พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๑๕ วันอันแสนวุ่นวาย ๒
ตอนที่ผ่านมา
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/32585189
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/32602706
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/32624570
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/33134702
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/33193541
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/33210238
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/33227741
บทที่ ๘
http://ppantip.com/topic/33244919
บทที่ ๙
http://ppantip.com/topic/33262874
บทที่ ๑๐
http://ppantip.com/topic/33324239
บทที่ ๑๑
http://ppantip.com/topic/33496047
บทที่ ๑๒
http://ppantip.com/topic/33511561
บทที่ ๑๓
http://ppantip.com/topic/33528973
บทที่ ๑๔
http://ppantip.com/topic/33596246
สัตว์พันปี : บทที่ ๑๕ วันอันแสนวุ่นวาย ๒
เสียงร้องของหน่อมดังมาถึงห้องด้านในที่แว่นกำลังหาสมุนไพรอยู่ ฝ่ายที่ได้ยินทราบในทันทีว่าเกิดเรื่องจึงวิ่งมาหา
“เกิดอะไรขึ้น” แว่นถามเพื่อน
“พี่หกกินขนมโบ้แล้วล้มไปเลย ช่วยกันทำให้อาเจียนออกมาก่อนเร็ว”
ถึงจะตกใจมากในตอนแรก แต่หน่อมก็ไม่ลืมหลักการการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เขากับแว่นเขย่าตัวองค์ชายหกให้ได้สติ แล้วช่วยกันประคองชายหนุ่มขึ้นมานั่ง
“ท่านพี่หก ได้ยินแล้วตอบข้าด้วยเจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ขะ...ข้ามึนหัว” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา
“ท่านต้องอาเจียนเอาขนมออกมานะเจ้าคะ โก่งคออาเจียนออกมาให้หมด” แว่นกล่าวขณะหยิบอ่างล้างหน้ามาวางไว้ให้
องค์ชายหกพยักหน้ารับรู้ เขาพยายามฝืนขย้อนขนมที่เพิ่งกลืนลงไปออกมา โดยมีน้องสาวทั้งสองช่วยลูบหลังกระตุ้น เสียงโอ้กอ้ากอย่างทรมานดังอยู่พักหนึ่ง ขนมเจ้ากรรมก็เคลื่อนจากกระเพาะผ่านลำคอกลับออกมาจากทางที่มันเข้าไป
“ฝากจัดการหน่อยนะ เราจะไปตามหมอ” หน่อมพูดเมื่อเห็นว่าปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปพอสมควรแล้ว
แว่นรับคำแล้วเริ่มประเมินอาการทันที องค์ชายหกมีผื่นขึ้น หายใจเสียงดัง ชีพจรเต้นเร็ว เป็นสัญญาณว่าแพ้อาหารอย่างหนัก
เขาได้กลิ่นผลไม้จากเศษซากขนมลอยคลุ้ง ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือองค์ชายหกอาจแพ้ลูกไม้ป่า เมื่อกวาดตามองรอบตัวก็เห็นว่าใต้โต๊ะมีขนมเหลืออยู่บางส่วน องค์ชายหกคงทำตกไว้ก่อนหมดสติ แว่นปราดไปคว้ามันมาดมแล้วหลับตาลงเพื่อจำแนกชนิดลูกไม้
จมูกที่ดีกว่าคนทั่วไปทำให้พอแยกส่วนผสมออกบ้างแต่ไม่ทั้งหมด ต้องชิมเท่านั้นจึงจะรู้รส แว่นเลยฝืนใจชิมแป้งชิ้นเล็กที่สุด และเอานิ้วแตะน้ำจากไส้ขนมเข้าปาก
เขาโล่งอกที่ตัวขนมทำมาจากแป้งข้าวเหนียวธรรมดา ส่วนไส้ก็รสชาติไม่เลวร้ายนัก มันเป็นรวมมิตรลูกไม้เจ็ดชนิด รสชาติเหมือนมะนาวคลุกเคล้าด้วยเนื้อเชอร์รี่ผสมน้ำตะขบ
ในตำราที่หลิ่งปินให้มามีข้อมูลลูกไม้ป่าที่กินแล้วเกิดอาการแพ้อยู่สามชนิด และหนึ่งในสามถูกผสมเข้าไปในขนมของโบ้ ลูกไม้พวกนี้คนส่วนใหญ่กินได้ แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่มีอาการแพ้รุนแรง จึงมีข้อความว่าไม่ควรกินสุ่มสี่สุ่มห้า ชิมแค่คำเล็กๆ ให้พอรู้รสเป็นประสบการณ์ก็พอแล้ว
ทักษะการจำแนกวัตถุดิบเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหมอยา จะของดีหรือเป็นพิษ หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ต้องหัดดมกลิ่นลิ้มรสเอาไว้บ้าง พวกที่มีพรสวรรค์จมูกกับลิ้นดีกว่าชาวบ้านอย่างแว่นมีหรือจะพลาด เขาแอบชิมพวกลูกไม้ในตำราจนครบตั้งแต่ตอนไปเที่ยวตลาดแล้ว จึงสามารถแยกแยะได้ทันที หลิ่งปิงเองก็รู้ว่าลูกศิษย์ตัวดีต้องกินเข้าไปแน่ เลยแถมยาแก้พิษใส่เข้ามาในห่อของสำหรับเดินทาง
ท่านอาจารย์เหมือนจะไม่ใส่ใจแต่กลับห่วงใยเป็นอย่างมาก พวกยากับของจำเป็นที่บ้านจัดให้ก็จริง แต่กว่าครึ่งล้วนจัดตามคำสั่งของหลิ่งปิน เสียดายแว่นเห็นว่าพวกหยูกยาที่พกมาเยอะเกินไป เลยคัดเฉพาะแต่ที่จำเป็นจริงๆ ติดตัวมาเที่ยวเทศกาล เลยมีแต่ยาแก้แพ้แบบรวมๆ ซึ่งก็พอใช้แทนกันได้ยามฉุกเฉิน
ในผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นคือต้องเอาของที่แพ้ออกจากร่างกายให้ได้มากที่สุดก่อน ถ้าไม่มีอาการคลื่นไส้ค่อยเจือจางด้วยน้ำและให้ยาแก้แพ้ องค์ชายหกมึนศีรษะมีผื่นขึ้น แต่ไม่คลื่นไส้ มีอาการแน่นหน้าอกกับหายใจลำบากเล็กน้อย แว่นจึงบอกให้เขานั่งพักก่อน แล้วไปรินน้ำดื่มมาให้
กาน้ำว่างเปล่าไม่มีน้ำเหลือสักหยด แว่นลืมเสียสนิทว่าหน่อมใช้กลั้วปากไปหมดแล้ว เลยไปหยิบยามาก่อน ประจวบเหมาะที่โบ้กลับเข้ามาพร้อมกับน้ำชาและผลไม้พอดี แว่นจึงให้องค์ชายกินยาและดื่มน้ำไปพร้อมๆ กัน
“มานั่งพักที่เตียงก่อนเจ้าค่ะ ท่านพอลุกไหวไหม” แว่นถาม
“ไหว” องค์ชายหกตอบเสียงเบา ชายหนุ่มหยัดตัวขึ้นมายืนโซเซแว่นกับโบ้จึงช่วยกันประคองมาที่เตียง
“องค์ชายเป็นอะไรไป”
“องค์ชายแพ้ลูกไม้สองสี ถ้าหมอมาก็บอกไปด้วย เจ้าไปหาน้ำต้มสุกมาให้องค์ชายดื่มเยอะๆ ข้าจะไปหาต้นเถาทองมาแก้อาการ” แว่นตอบเร็วจี๋
ถ้าไม่ห่วงองค์ชายลี่หยาง เขาคงแว้ดใส่ไปเป็นแล้วว่า
‘ฝีมือแกนั่นแหละ หวิดได้ฆาตกรรมพ่อของลูกแล้วไหมล่ะ’
“ให้ข้าไปซื้อเองเร็วกว่า” โบ้อาสา
เขาจำได้รางๆ ว่าเมืองนี้มีร้านยาอยู่ใกล้กับลานที่ใช้ประกวดธิดาลูกไม้แดง
“รู้หรือว่ามันหน้าตาอย่างไร”
“ไม่รู้”
“งั้นก็อยู่ที่นี่แหละ ข้าไปเอง”
ต้นเถาทองเป็นส่วนประกอบของยาหลายชนิด ขึ้นอยู่ทั่วไปในป่า แต่จะมีขายในร้านหรือไม่แว่นไม่มั่นใจนัก
“อย่าออกไปไหนคนเดียว” คนป่วยลุกขึ้นมาห้าม “ให้องครักษ์จัดการเถอะ อีกเดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”
“เมืองเล็กอย่างนี้หมอจะเก่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสียเวลารอแล้วหายาแก้ไม่ได้ก็ต้องออกไปอยู่ดี ถึงเวลาอาทิตย์ตกดินจะลำบากยิ่งกว่าเดิมนะเจ้าคะ ท่านพี่หกอย่างห่วงเลย ข้าจะออกไปกับฟางเซียน” แว่นตัดสินใจอย่างรวบรัด
เขาไม่เรียกใช้งานองครักษ์เพราะเห็นว่าถ้าอาการทรุดในระหว่างที่ไม่อยู่ พวกองครักษ์จะได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้หรือเจ้าเมืองได้
องค์ชายหกเห็นกุ้ยฮวาผลุนผลันออกไปโดยไม่ฟังความก็เป็นห่วง จึงหันไปขอร้องไป๋หลินว่าให้ช่วยตามไป
“แต่กุ้ยฮวาให้ข้าดูแลท่าน” โบ้เอ่ยอย่างลำบากใจ
เขารู้ว่าการปฐมพยาบาลเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งองค์ชายป่วยเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก็ยิ่งทิ้งไม่ลง
“ข้าไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน”
“แต่...”
