ขอบอกก่อนนะคะว่าบทความนี้ยาวมากๆ เเต่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องจากับเสี่ยเจียงเยอะมาก ละเอียดดีค่ะ ใครไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ คงต้องปิดไปเลยนะคะ
http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9580000038281
ในที่สุด วันนี้คนไทยก็มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ภาคต่อฟอร์มยักษ์อย่าง “Fast and Furious 7” ที่เพิ่งลงโรงฉายไปพร้อมกันเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ยกเลิกการสั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ที่สั่งไว้เมื่อ 26 มีนาคม 2558 ตามที่โจทก์ คือบริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยื่นฟ้อง “จา พนม “ (ทัชชกร ยีรัมย์) รวมไปถึงบริษัท ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ ในฐานะผู้สร้าง และบริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ ฟาร์อีสต์ ประเทศไทย จำกัด (UIP) ในข้อหาละเมิดสัญญา พร้อมเรียกค่าเสียหายรวมกว่า 1,600 ล้านบาท ด้วยพิจารณาแล้วเห็นว่าในภาพยนตร์ดังกล่าว ยังมีนักแสดงอื่นๆ ร่วมแสดงด้วย คำสั่งที่จะให้ระงับการฉายภาพยนตร์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ จึงไปกระทบสิทธิของบุคคลภายนอก จึงเห็นสมควรให้ยกเลิกคำสั่งศาลที่สั่งไว้แต่เดิม
เสียงชื่นชมจากคอหนังเทศ ที่ได้ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว ล้วนลงความเห็นในทำนองชื่นชมว่าฉากบู๊แอ๊กชั่นในเรื่องนี้ มันหยดติ๋งจริงๆ ชนิดที่หาหนังเรื่องอื่นมาทาบรัศมีได้ยากเหลือเกิน เรียกว่าบู๊กันตั้งแต่ในเมือง บนภูเขา เรื่อยไปถึงกลางป่า อีกทั้งบทบาทของจา พนมในเรื่อง ก็ถือเป็นหนึ่งในสีสันสำคัญ เขาไมได้เป็นแค่ “ตัวประกอบ” อย่างที่โดนถูกค่อนว่าเมื่อตอนมีข่าวแรกๆ ว่าจะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ถือเป็นตัวร้ายเบอร์สองรองจาก “เจสัน สเตแธม”
โดยในเรื่องนี้ จารับบทเป็นตัวละครที่ชื่อว่า "Kiet" ซึ่งเป็นสมุนตัวฉกาจของตัวร้ายประจำภาค (เจสัน สเตแธม) ฉากบู๊แอ็กชั่นของเขา กับ “พอล วอล์คเกอร์” นั้นนับว่าเป็นหนึ่งในฉากบู๊ที่ดีที่สุดในหนังภาคนี้เลยทีเดียว
ว่ากันว่าถ้าตัดฉากที่จาเล่นออก ตามที่เสี่ยเจียงคาดโทษไว้แต่แรกนั้น หนังเรื่องนี้จะหดเหลือเพียงแค่ 2 ใน 3 ของเรื่องเท่านั้น นั่นหมายถึงว่าฉากที่จาร่วมแสดงในเรื่อง มีถึง 1 ใน 3 ไม่ได้เป็นแค่ไม้ประดับในฉาก ที่จะตัดออกตอนไหน เมื่อไหร่ หนังก็ไม่เสียหาย
และนั่นก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าความพยายามของเสี่ยเจียงต่อจา และต่อหนังเรื่องนี้ เป็นความพยายามที่ออกจะผิดที่ ผิดทาง ผิดจังหวะ และที่สำคัญทำให้คนไทย “ผิดหวัง”ต่อวิสัยทัศน์ในฐานะผู้บริหาร และหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย
เป็นความล้มเหลวที่เกิดขึ้นภายใต้กระบวนความคิดของทั้งเสียเจียง และทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมาย !!
