พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๑๑ คดีคนหาย

กระทู้สนทนา
พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๑๑ คดีคนหาย


ตอนที่ผ่านมา

บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32585189
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32602706
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32624570
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/33134702
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/33193541
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/33210238
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/33227741
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/33244919
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/33262874
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/33324239

สัตว์พันปี : บทที่ ๑๑ คดีคนหาย

คำเตือนของสาวใช้ฟังผิวเผินก็เหมือนกับคำแนะนำทั่วไป ช่วงเทศกาลมีคนต่างถิ่นมาก มีพวกอันธพาลหรือโจรปะปนมาย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก พวกนี้มักชอบก่อเรื่องระรานชาวบ้าน ไม่ก็ฉุดคร่าหญิงงาม อย่าว่าแต่นักเดินทางเลยคนท้องที่ยังต้องระวังตัว

หยางเจี้ยนมิได้ติดใจข้อความนี้ สีหน้ากับแววตาของสาวใช้ต่างหากที่ชวนกังขา เขารู้สึกได้ว่ามีอันตรายที่มากกว่าคำเตือนมาพร้อมกับงานเทศกาล ชายหนุ่มตัดสินใจออกไปสืบข้างนอกเดี๋ยวนั้น โดยอ้างว่าจะไปพบสหายนอกเมือง  ให้ไป๋หลินอยู่คุ้มกันองค์ชายองค์หญิงที่โรงเตี๊ยมอย่าเพิ่งออกไปไหน ไป๋หลินยังช่วยองค์หญิงสิบจัดข้าวของไม่เสร็จ จึงรับปากแต่โดยดี

ขณะนี้ดวงตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า พอมีเวลาให้สอบถามเรื่องราวจากชาวบ้าน เนื่องจากเป็นเมืองเล็กแผงขายของในตลาดจึงเก็บเร็ว เหลือที่ยังมีผู้คนหนาตาแค่บริเวณลานกว้างกลางเมืองเท่านั้น ขณะนี้ชาวบ้านกำลังช่วยกันก่อสร้างเวทีอย่างแข็งขัน แว่วว่าจะมีการประกวดธิดาลูกไม้แดงในวันรุ่งขึ้น เยื้องกันไปไม่ไกลมีเพิงขายสุราอาหาร ขนมและผลไม้ตั้งเรียงกัน หยางเจี้ยนสังเกตว่าเจ้าของร้านขายขนมงาเป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางช่างคุยจึงแสร้งทำไปซื้อสินค้า

“ขนมนี่ราคาเท่าไร”

“ชิ้นละหนึ่งแดง ถ้าเหมาหมดนี่ข้าขายให้สิบแดงเท่านั้น”แม่ค้าโปรยยิ้มอย่างเชื้อเชิญ

ในถาดมีขนมอยู่สิบสองชิ้น ขนาดมันเล็กกว่าขนมงาที่ขายกันทั่วไปแต่ทอดได้สีสวยน่ารับประทาน ใช้ทั้งงาขาวและงาดำคลุกเคล้าจนทั่วก้อนแป้ง

“ขอสักชิ้นก่อนก็แล้วกัน ถ้าอร่อยข้าจะซื้อไปฝากน้องสาว” หยางเจี้ยนว่าแล้วส่งเงินให้

ชายหนุ่มหยิบขนมเข้าปากแล้วชมว่ารสชาติดีให้เจ้าของร้านชื่นใจ จากนั้นค่อยซื้อขนมเพิ่มและชวนคุยเรื่องที่อยากรู้

“ข้าได้ยินว่าช่วงเทศกาลมักเกิดเหตุร้าย ท่านน้าพอรู้รายละเอียดไหม”

“ก็มีคนทะเลาะกันทุกปีนั่นแหละ คนหายคนตายมีเป็นประจำ พ่อหนุ่มก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน อย่าไปมีเรื่องกับพวกนักเลงเข้าล่ะ” คนขายขนมว่า

“ข้าก็เคยได้ยินว่ามีสาวงามเคราะห์ร้าย ใครกันน้า...นึกชื่อไม่ออกเสียแล้ว”

หยางเจี้ยนลองโยนหินถามทาง เขาสะกิดใจที่สาวใช้เตือนเรื่องหญิงงามประจวบเหมาะที่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นพอดีจึงได้ข้อมูลเพิ่ม

“ลูกสาวตระกูลโต่ง ชื่อโต่งยี่หลิง นางเคยได้เป็นธิดาลูกไม้แดงด้วยนะ น่าสงสารเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะหมั้นหมาย”

“นางเป็นอะไรไปรึ”

“นางหายไป จนบัดนี้ก็ยังไม่มีคนเจอตัว”

“หนีออกจากบ้านเพราะไม่อยากแต่งงานกระมัง” หยางเจี้ยนแสดงความเห็น

หมู่บ้านที่เขาเติบโตมากับหุบเขาหิมะเกิดเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยๆ เพราะพวกผู้หญิงที่เป็นวรยุทธ์มักดื้อรั้นกว่าสตรีทั่วไปมีทั้งที่ยอมกลับมาเพราะบิดามารดาสัญญาว่าจะไม่บังคับใจ ที่หนีหายสาบสูญไปหลายปี กลับมาอีกครั้งพร้อมลูกและสามีก็มีเช่นกัน

