[แปล] คอร์ทนี่ย์ ทอมป์สัน Court & Spark #2 ความยากลำบากในการเล่นวอลเลย์บอลอาชีพในยุโรป

ขอต้อนรับสู่วอลเลย์บอลลีคของโปแลนด์

ปี 2011 คอร์ทนี่ย์ ทอมป์สันลงเล่นให้กับสโมสรบูดาร์บลานี่ย์(ชื่อเรียกยากมาก) เป็นทีมซึ่งก่อตั้งมากว่าทศวรรษแล้ว สมาชิกส่วนใหญ่ก็เป็นนักวอลเลย์บอลอาชีพที่เล่นในลีคมาหลายปี

ที่อเมริกา ถ้ามีลีควอลเลย์บอลอาชีพ ก็คงจะต้องแย่งผู้ชมกับกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่าง อเมริกันฟุตบอล เบสบอล บาสเกตบอล แต่ที่โปแลนด์ วอลเลย์บอลถือเป็นกีฬาที่มีคนดูมากที่สุดอันดับสอง สำหรับชาวยุโรปแน่นอนว่าฟุตบอลเป็นกีฬาอันดับหนึ่ง แต่ในโปแลนด์ ลีคฟุตบอลมีปัญหากันเองหลายอย่าง ทั้งการบริหาร นักกีฬา ทำให้แฟนกีฬาหมดศรัทธาจนหันมาเชียร์วอลเลย์บอลแทน


ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมแฟนวอลเลย์บอลข้างสนามที่โปแลนด์ ถึงมีรูปแบบการเชียร์เหมือนแฟนกีฬาฟุตบอล อย่างไรก็ตามแฟนวอลเลย์บอลที่นี่แม้จะส่งเสียงดัง แต่พวกเค้าก็ไม่เคยมีเหตุการณ์รุนแรง แน่นอนว่าทีมของคอร์ทนี่ย์ได้รับความคาดหวังค่อนข้างสูงจากแฟนๆ

ปีนั้นทีมเธอเปิดบ้านแข่งกับทีมที่มีราเชล โร้คจากออสเตรเลีย “ทีมจากวู้ดช์เป็นทีมที่แข็งแกร่ง พวกเธอเล่นได้ดีมากคืนนี้” ในสารคดีบรรยายว่า ราเชลถล่มตัวเป็นอย่างมาก เพราะในคืนนั้นทีมของคอร์ทนี่ย์โดนถล่มราบคาบแบบไม่สูสีเลยด้วยซ้ำ


ปีนั้นทีมของเธอมีโค้ชเป็นหนุ่มไฟแรงหน้าใหม่ ระบบแผนการเล่นของเขาแตกต่างไปจากที่คอร์ทนี่ย์เคยเจอ ในฐานะตัวเซ็ต เธอมีหน้าที่เล่นตามแผนของโค้ช และเซ็ตลูกให้เพื่อนในแบบที่พวกเขาถนัด แต่ในบางทีเธอก็อดไม่ได้ที่จะเซ็ตในรูปแบบที่เธอคิดว่าดี ความแตกต่างระหว่างแผนการเล่นแบบสหรัฐและลีคโปแลนด์ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดหลายครั้ง

จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อเธอโดนจับฟาวล์สองจังหวะ และเธอก็เข้าไปโวยวายจนเพื่อนต้องห้าม นั่นทำให้โค้ชเปลี่ยนตัวเธอออกไปนั่งนอกสนามตลอดเกมที่เหลือ “มันเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากมากๆ มันเกินการควบคุมของฉัน ฉันไม่รู้สึกดีค่ะ” หลังจากจบแมตช์การแข่งขันโค้ชเรียกเธอไปพูดคุยกันตัวต่อตัว