เอ่ยได้แค่คำเดียวการโต้เถียงก็ยุติ ลี่จูกับจางไห่เข้ามาด้านในพอดี ทั้งสองนำน้ำดื่มที่ผ่านการต้มแล้วมาหลายกา จุดประสงค์ก็เพื่อเจือจางพิษในตัว
“องค์ชายโปรดรอสักครู่ ขณะนี้จางหลงกำลังไปตามหมอ” จางไห่รายงาน
“กุ้ยฮวาไปซื้อยา ตามไปอารักขานางที” องค์ชายหกหันมาสั่งองครักษ์แทน เขายังไม่ลืมเรื่องที่มีโจรลักพาตัวออกอาละวาด
จางไห่ค้อมกายรับบัญชาและปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
จางไห่ตามมาสมทบกับกุ้ยฮวาและฟางเซียนได้ทันก่อนที่ทั้งสองจะออกจากโรงเตี๊ยม อันที่จริงช้ากว่านี้อีกสักอึดใจใหญ่ก็ยังตามทัน เพราะทั้งคู่กำลังรอรถลาก ขณะนี้ผู้คนในเมืองยังหนาตา การใช้รถม้าทำได้ลำบาก ครั้นจะเดินสังขารของกุ้ยฮวาก็ไม่เอื้อ จึงต้องว่าจ้างรถลากที่ใช้เพื่อความสะดวก ช่วงเทศกาลอย่างนี้หารถได้ลำบาก แม้จะเพิ่มเงินให้ถึงสามเท่าก็ยังได้มาเพียงคันเดียว
“ตอนนี้รถรับจ้างในเมืองมีคนจ้างไปหมดแล้ว ถ้ารออีกสักครึ่งชั่วยามคงพอจะหาได้อีกสักคันหนึ่ง” เสี่ยวเอ้อที่ขอให้ช่วยไปตามรถแจ้ง
“จะรอต่อไหม” เจ้ถามแว่น
“ไม่ละ ข้าไปคนเดียวก็ได้ แค่ร้านยาเอง ถ้าไม่มีค่อยกลับมา”
“คุณหนูอย่าไปคนเดียวเลยขอรับ ให้ข้าลากรถพาไปดีกว่า” จางไห่ว่า
เมื่อชายหนุ่มเป็นฝ่ายอาสาเอง แว่นก็ตกลงลงทำตามนั้น ทีแรกที่เห็นจางไห่ตามมาเขาก็คิดอยู่ในใจว่าอยากให้ชายหนุ่มช่วยลากรถให้ แต่ก็ไม่กล้าขอร้อง จางไห่เป็นถึงองครักษ์วังหลวง รับใช้แต่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ให้มาทำงานเสมือนสัตว์ลากจูงจะต่างอะไรกับการหมิ่นเกียรติ
“ต้องรบกวนท่านแล้ว น้ำใจของท่านข้าจะจดจำไว้” แว่นกล่าวเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าซาบซึ้ง
“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว คุณหนูอย่าได้เกรงใจ” จางไห่ตอบรับก่อนออกรถ
เขาเป็นทหารองครักษ์ที่มีความจงรักภักดีสูง อีกทั้งยังไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ จึงไม่คิดเล็กคิดน้อย
จางไห่เป็นคนแข็งแรง มีกำลังวังชามากกว่าคนทั่วไป รถลากคันน้อยจึงเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าเร่งเร็วเกินไปก็ตอนรถแล่นผ่านหินก้อนใหญ่แล้วกระแทก ชายหนุ่มรีบหันไปขออภัยท่านหญิง หากเป็นสตรีทั่วไปเขาคงถูกตำหนิ แต่ท่านหญิงโฉมงามผู้นี้กลับบอกว่าไม่เป็นไร จางไห่จึงตอบแทนด้วยการลากรถอย่างระมัดระวังขึ้น
ท่านหญิงรุ่ยฟางมีน้ำใจอันประเสริฐ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ผิดจากสตรีชั้นสูงศักดิ์ทั่วไป จางไห่นึกนิยมนางอยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นว่าท่านหญิงผู้นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ช่วงที่เดินทางนางซักถามเขาเรื่องเส้นทาง การค้าขาย เรื่อยไปจนถึงการปกครอง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่สตรีจำเป็นต้องรู้ เขาเห็นว่าคุยมากไปไม่เหมาะสม นางถามมาสามคำจึงตอบเสียคำหนึ่ง แต่นางก็ไม่เคยเบื่อ ถามเขาไม่ได้ก็ไปถามจางหลง ไม่ก็องค์ชายหก คำพูดของนางหลายประโยคฟังดูลึกซึ้ง สื่อว่าเป็นปัญญาชน ชวนให้แปลกใจว่าเหตุใดท่านเสนาบดีเฉินจึงให้การอบรมบุตรสาวดังเช่นบุรุษ
