แชร์ประสบการณ์เรื่องราวโหด มันส์ ฮา ของเด็ก Work and Travel ณ ดินแดนอเมริกา

กราบสวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะ เนื่องจากดิฉันต้องการแชร์ประการณ์โดยตรงที่ไป Work มา ภาษาอาจจะไม่ไพเราะ เพราะพริ้งมากนัก เนื่องจากต้องการให้ผู้อ่านเข้าถึงอารมณ์และฟีลลิ่งของดิฉันนะคะ หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้
(พร้อมนั่งพับเพียบกราบเบญจางค์ประดิษฐ์แบบงามๆ3ครั้ง)

เนื่องจากตอนม.6 ดิฉันสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงรายได้และมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดหมด ตอนเข้าไปใหม่ๆดิฉันนี่แทบเรียนไม่ได้เพราะไม่ได้เป็นคนเก่งภาษาอังกฤษ แต่เป็นคนกล้าคุย กล้าพูด ชอบฟัง ชอบดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษ เรียกง่ายๆว่าด้านได้อายอดค่ะ ต้องกล้าๆมั่นๆเข้าไว้ แต่ไม่ว่าจะทำเยี่ยงไรภาษาอังกฤษดิฉันก็ยังเข็ญไม่ขึ้นจนกระทั่งเรียนจบเทอมหนึ่งปุ๊ป เกรดดิฉันนี่ตกหวบบบบ บบ บ บ  เลย จนดิฉันช๊อกมากว่าแบบทำไมเราเรียนแย่ขนาดนี้ คือดิฉันไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งมาก แต่เกรดตอนนั้นมันทำให้รู้สึกแย่มากจริงๆ  เลยโทรไปบอกหม่อมแม่พร้อมน้ำตาไหลเป็นทางประหนึ่งนางเอกถูกพระเอกทำร้ายจิตใจอันบอบบางว่า (อันนี้เวอร์ไปนิสนุงงง แหะๆๆ =,= )!!! ความจริงคือแค่โทรไปและพูดว่า  “ หนูขอไป Work ที่เมกานะคะแม่ตอนปิดเทอมนี้ แล้วก็อธิบายเหตุผลบลาๆๆๆๆๆๆๆๆ  “ แม่ก็อนุมัติเรียบร้อย ในใจนี่แบบลิงโลดกระโดดเต้นมากอะ คือไม่คิดว่าแม่จะให้ ดิฉันก็ดำเนินการหาเอเจนซี่เอง ทำเองหมดยกเว้นเรื่องตังค์ขอแม่ค่ะ 55555555 ถามคนนู้นคนนี้ ว่าไปของอะไรดี ไปที่ไหน ยังไง จนเรามาเจอพี่ที่รู้จักคนนึง เค้าบอกว่าเค้าเคยไปเอเจนนี้และดีมากนะ ลองไปศึกษาดู ดิฉันก็ลองไปพูดคุยดู ถูกคอก็โอเคตกลงบริษัทนี้ ดิฉันก็บอกเค้าแค่ว่าขอไปที่ที่มีคนไทยไม่เยอะและมีหิมะตก ตามประสาเด็กเมืองร้อนเนอะอยากจะเจอหิมะกะเค้ามั่ง สรุปเราก็ได้ที่ทำงานที่ Burger King รัฐ WY, Gillette  

ดิฉันจะได้ไปเยือนประเทศอเมริกาก็มาถึง เย่ !!!!

