พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๑๓ ธิดาลูกไม้แดง ๒

กระทู้สนทนา
ตอนที่ผ่านมา

บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32585189
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32602706
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32624570
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/33134702
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/33193541
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/33210238
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/33227741
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/33244919
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/33262874
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/33324239
บทที่ ๑๑ http://ppantip.com/topic/33496047
บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/33511561


สัตว์พันปี : บทที่ ๑๓ ธิดาลูกไม้แดง ๒

สาวงามที่ประกวดธิดาลูกไม้แดงในปีนี้มีจำนวนด้วยกันทั้งสิ้นสิบสองคน กติกามิได้กำหนดอายุและมาตรฐานความงามของเหล่าผู้ประกวดเอาไว้ ขอเพียงยังไม่ได้ออกเรือนและมีผู้รับรองก็ถือว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน จึงมีหญิงสาวที่อายุเลยวัยแต่งงานแต่มีฝีมือทำอาหารฉกาจฉกรรจ์เข้าร่วม แม้ไม่ชนะเลิศหากทำอาหารได้ประทับใจเศรษฐีใหญ่ซึ่งเป็นกรรมการ ก็จะได้รับทองคำและแพรผ้าเนื้อดีเป็นรางวัล

ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งธิดาลูกไม้แดงได้จะต้องมีคุณสมบัติสำคัญสามประการคือความงาม ความเป็นกุลสตรีและความดี หัวข้อความงามตัดสินจากจำนวนดอกไม้ที่ได้รับ ก่อนเข้ามายังจัตุรัสกลางเมืองจะมีการแจกดอกไม้กระดาษให้คนละดอก หากชื่นชอบใครก็ให้นำดอกไม้ไปใส่ไว้ในกล่องข้างเวทีที่ผู้เข้าประกวดยืนอยู่ หัวข้อความเป็นกุลสตรีวัดกันที่ฝีมือทำอาหาร ส่วนความดีเป็นการตอบคำถามเกี่ยวกับหลักคุณธรรมและความกตัญญู เรียกว่าทดสอบไหวพริบปฏิภาณก็คงไม่ผิดนัก

ก่อนเริ่มการประกวด ได้มีการจัดชุดโต๊ะเก้าอี้ขนาดใหญ่เอาไว้บริเวณหน้าเวทีด้านเหนือ แล้วกั้นเชือกล้อมเอาไว้สำหรับแขกพิเศษ บริเวณนี้นับรวมกันแล้วได้สิบสองที่นั่ง เท่ากับผู้เข้าร่วมการประกวดพอดี คนเหล่านี้คือผู้สนับสนุนหรือผู้รับรอง ที่ต้องมีก็เพราะหลายปีก่อนมีคนที่เคยแต่งงานแล้วแอบมาประกวด จากนั้นก็หอบรางวัลหนีไปก่อนที่ความจะแตก ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ได้รับตำแหน่งรอง จึงต้องมีการหาคนมารับรองเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าผู้เข้าประกวดยังไม่เคยผ่านการสมรสมาก่อน

ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าไม่ก็ขุนนาง แม้จะไม่ร่ำรวยหรือมีตำแหน่งใหญ่โตมาก แต่ก็ถือว่ามีหน้ามีตาในเขตนี้ จึงต้องรอให้ผู้สนับสนุนมานั่งประจำที่ครบทุกคนเสียก่อน ค่อยลั่นฆ้องบอกเริ่มการประกวด จวินถงมาถึงเป็นคนสุดท้ายทำให้การแข่งขันเริ่มช้ากว่ากำหนดพักหนึ่ง กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าตำหนิเพราะเกรงกลัวอิทธิพล

หลังจากให้สัญญาณเริ่มการประกวดแล้ว กรรมการทั้งสามท่านก็ถูกเชิญขึ้นมานั่งที่ขอบเวทีบริเวณทิศใต้ ท่านแรกคือพ่อเมืองเมืองนี้ ท่านที่สองคือเศรษฐีจาง ส่วนท่านสุดท้ายคือผู้ช่วยนายอำเภอ ผู้ดำเนินรายการบนเวทีขานนามทั้งสามท่านเสร็จแล้วจึงให้ผู้ประกวดแต่ละคนเดินขึ้นมาอวดโฉม ระหว่างที่เดินมานี้จะมีการแจ้งชื่อเสียงเรียงนามของแต่ละคนให้ทราบโดยทั่วกัน นอกจากชื่อแซ่แล้วยังบอกว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เป็นคนที่ไหนเสร็จสรรพ

