โภชนาการสำหรับผู้ป่วยที่ทานยาต้านไวรัส HIV

ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV มักจะพบผลข้างเคียง คือภาวะผิดปกติของไขมัน (lipodystrophy) โดยรูปร่างของผู้ป่วยอาจเปลี่ยนแปลง ไขมันในเลือดสูงขึ้น และอาจส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจหรือเบาหวานได้ เมื่อผู้ป่วยเริ่มได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ ควรจะลดอาหารกลุ่มไขมันโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ซึ่งจะมีมากในกลุ่มเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม และไขมันอิ่มตัวจากน้ำมันปาล์มและมะพร้าว เมื่อพบว่าผู้ป่วยมีภาวะไขมันในเลือดสูง จะต้องปรับอาหารโดยเน้นการทานผักและผลไม้ ประมาณ 5 ส่วนต่อวัน ร่วมกับการออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ซึ่งจะช่วยเสริมการสร้างกล้ามเนื้อและผ่อนคลายความเครียดและทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น

อาหารเสริม
ผู้ติดเชื้อ HIV จำนวนมาก หันมาทาน วิตามิน อาหารเสริม รวมถึงยาสมุนไพรมากขึ้น เพื่อหวังว่าจะช่วยให้ภูมิต้านทานในร่างกายดีขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะคงไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ง่ายนัก โดยเฉพาะเมื่อเริ่มให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ ผู้ป่วยอาจทานอาหารเสริมหลากหลายชนิด และเปลี่ยนแปลงชนิดบ่อยๆ ทำให้การติดตามผลเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตามมี การศึกษาบางอย่างชี้ว่าอาหารเสริมบางชนิดมีผลต่อการรักษา เช่น สารสกัดจากกระเทียมซึ่งเชื่อว่าจะช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับหัวใจ มีผลทำให้ประสิทธิภาพการรักษาด้วยยา Saquinavir ลดลง และอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยากลุ่ม Protease inhibitor ตัวอื่นๆ เช่นกัน อีกตัวอย่างหนึ่งคือ สมุนไพร
St. John’s wort ซึ่งใช้มากในต่างประเทศ พบว่ามีผลลดระดับยาในเลือดของ Indinavir ซึ่งเป็นยา
กลุ่ม Protease inhibitor เช่นกัน และอาจส่งผลต่อยากลุ่ม NNRTIs ด้วย
    ในประเทศไทยเองก็มีผู้ป่วยบางกลุ่มสนใจใช้สมุนไพรหลายชนิดรักษาเสริมกับการใช้ยา
ต้านไวรัสเอดส์ แต่ทั้งนี้พึงระลึกเสมอว่าสมุนไพรก็มีสารซึ่งอาจจะมีผลเปลี่ยนแปลงการรักษาของยาได้เช่นกัน ทางที่ดีหากจะใช้สมุนไพรร่วมในการรักษาก็ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ดูแลการรักษาทราบ เพื่อติดตามผลด้วย
    ผู้ป่วยมักจะได้รับคำแนะนำให้ดูแลการทานอาหารให้ครบถ้วน และอาจทานวิตามินรวมได้
บ้าง และแม้ว่าจะมีการแนะนำว่า วิตามินบีรวม วิตามินซี และวิตามินอี สามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้  ป้องกันภาวะท้องเสียในเด็ก และเป็นประโยชน์สำหรับแม่ที่ติดเชื้อ HIV แต่ก็ไม่แนะนำให้รับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมในปริมาณสูงมากๆ (megadosage) เกินกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน ทั้งนี้ วิตามินปริมาณสูงมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายได้ เช่น

วิตามินเอ: ปริมาณสูงเกินไป เช่นเกิน 9,000 ไมโครกรัมในผู้ชาย หรือ 7,500 ไมโครกรัม
ในผู้หญิง จะส่งผลเสียต่อตับและกระดูก อาเจียน และ ปวดศีรษะ

วิตามินซี: เกินกว่า 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน อาจทำให้เกิดโรคนิ่วในไต ท้องเสียและหลอด
เลือดแข็งตัว พบว่าปริมาณยา Indinavir ในกระแสเลือดจะลดลงในผู้ป่วยที่รับประทานวิตามินซี
ปริมาณสูง ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาของยาลดลงได้

วิตามินอี: เกินกว่า 800 มิลลิกรัมต่อวัน ก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้โดยเฉพาะเมื่อทานยา
Amprenavir

สังกะสี (Zinc): ปริมาณเกินกว่า 75 มิลลิกรัมต่อวัน มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะพร่อง
ทองแดง (copper) neutropenia และโลหิตจาง

ซีลีเนียม (Selenium): เกินกว่า 750ไมโครกรัมต่อวัน เกี่ยวข้องกับการกดภูมิต้านทานของร่างกาย

วิตามินบี 6: มากกว่า 2 กรัมต่อวัน อาจส่งผลทำลายเส้นประสาทและพบว่าขนาด 50 มิลลิกรัมต่อวัน สัมพันธ์กับภาวะปลายประสาทอักเสบ