ดิฉันแพ็คกระเป๋าเสร็จตอนเช้าของวันที่จะเดินทางวันที่ 17 มีนาคม 2012 กระเป๋าดิฉันนี่ไปเหมือนบ้าหอบฟางมากค่ะ มีประมาณ 2 ใบใหญ่ กระเป๋าสะพายเป้อีก 1 กระเป๋าลากขึ้นเครื่องใบเล็กอีก 1 ไม่หนักเล้ย ยย ย ย ย กับผู้หญิงตัวเล็กๆสูงไม่เกิน 157และบอบบางแบบเรา หร๊อ อ  อ อ อ อ ออ อ ? ดิฉันขอเตือนนะคะ คุณๆทั้งหลายได้โปรดอย่าบ้าหอบฟางแบบดิฉัน ไม่งั้นท่านอาจจะวุ่นวายตลอดการเดินทางได้ เข้าเรื่องต่อค่ะ! ดิฉันออกจากไทยประมานตอนตี 2 ซึ่งในใจทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้นเพราะว่านี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตของดิฉัน!! และเดินทางคนเดียวด้วยนะ เฟี้ยวมาก เอเจนอื่นนี่เค้าเดินทางเป็นทีมอย่างน้อยก็มี 2 คนขึ้นไป ดิฉันนี่โดนปล่อยเกาะตั้งแต่อยู่สุรรณภูมิค่ะ! แต่เราก็บ้าบิ่นกล้าไปได้ไงไม่รู้แต่ในใจคิดว่ายังไงต้องเอาภาษากลับมาให้ได้ ไม่งั้นเรียนที่มหาลัยปีต่อไปคงลำบากแน่ๆ สู้โว้ยยย ยย ย   การเดินทางครั้งนี้มันยาวนานจริงๆต่อหลายเครื่องหลายสนามบินมากกกก ก ก ก ก ก ก  ก ก

เริ่มจาก BKK – INCHEON – NARITA - L.A. - DENVER - GILLETTE

ตอนแรกเราก็คิดว่าสนามบินแต่ละที่ก็คงขึ้นง่ายเหมือนบ้านเราเนอะ แบบเดินแป๊ปเดียวก็ถึง
ปรากฏ มันไม่ใช่คร้าบบบบ บบ บ บ บ บ บ ถ้าคุณคิดอย่างนั้น คุณคิดผิดมหันต์ โอ้โหสระโอหลายตัวมาก กว่าจะขึ้นรถ กว่าจะไปเกทนี่แบบแทบลากเลือด ยกตัวอย่างเช่น สนามบินแอลเอ ดิฉันต้องลากกระเป๋า 4 ใบ ค่ะคุณ ณณ ณณ ณ ซึ่งกระเป๋าใบใหญ่นี่ใบนึงก็แทบท่วมหัวดิฉันและค่ะ จะเช่ารถเข็นนี่ต้องเสียตังนะคะ กี่ดอลจำไม่ได้แล้ว คนงกเข้าเส้นเลือดอย่างดิฉันยอมลากเองค่ะ ไม่ง้อรถเข็น ใครจะไปรู้คะว่าเกทที่แอลเอยาวเป็นกิโล กว่าจะลากได้นี่ลมจะจับเอาหลายรอบ จนถึงตอนนี้ดิฉันก็ยังงงตัวเองอยู่ว่าลากไปถึงเกทได้ไง ตอนนั้นภาษาอังกฤษดิฉันก็แบบงูๆปลาๆมาก อาศัยความบ้าบิ่นถามทางคนนู้นคนนี้ไปจนถึงปลายทางได้ ดิฉันมีอาการ jet lagบนเครื่องด้วยแทบตายค่ะท่านผู้ชม ทั้งเมา เมาเครื่องนะคะ ไม่กล้าดื่มแอลบนเครื่องกลัวเมาอยู่ที่สนามบินไม่ต้องไปต่อกันพอดี ทั้งปวดหัว ตัวร้อน อาเจียน ไปขอยาที่แอร์ นางก็ไม่มีให้แต่ว่านางน่ารักมาก ช่วยไปถามเพื่อนๆแอร์ให้ก็ไม่มี และดิฉันก็ไปอาเจียนต่อในห้องน้ำพร้อมคิดในใจว่า “นี่เรามาทำอะไรที่นี่เนี่ยอยู่บ้านดีๆสบายๆมีคนทำให้ทุกอย่างไม่ชอบไง๊? ประสาทรึเปล่าวะ น้ำตาไหลมาจึ๋งนึงแล้วด่าตัวเองไปพักใหญ่จนคิดมาได้ว่า เงินแม่ก็เสียมาให้ ไม่ใช่น้อยๆนะเว้ย สู้สิวะ เอ็งทำได้ ลองดูสักตั้งจะได้หัดโตขึ้นสักที” ทีนี้พอคิดได้ อ้วกเสร็จ สติเริ่มมาปัญญาเริ่มมี  แล้วพี่แอร์คนสวยก็เดินมาบอกดิฉันว่ามีอะไรให้ช่วยเหลืออื่นๆ ก็บอกได้นะคะ เรียกได้ตลอดเวลานะคะ เป็นคำพูดที่ดิฉันประทับใจมากขอชื่นชมแอร์สายการบินสีฟ้าของประเทศเกาหลีค่ะ