เมื่อลงเล่นไปหลายแมตช์ต่อมาทั้งทีมก็เริ่มเห็นอนาคตว่า ทีมอาจตกรอบ “พวกเราหลายคนในทีมยังเด็กอยู่ พอเราเริ่มเสียแต้มหลายๆคะแนน พวกเราก็เริ่มเล่นไม่ออก หมดกำลังใจ ฉันหวังว่าเราจะทำได้ดีขึ้นในการแข่งขันที่เหลือ แต่ว่า ณ ตอนนี้เรายังแก้ไขอุปสรรคนี้ไม่ได้เลย”


สุดท้ายแล้วทีมเธอก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบได้ คืนนั้นทั้งทีมไปทานพิซซ่าหลังจบแมตช์ แต่ไม่มีใครพูดคุยหยอกล้อกัน ทุกคนนั่งกันเงียบคิดถึงความพ่ายแพ้ที่ผ่านมา คอร์ทนี่ย์นึกถึงสมัยเธออายุ 12 เธอก็เข้าร้านพิซซ่าเช่นกัน “มันจะมีความรู้สึกแบบนี้ตลอดว่า ทำไมเราถึงไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ สิ่งที่ต่างจากตอนอายุ 12 คือฉันสามารถรับมือกับมันได้ดีขึ้น”

“สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการเล่นอาชีพมา 6 ปี เรามักได้เรียนรู้จากสถานการณ์เลวร้ายมากกว่าสถานการณ์ที่ดีซะอีก” คาร์ช คิราชเสริมว่า “สถานการณ์ที่แย่มันมีได้ตลอดเวลาแหละ ทั้งกับโค้ช และนักกีฬาเอง สิ่งที่เราทำคือถามตัวเองว่าจะเรียนรู้อะไรจากสถานการณ์นั้นได้บ้าง”

นอกจากการเดินทางไปทั่วโปแลนด์เฉลี่ย 2 ครั้งต่อเดือน นักกีฬายังมีกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ การฝึกแอโรบิก ซึ่งเธอก็สงสัยว่า “มันช่วยให้การเล่นดีขึ้นตรงไหน” การให้ลายเซ็นถ่ายรูปกับแฟนๆ การถ่ายปฏิทินแฟชั่น ฯลฯ

“บางครั้งฉันนั่งอยู่ข้างถนน แล้วก็คิดว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ คุณไม่มีทางที่จะคาดคิดได้ล่วงหน้าหรอกค่ะว่ามันจะเป็นยังไงในทุกๆแง่มุม รูปแบบเกม การฝึก เพื่อน แฟนวอลเลย์บอล วัฒนธรรม การใช้ชีวิต ทุกอย่างเลย”


วู้ดช์ไม่ใช่เมืองที่สวยงามนัก เมืองนี้เป็นจุดเชื่อมระหว่างรัสเซีย กับเยอรมนี ไม่มีภูเขา ไม่มีทะเล อากาศหนาวตลอดทั้งปี บรรยากาศจัดว่าเข้าขั้นน่าหดหู่ เมืองนี้ไม่เหมือนเมืองอื่นตรงที่ไม่โดนระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ยังมีตึกเก่าอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่เชิงว่าในแง่ดีซะทีเดียว เพราะเจ้าของตึกส่วนใหญ่ถูกจับไปเข้าค่ายรมแก๊สของนาซี ตึกเหล่านี้จะถูกทิ้งร้างจนกว่าจะมีการทุบสร้างใหม่ ดังนั้นในถนนเดียวกันเราอาจได้เห็นตึกร้างสมัยสงครามโลก อยู่ข้างๆกับตึกใหม่เอี่ยม โรงงานที่เคยสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับเมืองเหลือไว้ให้เห็นเป็นซากปรักหักพัง