การรั้งรอจังหวะที่ “Fast and Furious 7” ซึ่งมีจาเป็นหนึ่งในนักแสดงจะเข้าฉาย แล้วจึงออกโรงมาทวงสิทธิในฐานะต้นสังกัด พร้อมกับเรียกร้องให้มีการพูดคุยเจรจากันนั้น เสมือนเป็นการจงใจ “บีบ” ให้จาและบริษัทผู้สร้างจนมุม โดยการจับคนไทยที่รอชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวประกัน ซึ่งถือเป็นการเดินหมากผิดอย่างมหันต์ เพราะกลายเป็นว่าแทนที่จาจะกลายเป็น “เหยื่อ” ตัวเสี่ยเจียงที่ต้องแบกความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารของสหมงคลฟิล์มทั้งหมด กลับกลายเป็น “เป้า” ที่ถูกสังคมพุ่งเข้ามาโจมตี ถึงขนาดที่มีการตั้งกระทู้แอนตี้สหมงคลฟิล์มกระหึ่มในโลกออนไลน์ ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ไม่เพียงจะส่งผลกระทบถึงเสถียรภาพของ
สหมงคลฟิล์มโดยตรงเท่านั้น แต่ในทางอ้อมแล้ว ยังส่งผลกระทบไปถึงบรรดาผู้สร้าง และนักแสดงคนอื่นๆ ในสังกัดด้วย ซึ่งก็ถือว่าไม่แฟร์กับคนอื่น ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีของจา และภาพยนตร์ “Fast and furious 7” แต่กลับต้องโดนหางเลขไปด้วย
นี่อาจจะเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทั้งเสี่ยเจียงและทีมที่ปรึกษากฎหมายจะต้องนำกลับมาทบทวนให้ดี
เสี่ยเจียงอาจจะมองเกมผิด คิดว่าการมีสัญญาอยู่ในมือ จะเป็นข้อได้เปรียบ ที่จะ “บีบ” หรือ “คลาย” จะให้ “ตาย” หรือ “อยู่” ล้วนเป็นผู้คุมเกมได้เองทั้งสิ้น ตรงกันข้าม สัญญาในมือนั้น กลับกลายเป็นจุดอ่อน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ความไม่โปร่งใส และออกจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบต่อคู่สัญญาอย่างจา ผิดวิสัยของคนที่ออกตัวมาเสมอว่ารักจาเหมือนลูกในไส้
“เสี่ยเจียง” กับ “จา พนม” Fast and Furious 7 ใครเร็ว ใครแรง ใครทะลุนรก ?
http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9580000038281
ในที่สุด วันนี้คนไทยก็มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ภาคต่อฟอร์มยักษ์อย่าง “Fast and Furious 7” ที่เพิ่งลงโรงฉายไปพร้อมกันเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ยกเลิกการสั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ที่สั่งไว้เมื่อ 26 มีนาคม 2558 ตามที่โจทก์ คือบริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยื่นฟ้อง “จา พนม “ (ทัชชกร ยีรัมย์) รวมไปถึงบริษัท ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ ในฐานะผู้สร้าง และบริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ ฟาร์อีสต์ ประเทศไทย จำกัด (UIP) ในข้อหาละเมิดสัญญา พร้อมเรียกค่าเสียหายรวมกว่า 1,600 ล้านบาท ด้วยพิจารณาแล้วเห็นว่าในภาพยนตร์ดังกล่าว ยังมีนักแสดงอื่นๆ ร่วมแสดงด้วย คำสั่งที่จะให้ระงับการฉายภาพยนตร์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ จึงไปกระทบสิทธิของบุคคลภายนอก จึงเห็นสมควรให้ยกเลิกคำสั่งศาลที่สั่งไว้แต่เดิม