ต่อไปค่ะสนามบิน Denver อันนี้ก็ใช่เล่นๆๆนะคะ ไปแต่ละเกทนี่ต้องนั่งรถไฟไป ดิฉันก็เอ๋อแ_กสิคะ บ้านเราไม่มีอย่างนี้นี่หว่าเดินไปนิดเดียวก็ถึงเกทและไม่ยุ่งยาก แต่นี่อะไรคะ อะไร ที่นี่คือที่ไหน ป้ายบอกทางก็ซับซ้อนมากที่สุด ประหนึ่งหาขุมทรัพย์ในหุบเขามฤตยู แล้วคุณรู้มั้ยคะดิฉันทำยังไง ???? ดิฉันก็ใช้ไหวพริบอันชี่ยวชาญของดิฉันหาทางไปจนเจอ ผิดค่ะ !!!!!!!!!!!!!! ความจริงดิฉันเดินไปหาพี่ยามท่าทางกำลังยุ่งอยู่คนนึง พร้อมทั้งทำตาปริบๆขอความเมตตาให้พาไปเกท ตอนแรกพี่แกก็แค่บอกทาง ดิฉันก็งงค่ะ พี่พูดอะไรมา หนูฟังไม่รู้เรื่องพี่พูดเร็วไปหนูเป็นต่างด้าวนะพร้อมตีโพยตีพายอยู่ในใจ T^T ก็เลยบอกเค้าว่าพาไปหน่อยๆๆๆๆนะๆๆๆพรีสสสสสสสสสสสสสสสสแบบยาวมาก เราก็บอกไปไม่เป็นไม่รู้ท่าเดียว มารยาหญิงเอามาใช้ งัดมาให้หมด แต่พี่เค้าคงไม่ได้หลงเสน่ห์ดิฉันหลอกค่ะ ดิฉันว่าคงประมาณเอือมมากกว่า กร๊าก ก ก ก ก   จนในที่สุดพี่แกก็พามาส่งถึงที่ ดิฉันนี่ก็กล่าวขอบคุณไปอย่างเบาๆ เกือบจะยกมือขึ้นไหว้แต่ยั้งไว้ทัน ลืมไปนึกว่าอยู่เมืองไทย >_<   ระหว่างรอไฟลท์ต่อของแต่ละสนามบินดิฉันก็เล่นเนตไม่ได้บ้าง เล่นได้บ้าง คือช่วงต่อมันรอนานมากหลายชั่วโมง ถ้าเอาที่นอนปิกนิคไปดิฉันว่าคงกางนอนกลางสนามบินละค่ะ ดีนะที่ไม่ได้เอาไปก็เลยอาศัยสิงอยู่ตามเสาบ้าง ที่นั่งรอบ้าง แต่ดีที่สนามบิน Denver ต่อเนตติด ก็เลย ไส้ไก่ ภาษาทางการคือ Skype ดิฉันก็ไส้ไก่ไปหาพี่เอเจ้นของดิฉัน ดิฉันก็บอกถามพี่เค้าว่าใครจะไปรับที่สนามบิน พี่เค้าตอบมาว่า พี่ส่งเมลไปให้เค้าแล้วนะคะแต่น้องต้องติดต่อทางเมเนเจอร์ที่นู้นเองนะคะ ดิฉันก็โอเคคะวางไป โลกสวยไงเลยคิดว่าเค้าคงรู้และมั้งว่าจะมีเด็กไป คงรอที่สนามบิน Gillette แหละ