แล้ววันนี้ท่านหญิงคนงามก็ทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง นางบอกว่าองค์ชายหกแพ้ลูกไม้สองสีและกำลังจะไปหาซื้อต้นเถาทองมารักษาอาการ นางดูมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างมาก องค์หญิงลี่จูตลอดจนองค์ชายหกต่างก็แสดงท่าทีไว้วางใจในตัวนาง แสดงว่าท่านหญิงศึกษาวิชาแพทย์มาพอสมควร
การอบรมให้เป็นปราชญ์จะสอนอย่างหนึ่ง อบรมให้เป็นหมอก็มีวิธีการเรียนรู้อีกอย่าง การปลูกฝังสรรพวิชาหลากหลายให้คนคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตระกูลเฉินก็ทำสำเร็จ ท่านหญิงมีคุณสมบัติของกุลสตรีครบครันและมีสติปัญญาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบุรุษ จางไห่ถึงกับขนลุกเมื่อคิดได้ว่าในกาลต่อไปสตรีผู้นี้อาจกลายเป็นจอมนางที่ทำให้แผ่นดินสะท้านสะเทือนก็เป็นได้
ชายหนุ่มค้อมกายให้อย่างนอบน้อมและช่วยประคองนางลงจากรถเมื่อมาถึงร้านยา แว่นไม่ได้ใส่ใจท่าทีสุภาพผิดปกติ เขากังวลแต่ว่าจะหาซื้อต้นเถาทองไม่ได้ แล้วก็จริงเสียด้วยในร้านไม่มีขาย
“ต้นเถาทองตากแห้งมีขายเฉพาะในหน้าหนาวเท่านั้น” เถ้าแก่ร้านยาบอกเมื่อถามหา
“ท่านพอทราบไหมว่าจะหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง”
“แม่นางลองไปที่ร้านตรงมุมเมืองฝั่งตะวันตกดูสิ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ลองเข้าป่าไปเก็บก็ได้ ที่ป่าใกล้ๆ กับภูเขามีขึ้นเยอะแยะ ต้นสดได้ผลดีกว่าของตากแห้งเยอะ”
แว่นขอบคุณเถ้าแก่ที่แนะนำ กระนั้นก็ยังไม่รีบร้อนไป เขาเค้นสมองหาสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้แพ้ ชนิดไหนที่มีขายก็ซื้อไว้ ตั้งใจว่าจะเอาไปส่งที่โรงเตี๊ยมก่อนเผื่อจำเป็นต้องใช้
หลังจากฝากยาให้องค์ชายหกแล้วแว่นกับจางไห่ก็ไปที่ร้านยาอีกแห่ง ที่นี่ไม่มีต้นเถาทองขายเช่นกัน แว่นจึงตัดสินใจเข้าป่า
พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๑๕ วันอันแสนวุ่นวาย ๒
ตอนที่ผ่านมา
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32585189
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32602706
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32624570
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/33134702
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/33193541
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/33210238
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/33227741
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/33244919
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/33262874
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/33324239
บทที่ ๑๑ http://ppantip.com/topic/33496047
บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/33511561
บทที่ ๑๓ http://ppantip.com/topic/33528973
บทที่ ๑๔ http://ppantip.com/topic/33596246
สัตว์พันปี : บทที่ ๑๕ วันอันแสนวุ่นวาย ๒
เสียงร้องของหน่อมดังมาถึงห้องด้านในที่แว่นกำลังหาสมุนไพรอยู่ ฝ่ายที่ได้ยินทราบในทันทีว่าเกิดเรื่องจึงวิ่งมาหา
“เกิดอะไรขึ้น” แว่นถามเพื่อน
“พี่หกกินขนมโบ้แล้วล้มไปเลย ช่วยกันทำให้อาเจียนออกมาก่อนเร็ว”
ถึงจะตกใจมากในตอนแรก แต่หน่อมก็ไม่ลืมหลักการการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เขากับแว่นเขย่าตัวองค์ชายหกให้ได้สติ แล้วช่วยกันประคองชายหนุ่มขึ้นมานั่ง
“ท่านพี่หก ได้ยินแล้วตอบข้าด้วยเจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ขะ...ข้ามึนหัว” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา
“ท่านต้องอาเจียนเอาขนมออกมานะเจ้าคะ โก่งคออาเจียนออกมาให้หมด” แว่นกล่าวขณะหยิบอ่างล้างหน้ามาวางไว้ให้
องค์ชายหกพยักหน้ารับรู้ เขาพยายามฝืนขย้อนขนมที่เพิ่งกลืนลงไปออกมา โดยมีน้องสาวทั้งสองช่วยลูบหลังกระตุ้น เสียงโอ้กอ้ากอย่างทรมานดังอยู่พักหนึ่ง ขนมเจ้ากรรมก็เคลื่อนจากกระเพาะผ่านลำคอกลับออกมาจากทางที่มันเข้าไป
“ฝากจัดการหน่อยนะ เราจะไปตามหมอ” หน่อมพูดเมื่อเห็นว่าปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปพอสมควรแล้ว
แว่นรับคำแล้วเริ่มประเมินอาการทันที องค์ชายหกมีผื่นขึ้น หายใจเสียงดัง ชีพจรเต้นเร็ว เป็นสัญญาณว่าแพ้อาหารอย่างหนัก
เขาได้กลิ่นผลไม้จากเศษซากขนมลอยคลุ้ง ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือองค์ชายหกอาจแพ้ลูกไม้ป่า เมื่อกวาดตามองรอบตัวก็เห็นว่าใต้โต๊ะมีขนมเหลืออยู่บางส่วน องค์ชายหกคงทำตกไว้ก่อนหมดสติ แว่นปราดไปคว้ามันมาดมแล้วหลับตาลงเพื่อจำแนกชนิดลูกไม้
จมูกที่ดีกว่าคนทั่วไปทำให้พอแยกส่วนผสมออกบ้างแต่ไม่ทั้งหมด ต้องชิมเท่านั้นจึงจะรู้รส แว่นเลยฝืนใจชิมแป้งชิ้นเล็กที่สุด และเอานิ้วแตะน้ำจากไส้ขนมเข้าปาก
เขาโล่งอกที่ตัวขนมทำมาจากแป้งข้าวเหนียวธรรมดา ส่วนไส้ก็รสชาติไม่เลวร้ายนัก มันเป็นรวมมิตรลูกไม้เจ็ดชนิด รสชาติเหมือนมะนาวคลุกเคล้าด้วยเนื้อเชอร์รี่ผสมน้ำตะขบ
ในตำราที่หลิ่งปินให้มามีข้อมูลลูกไม้ป่าที่กินแล้วเกิดอาการแพ้อยู่สามชนิด และหนึ่งในสามถูกผสมเข้าไปในขนมของโบ้ ลูกไม้พวกนี้คนส่วนใหญ่กินได้ แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่มีอาการแพ้รุนแรง จึงมีข้อความว่าไม่ควรกินสุ่มสี่สุ่มห้า ชิมแค่คำเล็กๆ ให้พอรู้รสเป็นประสบการณ์ก็พอแล้ว
ทักษะการจำแนกวัตถุดิบเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหมอยา จะของดีหรือเป็นพิษ หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ต้องหัดดมกลิ่นลิ้มรสเอาไว้บ้าง พวกที่มีพรสวรรค์จมูกกับลิ้นดีกว่าชาวบ้านอย่างแว่นมีหรือจะพลาด เขาแอบชิมพวกลูกไม้ในตำราจนครบตั้งแต่ตอนไปเที่ยวตลาดแล้ว จึงสามารถแยกแยะได้ทันที หลิ่งปิงเองก็รู้ว่าลูกศิษย์ตัวดีต้องกินเข้าไปแน่ เลยแถมยาแก้พิษใส่เข้ามาในห่อของสำหรับเดินทาง