ในขณะที่การประกวดเริ่มต้นขึ้น สายตาของหยางเจี้ยนกลับสังเกตการณ์โดยรอบอย่างระวังระไว ไม่คิดสนใจสาวงาม เมื่อเช้าเขาติดภารกิจต้องดูแลไป๋หลินกับฟางเซียน จึงยังไม่มีโอกาสไปพบเถ้าแก่หวังเรื่องคดีของลูกชาย ได้แต่ตามสาวใช้คนที่เจอกันเมื่อวันก่อนมาสอบถามว่าฮูหยินกับเถ้าแก่มีท่าทีเช่นไร นางบอกว่าฮูหยินอยากให้จับตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ แต่เถ้าแก่กลับนิ่งเฉย เอาแต่พูดว่าให้ตัดใจ คนตายไปแล้วทำอย่างไรก็ไม่ฟื้นคืน

หยางเจี้ยนคิดว่าการไม่ทวงความเป็นธรรมให้ลูกชายออกจะผิดวิสัยเถ้าแก่อยู่มาก เห็นทีคงต้องหาเวลาไปพบให้ได้ นอกจากเรื่องนี้แล้ว สาวใช้ยังบอกอีกด้วยว่าจวินถงมีความสัมพันธ์กับพวกลักพาตัวผู้หญิง โดยเรียกใช้เป็นงานๆ ไป หรือไม่บางทีพวกนั้นได้สาวงามมาแล้วรู้ว่าจวินถงอยู่ที่นี่ ก็จะแอบมาหาแล้วเสนอขาย ที่นางรู้ก็เพราะว่าบังเอิญได้ยินตอนคุยกัน นางกลัวมากไม่กล้าเอาไปบอกใคร แต่ที่บอกหยางเจี้ยนก็เพราะคิดว่าตอนนี้จวินถงกำลังหมายตาผู้หญิงที่มากับหยางเจี้ยนอยู่

หยางเจี้ยนไม่แปลกใจนักเพราะคาดการณ์เอาไว้แต่แรก จวินถงคงอยากให้ไป๋หลินชนะจากนั้นก็มาติดต่อทาบทามไปเป็นอนุภรรยา ตัวเองจะได้ได้หน้าว่ามีเมียเป็นธิดาลูกไม้แดง ที่ทั้งงามและมีความเป็นกุลสตรี

“ถ้ากล้าแตะต้องนาง ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” ชายหนุ่มจับกระบี่ในมือแน่น เป็นสัญญาณว่าพร้อมที่จะปกป้องนางในดวงใจสุดกำลัง


บนเวทีประกวด โบ้ได้รับการขานชื่อเป็นคนสุดท้าย กะเทยไทยในร่างสาวสวยค่อยๆ เยื้องย่างอย่างสง่า กรีดกรายขึ้นไปบนเวที ดูแช่มช้อยงดงาม สมกับที่แอบซ้อมมาตั้งแต่วัยเยาว์

ความสวยของไป๋หลินทำผู้คนตะลึงตะลานไม่เว้นแม้แต่ผู้ดำเนินรายการ จากที่พูดจาฉะฉานเปลี่ยนเป็นตะกุกตะกักเสียงขาดช่วง กว่าจะประกาศจบเล่นเอาลุ้นจนเหนื่อย แถมยังลืมประกาศไปเสียอีกว่าใครเป็นผู้สนับสนุน คนของจวินถงที่ยืนอยู่ติดขอบเวทีต้องกระแอมเตือนเสียงดังจึงได้ประกาศตามหลังมา

“ผู้สนับสนุนของนางฟ้าไป๋หลินคือท่านลู่จวินถง”

ผู้ชมต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความสงสัยว่าจวินถงไปพบเจอนางฟ้าคนงามนี้ที่ใด คำชมมากมายดังอื้ออึงเสียจนคนกันเองยังอดวิจารณ์ไม่ได้

“พิธีกรนี่ลำเอียงเห็นๆ เลย คนอื่นเรียกแม่นาง ทีอิโบ้ดันเรียกนางฟ้า” แว่นว่า

เรื่องความสวยเขาไม่เห็นค้าน แต่ที่พูดนี่เพราะหมั่นไส้เพื่อนตัวดีที่ยืนยิ้มแก้มแตกอยู่บนเวที สงสัยจริงเชียวว่าจะอดใจให้ไม่รั่วได้สักกี่น้ำ

“โบ้สวยที่สุดจริงๆ นี่นา” หน่อมมองอย่างยุติธรรม

“ลองมันได้ทำอาหารก่อนเถอะ ได้เปลี่ยนจากนางฟ้าเป็นฆาตกรแน่”

ก่อนการประกวดแว่นกับหน่อมคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องฝีมือการทำอาหารของโบ้อย่างไร แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม มาถึงขั้นนี้แล้วบังคับให้ลงจากเวทียากยิ่งกว่าจับเสือมือเปล่าอีก

“อยู่ร่างนี้บางทีฝีมืออาจจะดีขึ้นบ้างก็ได้นะ”

