น้ำหอม เป็นน้ำปรุงกลิ่นที่มนุษย์ใช้กันมาหลายร้อยปีแล้ว
ปัจจุบันมีน้ำหอมออกมาจำหน่ายมากมาย
หากแบ่งตามความเข้มข้นของหัวน้ำหอมกับบริมาณ Alcohol แบ่งได้ 4 ระดับ
1. Eau de Cologne ระดับเบาบางที่สุด ความทนทาน แล้วแต่ส่วนผสมครับ เคยลองตัวหนึ่ง ผสมน้ำผึ้งและใบยาสูบ กลิ่นทนพอๆ กับ EDT เลย แต่กลิ่นติดผิว
2. Eau de Toilette ระดับกลางๆ น้ำหอมทั่วไปตามท้องตลาดจะเป็นความเข้มข้นระดับนี้
3. Eau de Perfume ระดับเข้มข้น ใช้ปริมาณหัวน้ำหอมมาก กลิ่นทนนาน แต่ระวังให้ดี อยู่ที่ส่วนผสมเหมือนกันมี EDP ที่ความทนทานน้อยมากๆๆ พวก Citrus ทั้งหลายเนี่ยแหละ
4. Extract ระดับหัวน้ำหอม ระดับนี้ทนทานมากๆๆๆ เมืองไทยยังไม่เห็นแบรนด์ไหนเอามาขาย เพราะมีนแพงมาก
นอกจากนั้น ยังมีพวก Solid Perfume และ Perfume Oil ด้วย
แต่ถ้าหากจะแบ่งออกตามกลไกการตลาด จะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1. Designer คือ น้ำหอมที่พวกแบรนด์ต่างๆ ทำออกมาจายทั่วไปตามห้าง พวกนี้เน้นกลิ่นที่คนทั่วไปชื่นชอบ พวก Designer มีย้อยอีกเป็นพวกที่ขายตามร้านขายยา ตาม Supermarket ไปจนถึงประเภท Luxe คือ พวก Exclusive ทั้งหลายของพวก Designer ทั้งหลาย คือ มีขายตามห้าง แต่จะเป็นพวกห้างที่เน้นลูกค้ามีเงินเยอะหน่อย เพราะราคาจะสูง เข่น พวก Hermessence ของ Hermes หรือ Private Blend ของ Tom Ford
2. Niche คือ น้ำหอมที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม จะไม่ทำกลิ่นตามตลาดมากนัก มักกล้าที่จะแตกต่าง บางกลิ่นถือเป็นงานศิลป์แต่ใช้ยากในชีวิตจริง ตัวอย่างประเภทนี้ เช่น Creed, Bond No.9 (2 ตัวนี้ ถ้าไม่ติดที่มีหน้าร้านน้อย กลิ่นออกแนว Designer ครับ บางรุ่นกลิ่นแทบจะเหมือนของ Designer เลย) Serge Lutens, Amouage, L'Artisan Parfumeur, Andy Tauer, Neela Vermeire Creation, Montale (เมืองไทยมีขายแล้วนะ ที่ภูเก็ต) มีช่องทางการตลาด หน้าร้านน้อยกว่าประเภท Designer สำหรับส่วนผสมที่ใช้บางยี่ห้อใช้ของดีกว่าพวก Designer มาก จึงมีราคาสูงกว่าครับ แบ่งได้อีกหลายประเภท เช่น
2.1 Independent คือ พวกที่ปรุงโดยนักปรุงที่ไม่ได้สังกัดบริษัทใหญ่ พวกนี้ ทำเองหาร้านขายเองครับ
2.2 Natural คือ พวกที่ปรุงน้ำหอมโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ไม่ใช้ส่วนผสมจากเคมี กลิ่นจะธรรมชาติมาก แต่อาจแลกมาด้วยความไม่ค่อยทนเท่าที่ควร
2.3 Perfume House คือ พวกที่ปรุงโดยบริษัทน้ำหอมที่ผลิตแต่น้ำหอมโดยเฉพาะ บางยี่ห้อถือเป็นสถาบันด้านน้ำหอมไปแล้วด้วย เช่ พวก L'Artisan Parfumeur
กลับมาถึงคำถามของกระทู้นี้ "ทำไม คุณถึงใส่น้ำหอม
น้ำหอมบางคนใส่เพื่อกลบกลิ่นตัว ขอบอกว่าไม่ช่วยเลยครับ เพราะโมลิกุลของน้ำหอมจะไปผสมกับกลิ่นตัวทำให้กลิ่นแย่ลงไปอีกได้ แต่ก็มีบางกลิ่นที่พอผสมกับเหงื่อแล้วหอม ต้องลองเองครับปฏิกิริยาร่างกายคนเราต่างกัน บางกลิ่นคนหนึ่งติดทนทั้งวัน อีกคนไม่เกินครึ่งวันหายหมด