ท่านอาจารย์เหมือนจะไม่ใส่ใจแต่กลับห่วงใยเป็นอย่างมาก พวกยากับของจำเป็นที่บ้านจัดให้ก็จริง แต่กว่าครึ่งล้วนจัดตามคำสั่งของหลิ่งปิน เสียดายแว่นเห็นว่าพวกหยูกยาที่พกมาเยอะเกินไป เลยคัดเฉพาะแต่ที่จำเป็นจริงๆ ติดตัวมาเที่ยวเทศกาล เลยมีแต่ยาแก้แพ้แบบรวมๆ ซึ่งก็พอใช้แทนกันได้ยามฉุกเฉิน
ในผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นคือต้องเอาของที่แพ้ออกจากร่างกายให้ได้มากที่สุดก่อน ถ้าไม่มีอาการคลื่นไส้ค่อยเจือจางด้วยน้ำและให้ยาแก้แพ้ องค์ชายหกมึนศีรษะมีผื่นขึ้น แต่ไม่คลื่นไส้ มีอาการแน่นหน้าอกกับหายใจลำบากเล็กน้อย แว่นจึงบอกให้เขานั่งพักก่อน แล้วไปรินน้ำดื่มมาให้
กาน้ำว่างเปล่าไม่มีน้ำเหลือสักหยด แว่นลืมเสียสนิทว่าหน่อมใช้กลั้วปากไปหมดแล้ว เลยไปหยิบยามาก่อน ประจวบเหมาะที่โบ้กลับเข้ามาพร้อมกับน้ำชาและผลไม้พอดี แว่นจึงให้องค์ชายกินยาและดื่มน้ำไปพร้อมๆ กัน
“มานั่งพักที่เตียงก่อนเจ้าค่ะ ท่านพอลุกไหวไหม” แว่นถาม
“ไหว” องค์ชายหกตอบเสียงเบา ชายหนุ่มหยัดตัวขึ้นมายืนโซเซแว่นกับโบ้จึงช่วยกันประคองมาที่เตียง
“องค์ชายเป็นอะไรไป”
“องค์ชายแพ้ลูกไม้สองสี ถ้าหมอมาก็บอกไปด้วย เจ้าไปหาน้ำต้มสุกมาให้องค์ชายดื่มเยอะๆ ข้าจะไปหาต้นเถาทองมาแก้อาการ” แว่นตอบเร็วจี๋
ถ้าไม่ห่วงองค์ชายลี่หยาง เขาคงแว้ดใส่ไปเป็นแล้วว่า
‘ฝีมือแกนั่นแหละ หวิดได้ฆาตกรรมพ่อของลูกแล้วไหมล่ะ’
“ให้ข้าไปซื้อเองเร็วกว่า” โบ้อาสา
เขาจำได้รางๆ ว่าเมืองนี้มีร้านยาอยู่ใกล้กับลานที่ใช้ประกวดธิดาลูกไม้แดง
“รู้หรือว่ามันหน้าตาอย่างไร”
“ไม่รู้”
“งั้นก็อยู่ที่นี่แหละ ข้าไปเอง”
ต้นเถาทองเป็นส่วนประกอบของยาหลายชนิด ขึ้นอยู่ทั่วไปในป่า แต่จะมีขายในร้านหรือไม่แว่นไม่มั่นใจนัก
“อย่าออกไปไหนคนเดียว” คนป่วยลุกขึ้นมาห้าม “ให้องครักษ์จัดการเถอะ อีกเดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”
“เมืองเล็กอย่างนี้หมอจะเก่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสียเวลารอแล้วหายาแก้ไม่ได้ก็ต้องออกไปอยู่ดี ถึงเวลาอาทิตย์ตกดินจะลำบากยิ่งกว่าเดิมนะเจ้าคะ ท่านพี่หกอย่างห่วงเลย ข้าจะออกไปกับฟางเซียน” แว่นตัดสินใจอย่างรวบรัด
เขาไม่เรียกใช้งานองครักษ์เพราะเห็นว่าถ้าอาการทรุดในระหว่างที่ไม่อยู่ พวกองครักษ์จะได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้หรือเจ้าเมืองได้
องค์ชายหกเห็นกุ้ยฮวาผลุนผลันออกไปโดยไม่ฟังความก็เป็นห่วง จึงหันไปขอร้องไป๋หลินว่าให้ช่วยตามไป
“แต่กุ้ยฮวาให้ข้าดูแลท่าน” โบ้เอ่ยอย่างลำบากใจ
เขารู้ว่าการปฐมพยาบาลเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งองค์ชายป่วยเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุก็ยิ่งทิ้งไม่ลง
“ข้าไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน”
“แต่...”