“ไม่มีทางหรอกพ่อหนุ่ม” แม่ค้าขนมยืนยันอย่างมั่นใจ “คู่หมั้นของนางคือบุตรชายของตระกูลหวัง เจ้าของโรงเตี๊ยมใหญ่นั่นไง เฉาปางกับยี่หลิงหมั้นกันมาแต่เล็ก โตขึ้นมาก็รักกันดี ขนาดมีคนใหญ่คนโตมาขอไปเป็นอนุนางยังปฏิเสธเลย”

“คนใหญ่คนโตที่ว่านี่ใครกัน”

เจ้าของร้านนิ่งไปอึดใจ นางเหลียวซ้ายแลขวาก่อนกระซิบบอก

“หลานชายท่านเจ้าเมือง ลู่จวินถงคนนั้นไง”

เจ้าเมืองห่าวซินแซ่ลู่ หยางเจี้ยนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามคนตระกูลนี้อยู่บ้าง แต่กลับไม่คุ้นชื่อลู่จวินถงเลยแสดงว่าไม่ได้รับราชการ

“ถูกปฏิเสธแบบนั้นลู่จวินถงไม่โมโหรึ”

“โมโหสิ เป็นเรื่องใหญ่ระดับที่นายอำเภอต้องมาไกล่เกลี่ยทีเดียว”

“ชายหญิงหมั้นกันผู้ใหญ่รับรู้ แต่กลับไปแย่งชิงคู่หมั้นคนอื่น แสดงว่าลู่จวินถงคนนี้ยึดเอาความพอใจเป็นหลักไม่สนถูกผิด เลวสิ้นดี”

แม่ค้าวัยกลางคนมีสีหน้าตกใจเป็นอันมากเมื่อได้ยินหยางเจี้ยนตำหนิจวินถง นางเตือนทันทีว่าให้ระวังปาก ตอนนี้ลู่จวินถงมาเที่ยวงานเทศกาลด้วย คนของเขามีมากมาย ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็อย่าพูดอะไรทำนองนี้อีก

“ขอบคุณท่านน้าที่ตักเตือน ข้าจะระวังตัว”

หยางเจี้ยนเห็นแม่ค้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว จึงหอบหิ้วขนมมาจากแผงแล้วลองชวนคนอื่นคุยบ้าง ทำเช่นนี้ไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินจึงรวบรวมข้อมูลได้

ลู่จวินถงเป็นบุตรของน้องชายเจ้าเมืองห่าวซิน มีนิสัยเจ้าชู้รักสนุกมีอนุภรรยามากมาย ทุกครั้งที่มาที่เมืองนี้เขามักจะทำตัวกร่างราวกับเป็นเจ้าเมืองเสียเอง เฉาปางตายหลังจากมีเรื่องกับจวินถงไม่นาน บัดนี้ก็ยังตามจับตัวคนร้ายมาไม่ได้ หลายคนสงสัยจวินถงแต่ก็ไม่มีใครกล้าสืบหาความจริง

ทางด้านยี่หลิงนางหายตัวไปหลังจากเฉาปางตายไม่นาน ไม่มีใครรู้ว่าไปไหนบ้างก็ว่านางฆ่าตัวตาย บ้างก็ว่าโดนจวินถงจับไปเป็นอนุภรรยา ไม่ก็ว่าหนีภัยจากจวินถงไปบวชชี บิดามารดาของนางและญาติใกล้ชิดต่างก็ย้ายออกไปจากเมืองนี้แล้วหายเงียบไปเลยทำให้สิ้นโอกาสสอบถามข่าวคราว

หยางเจี้ยนค่อยข้างมั่นใจว่าจวินถงคือผู้อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของเฉาปาง กระนั้นก็ไม่ตัดสินความผิดใครโดยขาดหลักฐาน เรื่องนี้ต้องสืบกันยาว ใช้ทั้งเวลาและเงินทอง สังเกตจากที่จนบัดนี้ยังหาตัวคนผิดมาลงโทษไม่ได้ แสดงว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปล่อยปละละเลย ต่อให้ร้องเรียนต่อนายอำเภอก็ไม่รู้ว่าจะให้ความเป็นธรรมได้แค่ไหน เพราะจวินถงดูมีอิทธิพลไม่น้อย

ชายหนุ่มรู้ดีว่าคงช่วยเหลืออะไรได้ไม่มาก กระนั้นก็ทนนิ่งเฉยไม่ได้จึงรุดไปเยี่ยมเถ้าแก่หวังที่บ้านเพื่อสอบถามความจริง เสียดายที่ว่ามาตอนมืดแล้ว คนป่วยเพิ่งจะนอนหลับพักผ่อนไป หยางเจี้ยนเลยต้องกลับมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

