ้าของกิจการไปหมุนในธุรกิจ
คุณต้องได้ดอกเบี้ยเงินกู้ครับ(= ดอกฝากประจำ+2 ตามกฎ) และต้องมีแผนผ่อนชำระเงินคืน กี่งวด ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ว่าไปครับ

ส่วนเรื่องพ่อแม่  บอกท่านว่าขอลดเงินที่ให้ลงก่อนเพราะมีปัญหาสภาพคล่อง
อย่าลืมว่าคุณต้องเอาตัวรอดก่อนครับ เพราะถ้าเอาพ่อแม่รอดแต่คุณล้ม ท่านย่อมล้มตามคุณด้วย
แล้วพยายามช่วยให้พ่อแม่ท่านบริหารเงินจนดูแลตัวเองได้โดยไม่มีคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่