จักรวาล ในทางพระพุทธศาสนา
http://ppantip.com/topic/33025776/comment5
http://topicstock.ppantip.com/religious/topicstock/2011/05/Y10530770/Y10530770.html
เรื่องเปรต อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานที่มีกายละเอียดมากมาย แม้พญานาค พญาครุฑ ตลอดจนยักษ์ที่ใครๆหาว่า เป็นเรื่องโคมลอย เป็นเรื่องเพ้อฝันของคนโบราณเป็นเรื่องแต่งขึ้น เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ก็แล้วแต่จะคิด ก็พูดไปเพราะเขามิได้ศึกษาพระอภิธรรม และมิได้มีประสบการณ์มาเลยแม้แต่น้อย จึงได้ตัดสินใจเอาง่าย ซึ่งทำให้พุทธศาสนาเสียหาย
เรื่องไม่น่าเชื่อมีอีกมากมาย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงเอาไว้ เพราะผู้ศึกษาเข้าไปยังไม่ถึง ไม่ยอมศึกษาพระอภิธรรมหรือศึกษาเข้าไปไม่ไหวก็กล่าวหาว่าไม่ใช่เป็นพุทธพจน์เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาในภายหลัง หรือบางท่านก็ศึกษาเข้าไปไม่ไหวเพราะเห็นว่ามีตัวเลขมากมายแล้วก็ท้อใจ
แล้วนอกจากนี้ประสบการณ์ก็น้อยจนเกินไป จึงได้ตัดสินเอาง่ายๆ แต่กล้าหาญชาญชัยวิพากษ์วิจารณ์ตำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ รวมกับว่าตนเองนั้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒
ผู้มิได้อวดดื้อถือดี ยอมศึกษาพระอภิธรรมเสียบ้างพอให้เข้าใจ เขาก็จะไม่กล้าปฏิเสธเรื่องเหลือเชื่อที่แสดงอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะจะได้เหตุผลข้อเท็จจริง จะได้บทพิสูจน์พร้อมบริบูรณ์ แล้วก็จะเห็นว่าพระอภิธรรมนั้นเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของชีวิตจิตใจ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะแสดงได้
ถ้าต่างคนต่างคิดต่างก็ตีความเอาเองแล้ว ไม่ช้าไม่นานพระพุทธศาสนาก็จะต้องสลายตัวไป ตามความคิดเห็นของแต่ละคน แล้วผ้าเหลืองน้อยก็จะห้อยหูโดยเร็ว

สสารและพลังงานในพระพุทธศาสนา ( เทียบกับวิทยาศาสตร์)
http://topicstock.ppantip.com/religious/topicstock/2012/02/Y11684189/Y11684189.html
ปรมาณูนั้น
เป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ที่สอนกันในพระพุทธศาสนา ขอให้ท่านผู้อ่านลองเปรียบเทียบกันดูกับปรมาณูในทางวิทยาศาสตร์ ว่าจะมีขาดแตกต่างกันอย่างไร การศึกษาปรมาณูในพระพุทธศาสนา มุ่งหมายเพื่อจะให้เห็นว่า รูปทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นธาตุ มิใช่สัตว์มิใช่บุคคล
เป็นหน่วยเล็กๆ ที่มองเห็นไม่ได้มาประชุมรวมกันแล้วก็เกิดขึ้นด้วยอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ ไม่ได้เกิดจากการดลบันดาลขึ้นมาของใคร และมีการสลายตัวอยู่ตลอดเวลา ในวินาทีหนึ่งตั้งมากมาย ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอนรวมอยู่กันชั่วคราวเท่านั้น ทั้งเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อยไป ไม่มีหยุดเลย จะไม่มีใครมีความสามารถไปบังคับยับยั้งให้มันหยุดการเปลี่ยนแปลงได้เลยเป็นอันขาด เมื่อมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นนี้แล้ว จึงเอาเป็นที่พึ่งอันถาวรไม่ได้ จึงเป็นทุกข์
ความสำคัญของเรื่องปรมาณูในพระพุทธศาสนาอีกบางประการจะละเลยไม่กล่าวเสียหาได้ไม่ คือ
