มารู้จักคำว่าน้ำหอมกันเถอะ

ประวัติน้ำหอม

น้ำหอม หรือที่เขียนในภาษาอังกฤษว่า perfume เป็นคำที่มาจากภาษาละติน perfumare แปลว่า การผ่านควัน (to smoke through) เริ่มใช้แรกๆในสมัยโบราณแถบเมโสโปเตเมีย อียิปต์ แถบลุ่มน้ำสินธุ และจีนโบราณ น้ำหอมเป็นสิ่งที่มีอยู่มากนานในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ การใช้น้ำหอมเป็นวิธีหนึ่งในการเสริมสร้างกลิ่นหอมที่น่าชื่นชมและเพื่อเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ของบุคคล น้ำหอมมีบทบาทสำคัญในการเสริมสวยและสร้างความประทับใจในระบบสังคมตลอดประวัติศาสตร์

น้ำหอมสามารถพบได้ในหลายวัฒนธรรมและสถาบันที่แตกต่างกันทั่วโลก ย้อนกลับไปถึงยุคกลางศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงเวลานี้ ความหอมของน้ำมันหอมระเหยจากพืชและสัตว์ถูกใช้ในการบูรณะวัดนั่งและในงานฉลองศาสนา ในอียิปต์ และเมโสโปเตเมีย ใช้น้ำหอมหรือมดยอบและไม้ซีดาร์ในพิธีทางศาสนาและการเฉลิมฉลอง โดยวิธีการเผาน้ำมันหอมระเหย เรซิน เครื่องหอมและการใช้ในบาล์มและขี้ผึ้ง ผู้หญิงชาวอียิปต์ยังใช้ครีมและน้ำมันหอมระเหยเป็นเครื่องใช้ในห้องน้ำและเครื่องสำอาง น้ำหอมในยุคปัจจุบันเริ่มมีในศตรวรรษที่ 19 โดยการสกัดเอาสารประกอบอโรมาในเชิงพาณิชย์ เช่น วนิลินหรือคูมาลิน เป็นต้น



ชนิดน้ำหอม

Perfume Extract หรือ Extrait จะมีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 30-40%
Extrait หรือที่เรียกว่า Parfum หรือ Perfume Extract คือคำเรียกน้ำหอมที่มีความเข้มข้นที่สูงที่สุดที่มีอยู่ ประกอบด้วยสารประกอบอะโรมาติกในเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับความเข้มข้นของน้ำหอมอื่นๆ เนื่องด้วยความที่น้ำหอมมีความเข้มข้นสูงจึงต้องใช้สารสกัดเพียงเล็กน้อยเพื่อได้กลิ่นที่แรงและคงทน
โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้สำหรับคนที่ชอบกลิ่นหอมเข้มข้นและติดทนนานตลอดทั้งวัน เนื่องจากความเข้มข้มที่สูงมากตัวน้ำหอมอาจมีราคาที่สูงกว่าระดับความเข้มข้นอื่นๆ จึงถูกมองว่าเป็นน้ำหอมที่หรูหราและราคาแพงที่สุด โดยทั่วไปจะบรรจุในขวดเล็กที่หรูหรามักเกี่ยวข้องกับแบรนด์น้ำหอมระดับไฮเอนด์

EDP - Eau de Parfum มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 20-30%
เป็นคำที่ใช้อธิบายความเข้มข้นของน้ำหอมประเภทหนึ่ง โดยทั่วไปถือว่า EDP มีปริมาณความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหยสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกันน้ำหอมประเภทอื่นๆ เช่น Eau de Toilette(EDT) และ Eau de Cologne(EDC) เนื่องจากความเข้มข้นที่สูงของ Eau de Parfum จะให้กลิ่นที่เข้มข้นและติดหอมทนทานกว่าเทียบกับความเข้มข้นที่เบากว่า กลิ่นที่ใช้จะติดทนนานบนผิวกายได้ทั้งวัน

EDT - Eau de Toilette มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม10-20%
เป็นคำที่ใช้อธิบายความเข้มข้นของน้ำหอมประเภทหนึ่ง EDT จะมีความเข้มข้นของน้ำหอมที่น้อยกว่า EDP และน้ำหอมประเภทอื่น เนื่องจากความเข้มข้นที่ตำกว่า ตัวน้ำหอมระดับ EDT จะให้กลิ่นหอมที่เบากว่าและบอกบางกว่าเมื่อเทียบกับความเข้มข้นที่สูงกว่า กลิ่นจึงไม่เข้มข้นติดทนนานแต่ก็ยังให้กลิ่นที่ยังหอมที่น่าใช้ EDT มักใช้ในชีวิตประจำวันในวันสบายๆ หรือในช่วงเวลาที่ต้องการน้ำหอมอ่อน