เพื่อไม่ให้การออกมาข้างนอกครั้งนี้เสียเวลาเปล่า เขาจึงออกนอกเมืองไปยังโรงเตี๊ยมกระบี่ สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักสำหรับจอมยุทธ์มีตั้งอยู่ทั่วแผ่นดิน ขอเพียงพกอาวุธก็สามารถเข้าพักได้โดยไม่เสียเงิน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งหางานและหาข่าวชั้นเลิศด้วย

ผู้ดูแลที่นี่กับหยางเจี้ยนไม่รู้จักกันแต่ก็สามารถไว้ใจเรื่องการหาข่าวได้ ขึ้นชื่อว่าโรงเตี๊ยมกระบี่ขอให้แจ้งความประสงค์มาไม่ว่าอะไรก็จัดการหามาให้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อกับราคาค่าจ้าง

หยางเจี้ยนจ่ายเงินให้จำนวนหนึ่งเพื่อให้สืบเรื่องของจวินถงและถามหาข่าวที่น่าสนใจ เขายังคงแคลงใจว่าเหตุใดหญิงงามจึงต้องระวังตัว จ่ายไปห้าเงินจึงได้คำตอบที่ชวนวิตก ช่วงสองสามปีมานี้เมืองห่าวซินมีสาวงามหายตัวไปบ่อย ชาวบ้านลือกันว่าอาจถูกปีศาจลักพาตัวไป ทางการเองก็เหมือนจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพราะพวกที่หายตัวไปส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ใช่ธิดาเศรษฐีหรือผู้มีอิทธิพล แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นฝีมือของพวกค้ามนุษย์ พวกมันทำกันเป็นกระบวนการอย่างเงียบๆ โดยฉวยโอกาสช่วงเทศกาลเป็นหลักเป้าหมายคือหญิงสาวหน้าตางดงาม ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนท้องถิ่นแต่เป็นนักเดินทาง และขณะนี้พวกมันก็อยู่ในเมืองนี้แล้ว

“พวกมันมีวรยุทธ์สูงหรือเปล่า”หยางเจี้ยนถาม

“ดีกว่านักเลงข้างถนนหลายส่วน ถนัดเรื่องลอบกัดกับใช้ยาสลบ”

ผู้ให้ข่าวยังเล่าต่ออีกว่าพวกมันเพิ่งออกไปเมื่อสักครู่ เพราะมีคนมาแจ้งข่าวว่าพบหญิงงามแปลกหน้าอยู่ในเมืองการที่พวกคนชั่วมาพักที่นี่ได้ ชี้ให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของโรงเตี๊ยมกระบี่ในคราวเดียว คือไม่แบ่งแยกดีชั่ว วันนี้หยางเจี้ยนมาถามหาข่าว แต่วันต่อมาอาจถูกขายเสียเองหากมีคนต้องการทราบเบาะแสของเขา เพราะอย่างนี้ชายหนุ่มจึงสมัครใจที่จะเสียเงินพักโรงเตี๊ยมในเมืองมากกว่า

‘เป็นไปได้ไหมว่าหญิงงามที่เอ่ยถึงคือสตรีที่เดินทางมาด้วยกัน’

หยางเจี้ยนถึงกับหน้าซีดเมื่อคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เขาเร่งกลับที่พักเพื่อเตือนองค์ชายหกกับองครักษ์ให้ระวังตัว นอกจากไป๋หลินแล้ว สตรีอีกสามนางที่เดินทางมาด้วยล้วนอ่อนแอปกป้องตัวเองไม่ได้ หากถูกพวกมันหมายตาย่อมตกอยู่ในอันตราย


ทางด้านองค์ชายหกและหญิงงามทั้งสี่ ขณะนี้ทั้งหมดกำลังดื่มกินอยู่ริมระเบียงที่ทางโรงเตี๊ยมจัดโต๊ะเอาไว้ให้ โต๊ะตัวใหญ่มีอาหารมากมาย ถือว่าเป็นของดีหากเทียบกับของชาวบ้านทั่วไป แต่ก็ไม่สมกับราคาหนึ่งทองนัก ประหนึ่งจงใจขูดเลือดขูดเนื้อกัน กระนั้นคนจ่ายเงินก็ไม่คิดมากให้เสียอารมณ์ องค์ชายหกให้สินน้ำใจมหาดเล็กกับข้ารับใช้ทีหนึ่งมากว่านี้หลายเท่านัก มีหรือจะคิดเล็กคิดน้อย เขาห่วงก็แต่น้องสาวทั้งสองจะกินอาหารพวกนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะกุ้ยฮวาที่ทานได้หน่อยเดียวก็วางตะเกียบเสียแล้ว

“อาหารไม่ถูกปากเจ้ารึ อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม พี่จะสั่งมาให้”

“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ปกติก็กินน้อยอยู่แล้ว”

เนื่องจากอาหารมาช้า แว่นเลยกินขนมรองท้องไปก่อนกินยา เมื่อถึงเวลาจึงรับประทานได้ไม่มากนัก องค์ชายหกทราบเช่นนี้ก็ไม่คะยั้นคะยอ ชายหนุ่มหันมาคีบอาหารให้องค์หญิงลี่จู แล้วมองไป๋หลินที่กินทุกอย่างอย่างเอร็ดอร่อยด้วยรอยยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่