สวัสดีค่ะชาวพันทิพ
เราเป็นซารารี่มัง อยากจะเป็น entrepreneur
จึงศึกษาธุรกิจมาหลายอย่าง ดูทำเล และปรึกษากันในครอบครัว
จึงมาลงเอยที่ชาบู เนื่องจากดูตัวเลขการเติบโตของธุรกิจอาหาร
และทำเลที่สามารถไปดูแลได้ทุกวันยังไม่มีร้านอาหารประเภทนี้เลย และมองว่าชาบูจะมาแทนธุรกิจหมูกระทะที่กำลังจะตายไป ที่สำคัญคือ passion ในธุรกิจนี้ค่ะ
ปัจจัยที่พิจารณาต่อมาคือความแตกต่างทั้งด้าน รสชาต ความสะอาดและการตลาด จึงคิดเรื่องของ social enterprise มาดังนี้ค่ะ
1.ราคาต้องอยู่ในระดับที่ไม่แพงเกินไป เข้าถึงคนที่รายได้ปานกลางค่อนข้างน้อย (คิดว่าจะใช้เนื้อคุณภาพสูง เก็บค่าบุฟเฟต์ไม่เกิน 250 บาท แต่ควบคุมต้นทุนด้วยการลดความหลากหลายของเมนู)
2.จะชวนลูกค้าบริจาค คือ โดยส่วนตัวชอบทานบุฟเฟต์แต่มีความคิดว่าการทานแต่ละครั้งบางทีเราก็บริโภคเกินความต้องการ ทางร้านจึงจะบริจาคอาหารหนึ่งมื้อให้เด็กที่ขาดแคลนเมื่อมี้การสั่งเมนูบุฟเฟต์ แต่ลูกค้าสามารถเลือกที่จะไม่บริจาคแต่รับเป็นส่วนลดก็ได้ จุดสำคัญคือต้องการให้ลูกค้าไม่รู้สึกผิด(guilty) เวลาที่กินบุฟเฟต์ แถมได้ช่วยเหลือสังคม
เป็นที่กล่าวมากำลังเป็นที่ถกเถียงในครอบครัวค่ะว่าจะมีคนมากินอาหารที่แพงขึ้นโดยต้องจ่ายค่าอาหารให้คนอื่นไหม เลยมาถามเพื่อนๆโดยตรงเลยค่ะ คิดว่าการตลาดแบบนี้ work ไหมคะ คนไทยพร้อมสำหรับธุรกิจกึ่งเพื่อสังคมหรือยัง หรือควรปรับปรุงแบบไหนดี
บุฟเฟต์หนึ่งมื้อเพื่อน้องหนึ่งมื้อ
เราเป็นซารารี่มัง อยากจะเป็น entrepreneur
จึงศึกษาธุรกิจมาหลายอย่าง ดูทำเล และปรึกษากันในครอบครัว
จึงมาลงเอยที่ชาบู เนื่องจากดูตัวเลขการเติบโตของธุรกิจอาหาร
และทำเลที่สามารถไปดูแลได้ทุกวันยังไม่มีร้านอาหารประเภทนี้เลย และมองว่าชาบูจะมาแทนธุรกิจหมูกระทะที่กำลังจะตายไป ที่สำคัญคือ passion ในธุรกิจนี้ค่ะ
ปัจจัยที่พิจารณาต่อมาคือความแตกต่างทั้งด้าน รสชาต ความสะอาดและการตลาด จึงคิดเรื่องของ social enterprise มาดังนี้ค่ะ
1.ราคาต้องอยู่ในระดับที่ไม่แพงเกินไป เข้าถึงคนที่รายได้ปานกลางค่อนข้างน้อย (คิดว่าจะใช้เนื้อคุณภาพสูง เก็บค่าบุฟเฟต์ไม่เกิน 250 บาท แต่ควบคุมต้นทุนด้วยการลดความหลากหลายของเมนู)
2.จะชวนลูกค้าบริจาค คือ โดยส่วนตัวชอบทานบุฟเฟต์แต่มีความคิดว่าการทานแต่ละครั้งบางทีเราก็บริโภคเกินความต้องการ ทางร้านจึงจะบริจาคอาหารหนึ่งมื้อให้เด็กที่ขาดแคลนเมื่อมี้การสั่งเมนูบุฟเฟต์ แต่ลูกค้าสามารถเลือกที่จะไม่บริจาคแต่รับเป็นส่วนลดก็ได้ จุดสำคัญคือต้องการให้ลูกค้าไม่รู้สึกผิด(guilty) เวลาที่กินบุฟเฟต์ แถมได้ช่วยเหลือสังคม
เป็นที่กล่าวมากำลังเป็นที่ถกเถียงในครอบครัวค่ะว่าจะมีคนมากินอาหารที่แพงขึ้นโดยต้องจ่ายค่าอาหารให้คนอื่นไหม เลยมาถามเพื่อนๆโดยตรงเลยค่ะ คิดว่าการตลาดแบบนี้ work ไหมคะ คนไทยพร้อมสำหรับธุรกิจกึ่งเพื่อสังคมหรือยัง หรือควรปรับปรุงแบบไหนดี