EDC Eau de Cologne มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 3-5%
ซึ่งเป็นคำที่ใช้อธิบายความเข้มข้นของน้ำหอมประเภทหนึ่ง มันแสดงถึงระดับความเข้มข้นของน้ำหอมเฉพาะในน้ำหอม โดยทั่วไปแล้ว EDC มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมต่ำที่สุดในบรรดาน้ำหอมประเภทต่างๆ เนื่องจากมีความเข้มข้นต่ำ EDC จึงมอบกลิ่นหอมที่บางเบาและสดชื่น ซึ่งโดยปกติแล้วจะเข้มข้นน้อยกว่าและติดทนนานกว่าเมื่อเทียบกับ EDP และEDT  เป็นที่รู้จักจากลักษณะที่ชุ่มชื่นและcitrusy

ตามประวัติศาสตร์ EDC ได้รับการพัฒนาขึ้นในเมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี ในศตวรรษที่ 18 เดิมทีมันถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นกลิ่นหอมที่สดชื่นและมีชีวิตชีวาเพื่อจุดประสงค์ด้านสุขอนามัยส่วนบุคคลและการดูแลตัวเอง มักถูกใช้เป็นสเปรย์หรือสเปรย์เพื่อให้กลิ่นหอมกระปรี้กระเปร่าและกระปรี้กระเปร่า โดยทั่วไปจะใช้กับร่างกาย โดยเฉพาะจุดชีพจร เช่น ข้อมือและคอ เป็นต้น
การเลือกใช้น้ำหอมมีการพิจารณาตามระดับความเข้มข้น ความชอบส่วนตัว และคุณลักษณะของน้ำหอมที่ต้องการสามารถช่วยในการค้นหาตัวเลือกน้ำหอมที่เหมาะกับรสนิยมและโอกาสของแต่ละคน



Top, Middle, Base Notes คืออะไร

Top Notes กลิ่นแรกของน้ำหอมที่เตะจมูกเราตั้งแต่เริ่มฉีด ลักษณะกลิ่นจะโดดเด่นที่สุด และออกแนวสดชื่นๆ หรือฉุนๆแบบที่ใครหลายๆคนเข้าใจเพื่อสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้ใช้ ตัวกลิ่นจะอยู่นานประมาณ 10-20 นาที และจะเข้าช่วงตัว Middle Notes ซึ่งเป็นกลิ่นหลักที่หลายๆคนชอบ แต่ตัวกลิ่น Top Notes ก็สำคัญ เพราะเป็นกลิ่นที่จะบ่งบอกว่าผู้ใช้จะตัดสินใจซื้อหรือไม่

Middle Notes ตัวกลิ่นหลักของน้ำหอมตัวนั้นแต่ละกลิ่นที่สาวๆ ฉีด ลักษณะกลิ่นออกแนวนุ่มนวลและกลมกลืนไปกับผิวหนังของผู้ใช้ แล้วยังเป็นกลิ่นจะนำพาไปสู้กลิ่นของ Base Notes อีกด้วย หลังจากฉีดน้ำหอมจะมีกลิ่นประมาณ 3-6 ชั่วโมง

Base Notes กลิ่นสุดท้ายของน้ำหอมที่อยู่นาน 24 ชั่วโมง กลิ่นนี้จะยังอยู่หลังจากที่กลิ่นอื่นๆ ที่เป็นส่วนผสมจาก Top Notes และ Middle Notes ได้แห้งระเหยไปหมดแล้ว กลิ่น Base Note จะมีกลิ่นอ่อนๆ ไม่ได้เด่นแตะจมูกมากมาย แต่จะมีกลิ่นที่เปลี่ยนไปตามกลิ่นกายของผู้ใช้คนนั้นๆ ซึ่งกลิ่นนี้จะแตกต่างกันทำให้ผู้ใช้หลายคนที่ใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันแต่เมื่อผ่านเวลาไปจนถึงช่วง Base Note นั้นจึงไม่เหมือนกันสักคน

ซึ่งน้ำหอมที่ติดทนนานนอกจากค่าเปอร์เซ็นของหัวน้ำหอมที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากกลิ่นกายธรรมชาติของผู้ใช้อีกด้วยที่ นอกจากนั้นยังมีปัจจัยต่างๆ ทั้งจากตัวผู้ใช้เอง หรือปัจจัยภายนอก หรือการรับรู้กลิ่นของตัวน้ำหอมของผู้ใช้อีกด้วย ทำให้ตัวน้ำหอมนั้นมีกลิ่นที่ติดทนนานตลอดทั้งวัน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่