ในหนึ่งปรมาณูนั้นแยกออกเป็น ๘ อย่างรวมกัน คือมีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สี กลิ่น รส โอชะ เรียกว่า อวินิพโภครูป และปรมาณูนั้น ย่อมจะมีธาตุทั้ง ๘ นี้อยู่รวมกันเสมอไป จะเอาอันใดอันหนึ่งออกเสียมิได้เลย พูดง่ายๆ ก็ว่า มีปรมาณูอยู่ที่ไหน ธาตุทั้ง ๘ นี้ก็จะอยู่ในที่นั้น
คำว่าปรมาณูในธรรมะแสดงว่าเป็น "รูป" แม้ว่าปรมาณูจะเล็กน้อยกระจ้อยร่อยถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังเป็นรูปที่หยาบ เพราะมีสุขุมรูปที่ละเอียดยิ่งกว่านี้อีกถึง ๑๖ รูป ในจำนวนรูปทั้งหมด ๒๘ รูปด้วยกัน
ปรมาณูทั้งหลายย่อมจะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่มีหยุดนิ่งเลย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ที่มันเคลื่อนไหวไปหยุดนิ่งไม่ได้ ก็เพราะอำนาจของความร้อน (เย็นคือร้อนน้อย)
การสลายตัวหรือความเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ของปรมาณูนั้น ก็เพราะธาตุไฟ คือ อุณหเตโช (ความร้อน) เป็นตัวการ และวาโยธาตุ คือธาตุลมเข้าร่วมด้วย ธาตุลมนี้เป็นตัวการทำให้เกิดกำลังอำนาจที่จะให้ตั้งมั่น หรือเคลื่อนที่ไปได้
ตามหลักของปรมัตถธรรม ธาตุน้ำก็มิใช่น้ำที่ดื่ม ธาตุลมก็มิใช่ลมที่พัดไปมาซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

จนเกิดความมั่นใจว่าดวงดาว เอ็มโอเอ-192 บี
(MOA-192 b) ซึ่งตั้งอยู่ใน กลุ่ม ดาวแคปริคอน (ม้ามีหัวเป็นคน ราศีที่ 9 จาก 12 ราศี) ซึ่งอยู่ห่างจากดาวโลก ราว 3,000 ปีแสง
คือแดนสวรรค์ที่สิงสถิตของ ดวงวิญญาณ หรือที่ชาวพุทธเรียกกันว่า ดินแดน "ปรภพ"
ลง
มีโลกมนุษย์ทั้ง ๔ เท่านั้นที่เป็นรูปหยาบ ที่อยู่ขอบจักรวาล ทั้ง ๔ ด้าน
ส่วนภพภูมิโอปปาติกะ เขาสิเนรุ ล้วนเป็น รูปละเอียดทั้งสิ้น ไม่สะท้อนแสง จึงไม่สามารถส่องกล้องเห็นได้
ถามหน่อย คุณเฉลิมทราบด้วยเหตุใด เข้าทรงเหรอ
http://ppantip.com/topic/33025776/comment5
http://topicstock.ppantip.com/religious/topicstock/2011/05/Y10530770/Y10530770.html
เรื่องเปรต อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานที่มีกายละเอียดมากมาย แม้พญานาค พญาครุฑ ตลอดจนยักษ์ที่ใครๆหาว่า เป็นเรื่องโคมลอย เป็นเรื่องเพ้อฝันของคนโบราณเป็นเรื่องแต่งขึ้น เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ก็แล้วแต่จะคิด ก็พูดไปเพราะเขามิได้ศึกษาพระอภิธรรม และมิได้มีประสบการณ์มาเลยแม้แต่น้อย จึงได้ตัดสินใจเอาง่าย ซึ่งทำให้พุทธศาสนาเสียหาย
เรื่องไม่น่าเชื่อมีอีกมากมาย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงเอาไว้ เพราะผู้ศึกษาเข้าไปยังไม่ถึง ไม่ยอมศึกษาพระอภิธรรมหรือศึกษาเข้าไปไม่ไหวก็กล่าวหาว่าไม่ใช่เป็นพุทธพจน์เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาในภายหลัง หรือบางท่านก็ศึกษาเข้าไปไม่ไหวเพราะเห็นว่ามีตัวเลขมากมายแล้วก็ท้อใจ
แล้วนอกจากนี้ประสบการณ์ก็น้อยจนเกินไป จึงได้ตัดสินเอาง่ายๆ แต่กล้าหาญชาญชัยวิพากษ์วิจารณ์ตำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ รวมกับว่าตนเองนั้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒
ผู้มิได้อวดดื้อถือดี ยอมศึกษาพระอภิธรรมเสียบ้างพอให้เข้าใจ เขาก็จะไม่กล้าปฏิเสธเรื่องเหลือเชื่อที่แสดงอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะจะได้เหตุผลข้อเท็จจริง จะได้บทพิสูจน์พร้อมบริบูรณ์ แล้วก็จะเห็นว่าพระอภิธรรมนั้นเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของชีวิตจิตใจ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะแสดงได้