เอ่ยได้แค่คำเดียวการโต้เถียงก็ยุติ ลี่จูกับจางไห่เข้ามาด้านในพอดี ทั้งสองนำน้ำดื่มที่ผ่านการต้มแล้วมาหลายกา จุดประสงค์ก็เพื่อเจือจางพิษในตัว
“องค์ชายโปรดรอสักครู่ ขณะนี้จางหลงกำลังไปตามหมอ” จางไห่รายงาน
“กุ้ยฮวาไปซื้อยา ตามไปอารักขานางที” องค์ชายหกหันมาสั่งองครักษ์แทน เขายังไม่ลืมเรื่องที่มีโจรลักพาตัวออกอาละวาด
จางไห่ค้อมกายรับบัญชาและปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
จางไห่ตามมาสมทบกับกุ้ยฮวาและฟางเซียนได้ทันก่อนที่ทั้งสองจะออกจากโรงเตี๊ยม อันที่จริงช้ากว่านี้อีกสักอึดใจใหญ่ก็ยังตามทัน เพราะทั้งคู่กำลังรอรถลาก ขณะนี้ผู้คนในเมืองยังหนาตา การใช้รถม้าทำได้ลำบาก ครั้นจะเดินสังขารของกุ้ยฮวาก็ไม่เอื้อ จึงต้องว่าจ้างรถลากที่ใช้เพื่อความสะดวก ช่วงเทศกาลอย่างนี้หารถได้ลำบาก แม้จะเพิ่มเงินให้ถึงสามเท่าก็ยังได้มาเพียงคันเดียว
“ตอนนี้รถรับจ้างในเมืองมีคนจ้างไปหมดแล้ว ถ้ารออีกสักครึ่งชั่วยามคงพอจะหาได้อีกสักคันหนึ่ง” เสี่ยวเอ้อที่ขอให้ช่วยไปตามรถแจ้ง
“จะรอต่อไหม” เจ้ถามแว่น
“ไม่ละ ข้าไปคนเดียวก็ได้ แค่ร้านยาเอง ถ้าไม่มีค่อยกลับมา”
“คุณหนูอย่าไปคนเดียวเลยขอรับ ให้ข้าลากรถพาไปดีกว่า” จางไห่ว่า
เมื่อชายหนุ่มเป็นฝ่ายอาสาเอง แว่นก็ตกลงลงทำตามนั้น ทีแรกที่เห็นจางไห่ตามมาเขาก็คิดอยู่ในใจว่าอยากให้ชายหนุ่มช่วยลากรถให้ แต่ก็ไม่กล้าขอร้อง จางไห่เป็นถึงองครักษ์วังหลวง รับใช้แต่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ให้มาทำงานเสมือนสัตว์ลากจูงจะต่างอะไรกับการหมิ่นเกียรติ
“ต้องรบกวนท่านแล้ว น้ำใจของท่านข้าจะจดจำไว้” แว่นกล่าวเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าซาบซึ้ง
“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว คุณหนูอย่าได้เกรงใจ” จางไห่ตอบรับก่อนออกรถ
เขาเป็นทหารองครักษ์ที่มีความจงรักภักดีสูง อีกทั้งยังไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ จึงไม่คิดเล็กคิดน้อย
จางไห่เป็นคนแข็งแรง มีกำลังวังชามากกว่าคนทั่วไป รถลากคันน้อยจึงเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าเร่งเร็วเกินไปก็ตอนรถแล่นผ่านหินก้อนใหญ่แล้วกระแทก ชายหนุ่มรีบหันไปขออภัยท่านหญิง หากเป็นสตรีทั่วไปเขาคงถูกตำหนิ แต่ท่านหญิงโฉมงามผู้นี้กลับบอกว่าไม่เป็นไร จางไห่จึงตอบแทนด้วยการลากรถอย่างระมัดระวังขึ้น