ยัง ยังไม่จบไปต่อกันที่สนามบิน Gillette กันค่ะ อันนี้พีคสุดในปฐพี พอไปถึงคราวนี้ดิฉันโดยสารไปโดยเครื่องบินลำเล็ก มีผู้โดยสารประมาณ 8 คน คนขับอีก 2 เราก็มองวิวมองไรไปเรื่อย เห็นภูเขามีหิมะ ก็ตื่นตาชอบใจสิคะ สวยค่ะ บ้านนอกเข้ากรุงเต็มที่ พอถึงที่สนามบินก็ดึกแล้วนะคะประมาน 4 ทุ่ม ก็แอบงงว่าสนามบินเล็กเหมือนสนามบินต่างจังหวัดบ้านเราเลย  ก็เข้าไปข้างในก็มืดๆ เหมือนสนามบินจะปิด หิมะก็ตก มองไปข้างนอกไม่มีรถเมย์หรือแท็กซี่ มีแต่รถยนต์ที่จอดอยู่แต่ไม่มีคนขับปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆ ลองนึกภาพที่อารมณ์แบบสามารถมีจูออนโผล่มาได้ทุกนาทีนั่นแหละค่ะ แบบนั้นเลยค่ะท่าน สนามบินแบบร้างมากกกกกกกกกกกกกกกก คือเงียบ ปิดไฟนี่คงจะประหยัดไฟ และในสนามบินนี่อย่างกับยกพิพิธพันธ์สัตว์ป่าและพวกชนเผ่าต่างๆขนาดย่อมมาไว้ข้างใน บอกได้คำเดียวว่าหลอนมาก ผู้โดยสารคนอื่นๆก็ทยอยไปเอากระเป๋าและก็ออกไป ดิฉันก็ชะเง้อมองมองนายจ้าง โทรไปก็ไม่รับ ไม่ติด มองไปรอบๆเหลือแค่คน 3 คนในสนามบิน มีพนักงานสายการบินคนนึง ผู้โดยสารที่เดินทางมาพร้อมกับดิฉันอายุน่าจะประมาน40 ท่าทางดูใจดีๆ และตัวดิฉันเอง
ก็เริ่มคิดและไม่มีคนมารับแน่ๆ เอาและตู เวรและ เป็นตายยังไงชั้นจะไม่นอนในสนามบินหลอนนี่เด็ดขาด เลยอาศัยความกล้าและหน้าอันโบกปูนไปสิบชั้นเดินเข้าไปหา 2 คนนั้นและถามว่า ” รู้จักที่อยู่ตรงนี้มั้ย เนี่ยๆๆร้านนี้ ชั้นโทรติดต่อนายจ้างไม่ได้ ไม่มีใครมารับ ชั้นไปไม่เป็น ช่วยหน่อยได้มั้ยคะ พรีสสสสสสสสสสสสสสสสสสส” ตามเสต็ปเดิม ทำตาปริบๆ ผู้โดยสารคนที่มาพร้อมกับดิฉันก็เลยเอาไปดูและโทรหานายจ้างให้ ก็คุยกับนายจ้างเราไปสักพักแล้วก็มาบอกเราว่าเดี๋ยวเค้าจะไปส่ง ตอนนั้นก็ดีใจสิ รอดตายละคืนนี้ พอไปขึ้นรถของจอห์น (ผู้โดยสารที่มาพร้อมกับดิฉัน) ก็ชวนคุย ถามว่าดิฉันมาจากไหน ทำไมเดินทางคนเดียว เค้าก็บอกว่ามันอันตรายนะ ระวังตัวด้วย แล้วก็ Yes Yes Yes ไปลูกเดียวนึกไรไม่ออกบอก Yes ค่ะ แล้วเค้าก็พาไปส่งถึงร้านเลยพร้อมทั้งช่วยยกของ เค้าใจดีและเป็นคนดีมากก ก  ก กกที่สุดในสามโลก ดิฉันก็กล่าวขอบคุณไปซะหลายครั้ง ซึ้งใจมากจริงๆนะที่เวลาเราไปต่างถิ่นตัวคนเดียว ทำไรไม่ถูก หลงทางแล้วมีคนมาช่วยเหลือคือมันรู้สึกดีมากจริงๆ ซึ้งแบบมากมายก่ายกอง จนเค้าขับรถออกไปแล้วดิฉันเพิ่งนึกได้ว่าลืมขอเบอร์ติดต่อเค้าไว้เผื่อมีอะไรที่เราสามารถจะตอบแทนเค้าได้บ้าง แต่พอมาเล่าให้ที่บ้านฟังนี่หูชาเลยทีเดียว ว่าไปกับเค้าได้ไง ถ้าเค้าเป็นคนไม่ดีจะทำยังไง แต่โชคดีของดิฉันค่ะ ที่เจอพลเมืองดี เลยรอดไปอย่างหวุดหวิด วู้วววววววววว \^o^/