เสียงชื่นชมจากคอหนังเทศ ที่ได้ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว ล้วนลงความเห็นในทำนองชื่นชมว่าฉากบู๊แอ๊กชั่นในเรื่องนี้ มันหยดติ๋งจริงๆ ชนิดที่หาหนังเรื่องอื่นมาทาบรัศมีได้ยากเหลือเกิน เรียกว่าบู๊กันตั้งแต่ในเมือง บนภูเขา เรื่อยไปถึงกลางป่า อีกทั้งบทบาทของจา พนมในเรื่อง ก็ถือเป็นหนึ่งในสีสันสำคัญ เขาไมได้เป็นแค่ “ตัวประกอบ” อย่างที่โดนถูกค่อนว่าเมื่อตอนมีข่าวแรกๆ ว่าจะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ถือเป็นตัวร้ายเบอร์สองรองจาก “เจสัน สเตแธม”
โดยในเรื่องนี้ จารับบทเป็นตัวละครที่ชื่อว่า "Kiet" ซึ่งเป็นสมุนตัวฉกาจของตัวร้ายประจำภาค (เจสัน สเตแธม) ฉากบู๊แอ็กชั่นของเขา กับ “พอล วอล์คเกอร์” นั้นนับว่าเป็นหนึ่งในฉากบู๊ที่ดีที่สุดในหนังภาคนี้เลยทีเดียว
ว่ากันว่าถ้าตัดฉากที่จาเล่นออก ตามที่เสี่ยเจียงคาดโทษไว้แต่แรกนั้น หนังเรื่องนี้จะหดเหลือเพียงแค่ 2 ใน 3 ของเรื่องเท่านั้น นั่นหมายถึงว่าฉากที่จาร่วมแสดงในเรื่อง มีถึง 1 ใน 3 ไม่ได้เป็นแค่ไม้ประดับในฉาก ที่จะตัดออกตอนไหน เมื่อไหร่ หนังก็ไม่เสียหาย
และนั่นก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าความพยายามของเสี่ยเจียงต่อจา และต่อหนังเรื่องนี้ เป็นความพยายามที่ออกจะผิดที่ ผิดทาง ผิดจังหวะ และที่สำคัญทำให้คนไทย “ผิดหวัง”ต่อวิสัยทัศน์ในฐานะผู้บริหาร และหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย
เป็นความล้มเหลวที่เกิดขึ้นภายใต้กระบวนความคิดของทั้งเสียเจียง และทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมาย !!
การรั้งรอจังหวะที่ “Fast and Furious 7” ซึ่งมีจาเป็นหนึ่งในนักแสดงจะเข้าฉาย แล้วจึงออกโรงมาทวงสิทธิในฐานะต้นสังกัด พร้อมกับเรียกร้องให้มีการพูดคุยเจรจากันนั้น เสมือนเป็นการจงใจ “บีบ” ให้จาและบริษัทผู้สร้างจนมุม โดยการจับคนไทยที่รอชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวประกัน ซึ่งถือเป็นการเดินหมากผิดอย่างมหันต์ เพราะกลายเป็นว่าแทนที่จาจะกลายเป็น “เหยื่อ” ตัวเสี่ยเจียงที่ต้องแบกความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารของสหมงคลฟิล์มทั้งหมด กลับกลายเป็น “เป้า” ที่ถูกสังคมพุ่งเข้ามาโจมตี ถึงขนาดที่มีการตั้งกระทู้แอนตี้สหมงคลฟิล์มกระหึ่มในโลกออนไลน์ ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ไม่เพียงจะส่งผลกระทบถึงเสถียรภาพของ
สหมงคลฟิล์มโดยตรงเท่านั้น แต่ในทางอ้อมแล้ว ยังส่งผลกระทบไปถึงบรรดาผู้สร้าง และนักแสดงคนอื่นๆ ในสังกัดด้วย ซึ่งก็ถือว่าไม่แฟร์กับคนอื่น ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีของจา และภาพยนตร์ “Fast and furious 7” แต่กลับต้องโดนหางเลขไปด้วย
นี่อาจจะเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทั้งเสี่ยเจียงและทีมที่ปรึกษากฎหมายจะต้องนำกลับมาทบทวนให้ดี
เสี่ยเจียงอาจจะมองเกมผิด คิดว่าการมีสัญญาอยู่ในมือ จะเป็นข้อได้เปรียบ ที่จะ “บีบ” หรือ “คลาย” จะให้ “ตาย” หรือ “อยู่” ล้วนเป็นผู้คุมเกมได้เองทั้งสิ้น ตรงกันข้าม สัญญาในมือนั้น กลับกลายเป็นจุดอ่อน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ความไม่โปร่งใส และออกจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบต่อคู่สัญญาอย่างจา ผิดวิสัยของคนที่ออกตัวมาเสมอว่ารักจาเหมือนลูกในไส้