เท่าที่สังเกตุ รวบรวมจากเว็ป Basenotes และ Fragrantica เราใส่น้ำหอมกันเนื่องจาก
1. เราอยากจะกลิ่นหอมทั้งเพื่อตัวเอง และผู้อื่น
2. เสริมสร้างความมั่นใจ เสริมบุคลิก
3. คนสนิทซื้อให้ใส่
4. ใส่เพื่อดึงดูดผู้ที่เราสนใจ ใส่เพื่อต้องการคำชม
5. ใส่เพราะเสพติดกลิ่นหอม พวกนี้มีเยอะด้วย
ฯลฯ
สำหรับผม สะสมและใส่น้ำหอมเพื่อตัวเอง เพราะผมชอบกลิ่นหอม เหมือนคนสะสมไวน์ เพราะชอบรสชาด เป็นการปรนเปรอประสาทรับรส ดังนั้น น้ำหอม เครื่องหอมต่างๆ ก็เป็นการปรนเปรอประสาทการรับกลิ่น บางกลิ่นชวนระลึกถึงความหลัง บางกลิ่นชวนนึกถึงสถานที่ที่เคยไป บางกลิ่นมีส่วนผสมที่แปลกใหม่
นอกจากนี้ศาสตร์การปรุงน้ำหอมมีมาแต่โบราณ แต่ละคนกว่าจะปรุงออกมาได้ต้องศึกษาเล่าเรียน ค้นขว้า ทดลองผสมหลายครั้งกว่าจะได้ผลงานออกมาขายครับ บางกลิ่นใช้เวลาหลายปีกว่าจะปรุงออกมาสำเร็จครับ
สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้ว่า ทุกสิ่งในโลก มีคนรักก็มีคนเกลียด หากพวกเราใส่น้ำหอมเพื่อความพึงพอใจของเราแล้ว เราควรคำนึงถึง Personal Space ของผู้อื่นด้วยนะครับ "ฉีดน้ำหอม" นะครับ ไม่ใช่ "อาบน้ำหอม" เราอาจจะหอม แต่คนอื่นไม่หอมด้วยนะครับ เท่าที่อ่านจากเว็ป Basenotes ( http://www.basenotes.net ) เมืองนอกบาง Office มีกฎห้ามพนักงานใส่น้ำหอมนะครับ เพราะมีคนใส่โดยไม่คำนึงถึงคนอื่น เดือนร้อนถึงเพื่อนร่วมงาน ลูกค้าก็ไม่ชอบ ที่สำคัญในน้ำหอมมีส่วนผสมบางอย่างซึ่งคนบางคนแพ้อยู่ด้วย
ทำไม คุณถึงใส่น้ำหอม
ปัจจุบันมีน้ำหอมออกมาจำหน่ายมากมาย
หากแบ่งตามความเข้มข้นของหัวน้ำหอมกับบริมาณ Alcohol แบ่งได้ 4 ระดับ
1. Eau de Cologne ระดับเบาบางที่สุด ความทนทาน แล้วแต่ส่วนผสมครับ เคยลองตัวหนึ่ง ผสมน้ำผึ้งและใบยาสูบ กลิ่นทนพอๆ กับ EDT เลย แต่กลิ่นติดผิว
2. Eau de Toilette ระดับกลางๆ น้ำหอมทั่วไปตามท้องตลาดจะเป็นความเข้มข้นระดับนี้
3. Eau de Perfume ระดับเข้มข้น ใช้ปริมาณหัวน้ำหอมมาก กลิ่นทนนาน แต่ระวังให้ดี อยู่ที่ส่วนผสมเหมือนกันมี EDP ที่ความทนทานน้อยมากๆๆ พวก Citrus ทั้งหลายเนี่ยแหละ
4. Extract ระดับหัวน้ำหอม ระดับนี้ทนทานมากๆๆๆ เมืองไทยยังไม่เห็นแบรนด์ไหนเอามาขาย เพราะมีนแพงมาก
นอกจากนั้น ยังมีพวก Solid Perfume และ Perfume Oil ด้วย
แต่ถ้าหากจะแบ่งออกตามกลไกการตลาด จะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1. Designer คือ น้ำหอมที่พวกแบรนด์ต่างๆ ทำออกมาจายทั่วไปตามห้าง พวกนี้เน้นกลิ่นที่คนทั่วไปชื่นชอบ พวก Designer มีย้อยอีกเป็นพวกที่ขายตามร้านขายยา ตาม Supermarket ไปจนถึงประเภท Luxe คือ พวก Exclusive ทั้งหลายของพวก Designer ทั้งหลาย คือ มีขายตามห้าง แต่จะเป็นพวกห้างที่เน้นลูกค้ามีเงินเยอะหน่อย เพราะราคาจะสูง เข่น พวก Hermessence ของ Hermes หรือ Private Blend ของ Tom Ford