ท่านหญิงรุ่ยฟางมีน้ำใจอันประเสริฐ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ผิดจากสตรีชั้นสูงศักดิ์ทั่วไป จางไห่นึกนิยมนางอยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นว่าท่านหญิงผู้นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ช่วงที่เดินทางนางซักถามเขาเรื่องเส้นทาง การค้าขาย เรื่อยไปจนถึงการปกครอง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่สตรีจำเป็นต้องรู้ เขาเห็นว่าคุยมากไปไม่เหมาะสม นางถามมาสามคำจึงตอบเสียคำหนึ่ง แต่นางก็ไม่เคยเบื่อ ถามเขาไม่ได้ก็ไปถามจางหลง ไม่ก็องค์ชายหก คำพูดของนางหลายประโยคฟังดูลึกซึ้ง สื่อว่าเป็นปัญญาชน ชวนให้แปลกใจว่าเหตุใดท่านเสนาบดีเฉินจึงให้การอบรมบุตรสาวดังเช่นบุรุษ
แล้ววันนี้ท่านหญิงคนงามก็ทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง นางบอกว่าองค์ชายหกแพ้ลูกไม้สองสีและกำลังจะไปหาซื้อต้นเถาทองมารักษาอาการ นางดูมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างมาก องค์หญิงลี่จูตลอดจนองค์ชายหกต่างก็แสดงท่าทีไว้วางใจในตัวนาง แสดงว่าท่านหญิงศึกษาวิชาแพทย์มาพอสมควร
การอบรมให้เป็นปราชญ์จะสอนอย่างหนึ่ง อบรมให้เป็นหมอก็มีวิธีการเรียนรู้อีกอย่าง การปลูกฝังสรรพวิชาหลากหลายให้คนคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตระกูลเฉินก็ทำสำเร็จ ท่านหญิงมีคุณสมบัติของกุลสตรีครบครันและมีสติปัญญาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบุรุษ จางไห่ถึงกับขนลุกเมื่อคิดได้ว่าในกาลต่อไปสตรีผู้นี้อาจกลายเป็นจอมนางที่ทำให้แผ่นดินสะท้านสะเทือนก็เป็นได้
ชายหนุ่มค้อมกายให้อย่างนอบน้อมและช่วยประคองนางลงจากรถเมื่อมาถึงร้านยา แว่นไม่ได้ใส่ใจท่าทีสุภาพผิดปกติ เขากังวลแต่ว่าจะหาซื้อต้นเถาทองไม่ได้ แล้วก็จริงเสียด้วยในร้านไม่มีขาย
“ต้นเถาทองตากแห้งมีขายเฉพาะในหน้าหนาวเท่านั้น” เถ้าแก่ร้านยาบอกเมื่อถามหา
“ท่านพอทราบไหมว่าจะหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง”
“แม่นางลองไปที่ร้านตรงมุมเมืองฝั่งตะวันตกดูสิ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ลองเข้าป่าไปเก็บก็ได้ ที่ป่าใกล้ๆ กับภูเขามีขึ้นเยอะแยะ ต้นสดได้ผลดีกว่าของตากแห้งเยอะ”
แว่นขอบคุณเถ้าแก่ที่แนะนำ กระนั้นก็ยังไม่รีบร้อนไป เขาเค้นสมองหาสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้แพ้ ชนิดไหนที่มีขายก็ซื้อไว้ ตั้งใจว่าจะเอาไปส่งที่โรงเตี๊ยมก่อนเผื่อจำเป็นต้องใช้
หลังจากฝากยาให้องค์ชายหกแล้วแว่นกับจางไห่ก็ไปที่ร้านยาอีกแห่ง ที่นี่ไม่มีต้นเถาทองขายเช่นกัน แว่นจึงตัดสินใจเข้าป่า