ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง เรื่องสวรรค์ในอก นรกในใจ

ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่าสวรรค์ที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นสถานที่ สำหรับเอาไว้ให้รางวัลแก่คนทำความดีเมื่อตายไปแล้ว ส่วนนรกนั้นเป็นสถานที่สำหรับเอาไว้ลงโทษคนที่ทำความชั่วเมื่อตายไปแล้ว อย่างที่เรียกกันว่า นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า

แต่ในความเป็นจริงนั้น นรก-สวรรค์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นจะอยู่ที่จิตใจของเรานี่เอง คือเมื่อเราทำความดี ก็จะเกิดความสุขใจ อิ่มเอมใจขึ้นมาทันที และเมื่อจะเห็นหรือได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส เป็นต้น ก็จะมีแต่ความรู้สึกที่น่าพอใจ แต่เมื่อเราทำความชั่ว ก็จะเกิดความร้อนใจ ไม่สบายใจขึ้นมาทันที และเมื่อจะเห็นหรือได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส เป็นต้น ก็จะมีแต่ความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจ อย่างที่เรียกกันว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ นั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็มีบันทึกเอาไว้ในพระไตรปิฎกดังนี้

-ขณสูตร
             [๒๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลาย
ได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่าผัสสายตนิกะ ๖ อันเราเห็นแล้ว ใน ผัสสายตนิกนรก นั้น
สัตว์จะเห็นรูปอะไรๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อม
ไม่เห็นรูปอันน่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปไม่น่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าใคร่ ย่อม
เห็นแต่รูปอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าพอใจ จะฟังเสียงอะไรๆ ด้วยหู...
จะดมกลิ่นอะไรๆ ด้วยจมูก... จะลิ้มรสอะไรๆ ด้วยลิ้น... จะถูกต้อง
โผฏฐัพพะอะไรๆ ด้วยกาย... จะรู้แจ้งธรรมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้ง
แต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมรู้
แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่
ธรรมารมณ์อันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าพอใจ
             [๒๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลาย
ได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ ชั้น เราได้เห็นแล้ว ใน ผัสสายตนิกสวรรค์ นั้น
บุคคลจะเห็นรูปอะไรๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าปรารถนา
ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่า
ใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าพอใจ ฯลฯ จะรู้แจ้ง
ธรรมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมไม่รู้
แจ้งธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้ง
ธรรมารมณ์ที่ไม่น่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์
อันไม่น่าพอใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดี
แล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ฯ
(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค)

สรุปได้ว่า นรก-สวรรค์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราทุกคนนี่เอง คือเมื่อเราทำสิ่งที่ดี ก็จะเกิดความรู้สึกที่น่าพึงพอใจ แต่เมื่อเราทำสิ่งที่ชั่วก็จะเกิดความรู้สึกที่ไม่น่าพึงพอใจ ซึ่งนี่คือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเพราะเป็นสันทิฏฐิโก คือต้องเห็นเอง ส่วนเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้านั้น เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ที่ปลอมปนเข้าในพุทธศาสนามาช้านาแล้ว หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่นาน โดยที่ชาวพุทธไม่รู้ตัว ซึ่งการสังเกตง่ายๆก็คือ เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้านี้เป็นเรื่องลึกลับ ไกลตัว พิสูจน์หรือสัมผัสไม่ได้จริงในปัจจุบัน มีแต่ความเชื่อตามๆกันมาเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นสันทิฏฐิโก เมื่อไม่เป็นสันทิฏฐิโกแล้วจะเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่