“ขอให้เป็นอย่างที่แกพูดแล้วกัน” แว่นตอบพลางชะเง้อมองหาเจ้

เขาเห็นจางไห่ที่ถูกใช้ให้ไปตามเจ้อยู่แวบๆ ด้านล่าง แต่ไม่เห็นว่ามีใครที่มีลักษณะคล้ายเจ้ตามมาด้วยเลย รออีกสักครู่หนึ่งองครักษ์หนุ่มก็มารายงานว่าแม่นางหลงกับท่านหวงขอชมการแข่งขันอยู่หน้าเวที

“ฟางเซียนอยู่ตรงไหนหรือ”

“ตรงนั้นขอรับ ผู้หญิงที่สวมหมวกผ้าโปร่ง”

พอจางไห่ชี้นิ้วให้ดูแว่นกับหน่อมก็เห็นทันที เจ้สวมหมวกปีกกว้างมีผ้าโปร่งสีขาวเย็บติดกับปลายหมวกยาวคลุมลงไปจนเกือบถึงพื้น รอบตัวในรัศมีหนึ่งช่วงแขนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ส่วนหนึ่งเพราะหยางเจี้ยนยืนคุม อีกส่วนเพราะผู้คนแถวนี้มีความเชื่อผิดๆ ว่าถ้าไม่ใช่ชนชั้นสูงมีเชื้อมีแถวจะไม่ใส่กัน จึงเกรงว่าจะเผลอไปล่วงเกินสตรีสูงศักดิ์เข้า ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ต้องมีเชื้อสายขุนนางหรอก แค่มีเงินก็สั่งตัดมาสวมได้ ผู้หญิงในเมืองหลวงนิยมกันมาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน ตัวผ้าไม่เพียงแต่ช่วยกันแดด ยังช่วยปิดบังหน้าตาที่มีเหงื่อไหลไคลย้อยได้ด้วย

“สงสัยเจ้อยู่คอยช่วยโบ้” หน่อมกระซิบบอก

เวทีแบบเปิดอย่างนี้ตะโกนบอกอะไรไปย่อมไม่ผิดกติกา เจ้เป็นคนทำอาหารเก่ง ลองคอยช่วยกำกับแบบใกล้ชิดขนาดนี้ อาหารของโบ้ก็น่าจะพอกินได้

แว่นพยักหน้าเห็นด้วย เขามองไปที่เพื่อนแล้วส่งกำลังใจไปให้คนที่มีภารกิจช่วยชีวิตกรรมการอย่างเต็มที่


การประกวดอย่างแรกคือความงามจบลงอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ในกล่องของโบ้มีดอกไม้ล้นทะลัก ไม่ต้องนับคะแนนทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าไป๋หลินชนะไปอย่างสวยงาม

บรรดาผู้สนับสนุนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับจวินถงต่างก็พร้อมใจกันมาแสดงความยินดี แต่ก็มีบ้างที่พูดข่มกัน

“เรื่องความดีความงามคนของข้าแข่งไม่ไหว แต่ถ้าเรื่องการทำอาหารคงต้องขอล่วงเกินแล้ว” เถ้าแก่เสิ่นว่า

สาวงามที่เข้าประกวดของเถ้าแก่เสิ่นเป็นหญิงร่างอวบวัยสามสิบกว่า หน้าตานางไม่ได้ขี้ริ้วนัก ที่โสดมาจนป่านนี้เพราะฝักใฝ่ในการทำอาหารเป็นอย่างยิ่ง เฝ้าเรียนรู้ฝึกฝนจนได้เป็นหัวหน้าแม่ครัวในภัตตาคารมีชื่อ นอกจากอาหารคาวแล้ว ฝีมือการทำอาหารหวานยังล้ำเลิศยิ่งนัก

“ไม่แน่หรอกท่าน แม่นางมู่ของท่านลู่อาจจะเป็นสุดยอดแห่งกุลสตรีก็ได้” คนที่อยากประจบว่า

จวินถงยิ้มรับโดยไม่ถ่อมตัว คนหน้าใหญ่ใจลำพองเริ่มคิดว่าหากไป๋หลินชนะทั้งสามรายการเลยคงไม่เลว

ทั้งผู้สนับสนุนและเข้าประกวดต่างก็ไม่ตื่นเต้นเมื่อถึงคราวต้องปรุงอาหาร คนหนึ่งเห็นว่านางมีสีหน้ามั่นใจมากก็เชื่อตามนั่น โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นคือความมั่นใจไร้สติอย่างแท้จริง กติกาการประกวดรอบนี้คือให้ทำขนมหรืออาหารจากลูกไม้สีแดง โบ้นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรเลยคิดว่าจะลองจับทุกอย่างใส่หม้อมั่วๆ ดู