ช่วงเวลาซุปเปอร์โบวล์ในสหรัฐอเมริกาแน่นอนว่า เธอพลาดที่จะได้ชมกับครอบครัวทุกปี แต่เธอยังฉลองให้เหมือนมีปาร์ตี้ย่อมๆ ด้วยการจัดเตรียมชีส และสิ่งที่เธอไม่แน่ใจว่าเป็นซาลามิรึเปล่า ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ไกลบ้าน เทรเวอร์พี่ชายของเธอ เป็นนาวิกโยธินประจำอยู่อัฟกานิสถาน เขาเป็นห่วงเธอเช่นกัน “ตอนผมอยู่ไกลบ้าน ผมคิดถึงบ้าน แฟน เพื่อน เมื่อคิดว่าคอร์ทนี่ย์ก็ต้องทำแบบเดียวกัน แม้เธอไม่เคยบ่น แต่มันก็คงไม่ง่ายสำหรับเธอ”


“ฉันไม่คิดว่าคนทั่วไปจะเข้าใจ พวกเขาเห็นเราแค่ในสนามเพียงสองชั่วโมง แต่สิ่งที่พวกเค้าไม่เห็นคือความพยายามของนักกีฬาที่ฝึกฝนมาตลอด ช่วงเวลายากลำบากจากการซ้อมเป็นหมื่นเป็นพันชั่วโมง ช่วงเวลาที่เราไม่อยากแม้แต่จะลุกขึ้นมา ช่วงเวลาที่เราร้องไห้เพราะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ไหว มันมีช่วงเวลาแบบนี้อยู่ตลอด แถมฉันยังพลาดช่วงเวลาสำคัญหลายอย่าง เพื่อนของฉันมีลูกแล้วเค้าก็จัดงานรับขวัญ หรือบางทีครอบครัวมีงานเลี้ยง ฉันก็ได้แต่บอกว่าไว้ฉันกลับไปฉลองด้วยนะ เรื่องพวกนี้ต้องทำใจค่ะ”

ในสนามหลายครั้งเธอปรับทุกข์กับเพื่อนร่วมทีม แต่ในบางครั้งเธอเลือกขึ้นเครื่องบินไปเจอเพื่อนๆหลายคนที่เล่นอาชีพอยู่ที่ตุรกี ส่วนเวลาว่างๆในเมืองเธอพบว่าแถวที่พักเธอมีคลับมินิกอล์ฟ เธอจึงสมัครเข้าร่วมเพื่อผ่อนคลาย และได้เพื่อนใหม่ๆนอกสนามวอลเลย์บอล


“ฉันทำผิดพลาดอยู่เป็นประจำ ทำให้รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ก็มีบางครั้งที่เวลาเล่นเราจะเกิดอารมณ์อยู่บ้าง และเมื่อเรายิ่งเล่นในระดับใหญ่ขึ้น เรายิ่งต้องควบคุมอารมณ์”



หลังจากผ่านไปหลายแมตช์ เธอเริ่มเปิดใจยอมรับแผนของโค้ช และฟังความต้องการของเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น สุดท้ายแมตช์ต่อมาทีมของเธอก็ได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรก โค้ชกล่าวชมเธอ “ผมได้แต่หวังว่าทีมเราจะมีนักกีฬาแบบคอร์ทนี่ย์อีก เธอสมบูรณ์แบบและมีนิสัยที่ดี ทัศนคติเล่นแบบเต็มร้อยเสมอ มีความพยายามที่จะปรับปรุงตัวเอง และทีมให้ดีขึ้น”

สุดท้ายแล้วคอร์ทนี่ย์กล่าวถึงการออกมาเล่นต่างประเทศว่า “การออกมาเล่นต่างประเทศมีข้อดีตรงที่คุณจะสามารถเปิดใจยอมรับกับทุกอย่างได้ รับมือได้กับทุกสถานการณ์ มีอารมณ์ขันกับปัญหาเหล่านั้น เพราะว่าถ้าคุณทำไม่ได้ล่ะก็ คุณคงต้องเป็นบ้าไปเลยแน่ๆ”

ตอนหน้าจะเป็นเรื่อง มิตรและศัตรูไม่ถาวรในแคมป์ทีมชาตินะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่