แคลเซียม: ขนาดมากกว่า 1.5 มิลลิกรัม สัมพันธ์กับภาวะแคลเซียมในเลือดสูงเกินไป

เหล็กและโฟเลท (Iron, Folate): องค์การอนามัยโลก แนะนำให้แม่ติดเชื้อ HIV ที่ตั้งครรภ์ ทานเหล็กวันละ 60 มิลลิกรัมและโฟเลท วันละ 400 มิลลิกรัม ในช่วง 6 เดือนของการตั้งครรภ์
เช่นเดียวกับหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง และให้ทานเพิ่มเป็นวันละสองครั้ง เพื่อรักษาภาวะโลหิตจางขั้นรุนแรง
    ดังนั้นหากผู้ป่วยคิดจะรับประทานวิตามิน อาหารเสริมหรือสมุนไพรชนิดใดควบคู่กับการ
รักษาด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแจ้งให้แพทย์ผู้ดูแลการรักษาทราบทุกครั้ง
เพื่อจะได้ติดตามการรักษาได้อย่างใกล้ชิด

แอลกอฮอล์
การดื่มเหล้า และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้
ร่างกายฟื้นจากการติดเชื้อได้ยากขึ้น อีกทั้งยังมีผลทำลายตับและก่อภาวะตับอักเสบด้วย ผู้ติดเชื้อHIV เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมากเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงและออกฤทธิ์ของยาต้านไวรัสเอดส์ แอลกอฮอล์ส่งผลต่อการดูดซึมของยาต้านไวรัสเอดส์บางชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังส่งผลต่อจิตใจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง ในกรณีที่ผู้ป่วยดื่มแอลกอฮอล์มากจนอาเจียนภายใน 1 ชั่วโมงหลังทานยา ก็ควรจะทานยาใหม่อีกครั้งเพื่อรักษาระดับยาในเลือดป้องกันการดื้อยา ผู้ป่วยควรเลิกบุหรี่ด้วยเนื่องจากทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร

น้ำ
ควรดื่มน้ำประมาณ 2 ลิตรต่อวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ช่วยในการทำงานและป้องกันผลข้างเคียงของยาบางชนิดได้ เช่น Indinavir เมื่อผู้ป่วยมีภาวะไข้ ท้องเสีย หรือสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย ก็ควรดื่มน้ำมากขึ้นเป็น 150-250 มิลลิลิตรทุก 15 นาที อาจดื่มน้ำผลไม้แทนได้ แต่ควรงดเหล้า ชา กาแฟ น้ำอัดลม เพราะมีส่วนทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ

อนามัยด้านอาหารสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV
         ผู้ป่วยที่มีระดับ CD4 ต่ำกว่า 200 cell/mm3 มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อหรือเกิดอาหารเป็นพิษได้ง่าย จึงควรใส่ใจต่ออนามัยในการปรุงอาหารให้มาก
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารดิบ เช่น ปลาดิบ เนื้อที่ยังปรุงไม่สุกเต็มที่
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมที่ยังไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
- หลีกเลี่ยงโยเกิร์ตหรืออาหารเสริมที่ประกอบด้วยเชื้อจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือเครื่องดื่ม
ที่มีส่วนผสมของ Probiotic
- อาหารที่สุกแล้วตั้งทิ้งไว้นาน ควรนำมาอุ่นใหม่ก่อนทาน ไม่ควรทานอาหารที่ไม่ได้แช่เย็น
ค้างเกิน 1 วัน
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีราขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม รวมถึงอาหารที่เลยวันหมดอายุแล้ว
- ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนทาน
- เก็บแยกอาหารที่ยังไม่ได้ทำให้สุกกับอาหารที่สุกแล้วออกจากกันเป็นสัดส่วนเพื่อกันการ
ปนเปื้อนเชื้อจากอาหารดิบไปสู่อาหารสุก รวมทั้งดูแลความสะอาดของภาชนะ และอุปกรณ์ทำอาหาร
ด้วย
- อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วหากจะเก็บในตู้เย็นเพื่อรับประทานต่อไปก็ไม่ควรจะเก็บเกิน 2 วัน
หากจะเก็บไว้รับประทานนานกว่า 2 วันควรแบ่งส่วนเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง
- ผู้ป่วยที่มีระดับ CD4 ต่ำกว่า 200 cell/mm3 ควรดื่มน้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว หรือหาก
ไม่สามารถหาได้อาจใช้น้ำที่ผ่านการต้มให้เดือดฆ่าเชื้ออย่างน้อย 5-10 นาทีแล้ว และเก็บในภาชนะ
ปิดสนิท เพื่อลดโอกาสติดเชื้อที่ปนเปื้อนมาในน้ำ สำหรับการดื่มหรือการเตรียมอาหาร และแปรงฟัน
ควรระวังการใช้น้ำประปาหรือน้ำแร่ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนทานอาหาร
โภชนาการที่ดีจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยาวนานขึ้น
เอกสารอ้างอิง
ที่มา : Nutrient requirements for people living with HIV/AIDS.

Report : LIV APCO
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่