แม่ครัวมือหนึ่งอย่างเจ้รู้เข้าถึงกับกุมขมับ ฝีมือการทำอาหารของโบ้จัดเป็นพรสยองที่หาได้ยากยิ่ง นอกจากอาหารสำเร็จรูป ทุกอย่างที่ผ่านการปรุงจากโบ้ล้วนมีค่าความเป็นพิษขลังระดับยาฆ่าหญ้า

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเจ้าตัวมักจะมีไอเดียหรือความคิดชั่วแล่นแวบเข้ามาในหัว แล้วจัดการทำนอกสูตรในทันใด นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการแยกแยะวัตถุดิบต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คนอื่นทำอาหารแยกเกลือกับน้ำตาลไม่ได้เพราะไม่ทันมองยังพอเข้าใจ แต่โบ้แยกผงซักฟอกกับน้ำตาลไอซิ่งไม่ออก พอหยิบผิดยังมีการมโนเสร็จสรรพว่า

‘น้ำตาลเดี๋ยวนี้เก๊เก๋มีเม็ดบีดส์ฟ้า พร้อมกลิ่นคูลบลูหอมชื่นใจด้วย’

เพื่อไม่ให้เพื่อนตัวดีก่อเรื่องพี่เลี้ยงนางงามจำเป็นก็เลยจัดการสอนทำขนมง่ายๆ ให้ เจ้เลือกพุทรายัดไส้เพราะคิดว่าเมนูนี้น่าจะปลอดภัยที่สุด ไม่มีการใช้กระทะทอดน้ำมันให้โบ้เปลี่ยนเวทีเป็นทะเลเพลิง ไม่มีการใช้เตาอบให้เสี่ยงขนมไหม้ ต่อให้นึ่งนานเกินไปก็ไม่เป็นปัญหา นอกจากนี้ยังใช้วัตถุดิบไม่กี่อย่างมีแค่พุทราแห้ง แป้งข้าวเหนียว น้ำเชื่อมและงาคั่ว กรรมวิธีการทำก็แสนง่าย เริ่มต้นจากนำพุทราแห้งมาคว้านเม็ดออก จากนั้นก็นำแป้งข้าวเหนียวไปผสมน้ำนวดให้เข้ากันแล้วยัดเป็นไส้ เอาไปนึ่งสักสิบนาที แล้วตักใส่จานราดด้วยน้ำเชื่อมโรยงาลงไป เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อยพร้อมรับประทาน

พุทรายัดไส้จะอร่อยหรือไม่อร่อยขึ้นอยู่กับวัตถุดิบเป็นส่วนใหญ่ เจ้เลยไปเลือกซื้อวัตถุดิบมาให้เอง พุทราแห้งลูกโต น้ำเชื่อมขอแบ่งซื้อมาจากร้านขายขนมแล้วเอามาปรับรสเอง งาก็คั่วมาแล้ว ส่วนแป้งข้าวเหนียวดูจากกลิ่นและสีก็รู้ว่าเป็นของคุณภาพ เตรียมให้เสียดิบดีขนาดนี้ถ้าโบ้ยังทำเสียเรื่องอีกก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว

“เริ่มการแข่งขันทำอาหารได้” ผู้ดำเนินรายการประกาศเสียงดัง

การแข่งขันทำอาหารในโลกนี้ไม่คนมาพากย์อย่างตื่นเต้นเผ็ดร้อนเหมือนอย่างรายการโทรทัศน์ แต่มีตำแหน่งเซียนเวทีคอยตะโกนบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ผู้คนได้รู้ ตำแหน่งนี้มีค่าจ้างให้ การประกวดครั้งนี้มีการจ้างเซียนเวทีถึงสามคน ประจำตำแหน่งตามทิศที่มีผู้เข้าประกวดประจำอยู่ เซียนเวทีฝั่งทิศตะวันออกเป็นคนอารมณ์ดี เสียงดังกว่าใคร ประจวบเหมาะว่าโบ้อยู่ตรงนี้พอดี การบรรยายอันแสนสนุกสนานเลยเกิดขึ้น

“แม่นางลู่หยิบผลไม้ขึ้นมาแล้ว โอ้! แปลกยิ่งนัก นางใช้พุทราแห้ง ไม่ได้ใช้ของสด”

เซียนเวทีซึ่งอยู่ห่างจากเจ้ไปไม่ไกล มองอย่างพิจารณา อึดใจก็โพล่งออกมาเสียงดัง

“ช่างเข้าใจเลือกยิ่งนัก พุทราแห้งคือผลไม้มงคล กินแล้วอายุยืนยาว”

คนที่ช่วยคิดเมนูฟังแล้วกลอกตา ได้อายุสั้นอายุยาวอีกเดี๋ยวก็รู้กัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่