ถ้าต่างคนต่างคิดต่างก็ตีความเอาเองแล้ว ไม่ช้าไม่นานพระพุทธศาสนาก็จะต้องสลายตัวไป ตามความคิดเห็นของแต่ละคน แล้วผ้าเหลืองน้อยก็จะห้อยหูโดยเร็ว

สสารและพลังงานในพระพุทธศาสนา ( เทียบกับวิทยาศาสตร์)
http://topicstock.ppantip.com/religious/topicstock/2012/02/Y11684189/Y11684189.html
ปรมาณูนั้น
เป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ที่สอนกันในพระพุทธศาสนา ขอให้ท่านผู้อ่านลองเปรียบเทียบกันดูกับปรมาณูในทางวิทยาศาสตร์ ว่าจะมีขาดแตกต่างกันอย่างไร การศึกษาปรมาณูในพระพุทธศาสนา มุ่งหมายเพื่อจะให้เห็นว่า รูปทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นธาตุ มิใช่สัตว์มิใช่บุคคล
เป็นหน่วยเล็กๆ ที่มองเห็นไม่ได้มาประชุมรวมกันแล้วก็เกิดขึ้นด้วยอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ ไม่ได้เกิดจากการดลบันดาลขึ้นมาของใคร และมีการสลายตัวอยู่ตลอดเวลา ในวินาทีหนึ่งตั้งมากมาย ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอนรวมอยู่กันชั่วคราวเท่านั้น ทั้งเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อยไป ไม่มีหยุดเลย จะไม่มีใครมีความสามารถไปบังคับยับยั้งให้มันหยุดการเปลี่ยนแปลงได้เลยเป็นอันขาด เมื่อมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นนี้แล้ว จึงเอาเป็นที่พึ่งอันถาวรไม่ได้ จึงเป็นทุกข์
ความสำคัญของเรื่องปรมาณูในพระพุทธศาสนาอีกบางประการจะละเลยไม่กล่าวเสียหาได้ไม่ คือ
ในหนึ่งปรมาณูนั้นแยกออกเป็น ๘ อย่างรวมกัน คือมีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สี กลิ่น รส โอชะ เรียกว่า อวินิพโภครูป และปรมาณูนั้น ย่อมจะมีธาตุทั้ง ๘ นี้อยู่รวมกันเสมอไป จะเอาอันใดอันหนึ่งออกเสียมิได้เลย พูดง่ายๆ ก็ว่า มีปรมาณูอยู่ที่ไหน ธาตุทั้ง ๘ นี้ก็จะอยู่ในที่นั้น
คำว่าปรมาณูในธรรมะแสดงว่าเป็น "รูป" แม้ว่าปรมาณูจะเล็กน้อยกระจ้อยร่อยถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังเป็นรูปที่หยาบ เพราะมีสุขุมรูปที่ละเอียดยิ่งกว่านี้อีกถึง ๑๖ รูป ในจำนวนรูปทั้งหมด ๒๘ รูปด้วยกัน
ปรมาณูทั้งหลายย่อมจะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่มีหยุดนิ่งเลย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ที่มันเคลื่อนไหวไปหยุดนิ่งไม่ได้ ก็เพราะอำนาจของความร้อน (เย็นคือร้อนน้อย)
การสลายตัวหรือความเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ของปรมาณูนั้น ก็เพราะธาตุไฟ คือ อุณหเตโช (ความร้อน) เป็นตัวการ และวาโยธาตุ คือธาตุลมเข้าร่วมด้วย ธาตุลมนี้เป็นตัวการทำให้เกิดกำลังอำนาจที่จะให้ตั้งมั่น หรือเคลื่อนที่ไปได้
ตามหลักของปรมัตถธรรม ธาตุน้ำก็มิใช่น้ำที่ดื่ม ธาตุลมก็มิใช่ลมที่พัดไปมาซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

จนเกิดความมั่นใจว่าดวงดาว เอ็มโอเอ-192 บี
(MOA-192 b) ซึ่งตั้งอยู่ใน กลุ่ม ดาวแคปริคอน (ม้ามีหัวเป็นคน ราศีที่ 9 จาก 12 ราศี) ซึ่งอยู่ห่างจากดาวโลก ราว 3,000 ปีแสง
คือแดนสวรรค์ที่สิงสถิตของ ดวงวิญญาณ หรือที่ชาวพุทธเรียกกันว่า ดินแดน "ปรภพ"
ลง
มีโลกมนุษย์ทั้ง ๔ เท่านั้นที่เป็นรูปหยาบ ที่อยู่ขอบจักรวาล ทั้ง ๔ ด้าน
ส่วนภพภูมิโอปปาติกะ เขาสิเนรุ ล้วนเป็น รูปละเอียดทั้งสิ้น ไม่สะท้อนแสง จึงไม่สามารถส่องกล้องเห็นได้