เดี๋ยวมาเผญิชหน้ากับเมเนเจอร์ใจร้ายของดิฉันกันต่อค่ะ    
พอถึงที่ร้าน Burger King เมเนเจอร์ดิฉันก็ขับรถไปส่งที่บ้านพัก ซึ่งบ้านที่ดิฉันพักอยู่ในหมู่บ้าน มีบ้านหลายๆหลัง มีตรอกมีซอยเข้าไปอีก ระหว่างทางไปมีทุ่งหญ้าใหญ่มาก มีแม่น้ำ และมีม้า อารมณ์แบบแนวคันทรี่มากค่ะ มาถึงบ้านปุ๊ป เมเนเจอร์ดิฉันก็ไปเคาะประตู สักพักก็มีคนมาเปิดประตูให้พอเข้าไปในบ้าน มีห้องนอนทั้งหมด 3ห้อง ห้องครั้วและห้องนั่งเล่นอยู่ตรงกลาง ห้องน้ำ 2 ห้อง แต่ที่ช๊อกคือ เข้าไปเจอคนไทยค่ะ!! 9 คน ฝรั่งอีก 1 คน อยู่ในบ้านเล็กๆหลังนั้น เงิบไปสิ ดิฉันจำได้ว่าบอกเอเจ้นว่า เอาที่ที่ไม่มีคนไทย สรุป คนไทยครองบ้านจ้า ห้องนึงนี่นอนกัน 4 คนแบ่งแยกห้องผู้ชาย ห้องผู้หญิงและฝรั่งผู้อาศัยมาก่อนเราได้สิทธิ์นอนคนเดียว เอาเปรียนกันหนิหว่า แต่เราก็พูดไรไม่ได้ไง ไปทีหลังเขา พอเข้าไปในห้องเป็นเตียงสองชั้นวางใกล้ๆกัน จำได้ว่าตอนแรกเข้าไปนี่นอนหายใจไม่ออกเพราะห้องมันแคบมากๆ เตียงวางห่างกันประมานก้าวขา2ก้าวก็ถึงแล้ว ในห้องเดินไปมาได้ไม่ถึง 8 ก้าวด้วยซ้ำ เห้ออ อออ ถูกหลอกดาวจนได้ T^T แต่ในใจก็แอบโล่งเบาๆว่าอย่างน้อยก็มีคนไทยมาอยู่ด้วยคงไม่เหงาและก็จริงๆค่ะ พวกพี่ๆพวกนี้คอยดูแลดิฉันเป็นอย่างดี ดิฉันลืมบอกว่าทริปนี้ดิฉันกับเพื่อนผู้ชายอีกคนเด็กสุดในบ้านเพราะเป็นปี 1 นอกนั้นพี่ๆเค้าอยู่ปอโทกันหมดแล้ว

วันรุ่งขึ้นตอนเช้าทางเมเนเจอร์ก็เรียกดิฉันเข้าไปคุยและเซ็นสัญญาและก็บอกว่าอีกสองวันถึงมาเริ่มงานนะ ดิฉันก็ yes yes ok ไปแต่ก็กลับบ้านไม่ได้เพราะว่าทั้งบ้านใช้รถคันเดียวกันต้องรอพี่ๆเลิกงานถึงจะได้กลับบ้าน พวกพี่ๆปอโทเค้ามาก่อนหน้าดิฉันประมาณอาทิตย์นึงเลยเริ่มงานไปก่อนแล้ว ส่วนรถนี่พวกพี่ๆเค้าสลับกันขับไปรับไปส่งคนในบ้าน พี่ๆเค้าน่ารักมากขนาดวันหยุดตัวเองยังต้องเสียสละกันขับไปส่งคนที่ทำงาน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างมากและที่ Gillette ไม่มีรถเมล์ค่ะ ส่วนใหญ่ฝรั่งที่นี่เค้าจะมีรถส่วนตัวกันทุกบ้านและขอบอกว่าเมืองนี้เงียบถึงเงียบมากที่สุด มองไปนี่เจอแต่ทุ่งหญ้า ม้า เป็ด และทะเลสาบ ผู้คนนี่แทบไม่มีออกมาตามถนนหรือผู้คนพลุกพล่านเป็นอะไรที่สงบมาก และห้างที่ใหญ่ที่สุดของนี่คือ WalMart อารมณ์ประมานโลตัสบ้านเราค่ะ ความฝันว่าอยากได้แบรนเนมเป็นอันสลายค่ะ TT^TT ที่นี่ยิ่งกว่าบ้านนอกอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่