2. Niche คือ น้ำหอมที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม จะไม่ทำกลิ่นตามตลาดมากนัก มักกล้าที่จะแตกต่าง บางกลิ่นถือเป็นงานศิลป์แต่ใช้ยากในชีวิตจริง ตัวอย่างประเภทนี้ เช่น Creed, Bond No.9 (2 ตัวนี้ ถ้าไม่ติดที่มีหน้าร้านน้อย กลิ่นออกแนว Designer ครับ บางรุ่นกลิ่นแทบจะเหมือนของ Designer เลย) Serge Lutens, Amouage, L'Artisan Parfumeur, Andy Tauer, Neela Vermeire Creation, Montale (เมืองไทยมีขายแล้วนะ ที่ภูเก็ต) มีช่องทางการตลาด หน้าร้านน้อยกว่าประเภท Designer สำหรับส่วนผสมที่ใช้บางยี่ห้อใช้ของดีกว่าพวก Designer มาก จึงมีราคาสูงกว่าครับ แบ่งได้อีกหลายประเภท เช่น
2.1 Independent คือ พวกที่ปรุงโดยนักปรุงที่ไม่ได้สังกัดบริษัทใหญ่ พวกนี้ ทำเองหาร้านขายเองครับ
2.2 Natural คือ พวกที่ปรุงน้ำหอมโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ไม่ใช้ส่วนผสมจากเคมี กลิ่นจะธรรมชาติมาก แต่อาจแลกมาด้วยความไม่ค่อยทนเท่าที่ควร
2.3 Perfume House คือ พวกที่ปรุงโดยบริษัทน้ำหอมที่ผลิตแต่น้ำหอมโดยเฉพาะ บางยี่ห้อถือเป็นสถาบันด้านน้ำหอมไปแล้วด้วย เช่ พวก L'Artisan Parfumeur
กลับมาถึงคำถามของกระทู้นี้ "ทำไม คุณถึงใส่น้ำหอม
น้ำหอมบางคนใส่เพื่อกลบกลิ่นตัว ขอบอกว่าไม่ช่วยเลยครับ เพราะโมลิกุลของน้ำหอมจะไปผสมกับกลิ่นตัวทำให้กลิ่นแย่ลงไปอีกได้ แต่ก็มีบางกลิ่นที่พอผสมกับเหงื่อแล้วหอม ต้องลองเองครับปฏิกิริยาร่างกายคนเราต่างกัน บางกลิ่นคนหนึ่งติดทนทั้งวัน อีกคนไม่เกินครึ่งวันหายหมด
เท่าที่สังเกตุ รวบรวมจากเว็ป Basenotes และ Fragrantica เราใส่น้ำหอมกันเนื่องจาก
1. เราอยากจะกลิ่นหอมทั้งเพื่อตัวเอง และผู้อื่น
2. เสริมสร้างความมั่นใจ เสริมบุคลิก
3. คนสนิทซื้อให้ใส่
4. ใส่เพื่อดึงดูดผู้ที่เราสนใจ ใส่เพื่อต้องการคำชม
5. ใส่เพราะเสพติดกลิ่นหอม พวกนี้มีเยอะด้วย
ฯลฯ
สำหรับผม สะสมและใส่น้ำหอมเพื่อตัวเอง เพราะผมชอบกลิ่นหอม เหมือนคนสะสมไวน์ เพราะชอบรสชาด เป็นการปรนเปรอประสาทรับรส ดังนั้น น้ำหอม เครื่องหอมต่างๆ ก็เป็นการปรนเปรอประสาทการรับกลิ่น บางกลิ่นชวนระลึกถึงความหลัง บางกลิ่นชวนนึกถึงสถานที่ที่เคยไป บางกลิ่นมีส่วนผสมที่แปลกใหม่
นอกจากนี้ศาสตร์การปรุงน้ำหอมมีมาแต่โบราณ แต่ละคนกว่าจะปรุงออกมาได้ต้องศึกษาเล่าเรียน ค้นขว้า ทดลองผสมหลายครั้งกว่าจะได้ผลงานออกมาขายครับ บางกลิ่นใช้เวลาหลายปีกว่าจะปรุงออกมาสำเร็จครับ
สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้ว่า ทุกสิ่งในโลก มีคนรักก็มีคนเกลียด หากพวกเราใส่น้ำหอมเพื่อความพึงพอใจของเราแล้ว เราควรคำนึงถึง Personal Space ของผู้อื่นด้วยนะครับ "ฉีดน้ำหอม" นะครับ ไม่ใช่ "อาบน้ำหอม" เราอาจจะหอม แต่คนอื่นไม่หอมด้วยนะครับ เท่าที่อ่านจากเว็ป Basenotes ( http://www.basenotes.net ) เมืองนอกบาง Office มีกฎห้ามพนักงานใส่น้ำหอมนะครับ เพราะมีคนใส่โดยไม่คำนึงถึงคนอื่น เดือนร้อนถึงเพื่อนร่วมงาน ลูกค้าก็ไม่ชอบ ที่สำคัญในน้ำหอมมีส่วนผสมบางอย่างซึ่งคนบางคนแพ้อยู่ด้วย