การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้ามหาชีวิตสุริยวงศาธรรมิกราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง ทำให้อาณาจักรล้านช้างเกิดความปั่นป่วนเพราะมีขุนนางขึ้นเป็นใหญ่แทน เวลานั้นพระไชยองค์เว้ พระราชโอรสของพระเชษฐาของพระเจ้าสุริยวงศา ได้นำทหารไดเวียดบุกยึดกรุงเวียงจันทน์แล้วสถาปนาพระองค์เป็นพระเจ้าไชยเชษฐาที่ 2 อย่างไรก็ตาม เจ้ากิ่งกิสราชกับเจ้าอินทโฉมต่อต้านการปกครองของพระไชยองค์เว้เนื่องจากเห็นว่าพระองค์เป็น “ลูกซอดแกว” และเอาทหารเวียดนามเข้ามาตีกรุงเวียงจันทน์ เจ้ากิ่งกิสราชจึงหนีไปยังเมืองหลวงพระบางและแยกเป็นอาณาจักรหลวงพระบาง เวลาต่อมาเจ้าศรีสมุทรก็แยกตัวออกมาเป็นอาณาจักรจำปาศักดิ์ ในเวลานั้นแม้ว่าจะเกิดความตึงเครียดทางการเมืองแต่เวลาต่อมาในปี 1779 เมื่ออาณาจักรทั้งสามเป็นของสยาม ก็ได้มีการสถาปนา เจ้าอนุรุทธขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินอาณาจักรหลวงพระบาง เวลาต่อมาเมื่อเจ้าอนุรุทธสิ้นพระชนม์ เจ้ามันธาตุราชได้ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา และทรงสถาปนา เจ้าอุ่นแก้วขึ้นเป็น “เจ้ามหาอุปราช” (ເຈົ້າມຫາອຸປຮາຊ) โดยในระยะแรกนั้นยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็เช่นกันเดียวกับปัญหา “วังหน้า-วังหลวง” ที่เคยเกิดขึ้นในไทยมาหลายครั้งแล้ว เนื่องจากมีหลายครั้งที่พระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคตแล้วผู้สืบบัลลังก์ต่อมักเป็นพระราชอนุชาหรือพระราชโอรสที่ไม่ได้เป็นเจ้ามหาอุปราช ทำให้ในระยะเวลาต่อมายิ่งมีการทวีความรุนแรงลึกจากภายในมากขึ้นเมื่อพระเจ้าสักรินทร์เสด็จสวรรคตในปี 1904 ทำให้เจ้าขาวขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็น “พระบาทสมเด็จพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างภูริวงศ์” หรือเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ทำให้นั้นเป็นการฉีกหน้าเจ้ามหาอุปราชบุญคงซึ่งยังดำรงตำแหน่งมหาอุปราชอยู่ แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากว่าเป็นความร้าวรานภายในของวังหลวงและวังหน้า
แผนผังวังหลวง-วังหน้าของหลวงพระบาง
จนกระทั่งเมื่อเจ้ามหาอุปราชบุญคงเสด็จสวรรคตในปี 1920 เจ้าเพชรราชพระราชโอรสองค์โตของพระองค์ได้ขึ้นเป็นมหาอุปราชาแห่งอาณาจักรหลวงพระบางซึ่งอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส เจ้าเพชรราชนี้ได้เสกสมรสกับพระราชเชษฐภคินีของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ซึ่งหลายๆคนมองว่านั้นเป็นการสานสัมพันธ์รอยร้าวของ 2 วังนี้ขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังห้ามไม่ได้กับเจ้าเพชรราช ผู้ซึ่งต้องการที่จะให้ประเทศลาวมีอำนาจเป็นของตัวเอง ดังนั้นปี 1945 เจ้าเพชรราชได้ทักท้วงเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ให้ทรงประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส แต่พระองค์ทรงเห็นว่าประเทศลาวยังไม่พร้อมที่จะประกาศเอกราชเนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่าง ทำให้เจ้าเพชรราชเดือดดาล สั่งการให้ประกาศปลดพระเจ้ามหาชีวิตและสถาปนาพระองค์เป็นผู้นำรัฐบาลลาวอิสระ และได้ปกครองประเทศเป็นเวลาสั้นๆก่อนที่จะถูกฝรั่งเศสยึดไปภายหลัง ซึ่งส่งผลให้พระองค์ต้องอพยพลงมาประเทศไทย ภายหลังเมื่อประเทศลาวสามารถประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสได้แล้วก็ได้ให้มีการประกาศจัดตั้งรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาวขึ้น ในระยะนั้นมีผู้นำในรัฐบาลอยู่ 2 คน คือเจ้าบุญอุ้มกับเจ้าสุวรรณภูมา และยังมี “เจ้านอกวัง” คือเจ้าสุภานุวงศ์ ซึ่งแตกต่างจาก 2 พระองค์เพราะพระองค์นิยมคอมมิวนิสต์เมื่อพระองค์ได้พบกับโฮจิมินห์
พระเจ้าสักรินทร์กับเจ้ามหาอุปราชบุญคง
เจ้าเพชรราช,เจ้าสุวรรณภูมา และเจ้าสุภานุวงศ์ (ยืนกางขาวางมือ) ที่กรุงเทพมหานคร
ทั้ง 3 พระองค์ต่างมีแนวคิดที่ค่อนข้างแปลกแยกออกไป นั้นคือ เจ้าบุญอุ้มมีความคิดที่จะอยากแยกจำปาศักดิ์ให้พระองค์ปกครองเอง เจ้าสุวรรณภูมาก็ต้องการปกครองลาวในฐานะนายกรัฐมนตรี เจ้าสุภานุวงศ์ต้องการอยากปกครองลาวในฐานะพระประมุข ดังนั้นในช่วงหลังประกาศเอกราชทำให้ทั้ง 3 ฝ่ายต่างใช้ทั้งสันติวิธีและยุทธวิธีเข้าห้ำหั่นกันเอง จนทำให้เจ้าเพชรราชทรงสิ้นพระชนม์จากความเครียดเพราะความแตกแยกในบ้านเมือง เวลาไล่เลี่ยกันนั้นเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ก็ทรงสิ้นพระชนม์และให้เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แทน
อย่างไรก็ตาม แนวคิด “เฮาเป็นลาว” อยู่ในหัวของทหารลาวแดง,ลาวขวา และลาวกลาง ทำให้การรบเป็นไปอย่างไม่ดุเดือด เวลาต่อมาทั้ง 3 ฝ่ายได้หยุดสู้รบกัน ส่งผลให้ร้อยเอกกองแลทำการปฏิวัติขึ้นแต่ล้มเหลวและถูกผลักไสให้ไปอยู่ต่างประเทศจนสิ้นชีวิต สหรัฐอเมริกาซึ่งต้องการหยุดยั้งการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงได้สนับสนุนทหารม้งและทหารอาสาไทยไปรบกับทหารลาวแดง และมีการผลัดกันแพ้ชนะแต่ไม่รู้ผลอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งเมื่อสหรัฐอเมริกายอมแพ้สงครามเวียดนาม จึงได้ยอมแพ้ถอนทหารกลับบ้านไป และขอให้เจ้าสุวรรณภูมา ทำการตกลงกับเจ้าสุภานุวงศ์ โดยไม่ได้ไตร่ตรองถึงภัยร้ายของประเทศลาวในวันนั้น
3 เจ้าลาว จับมือเซ็นสัญญาสงบศึก
เจ้าสุวรรณภูมาได้เซ็นสัญญาให้กลุ่มขบวนการปะเทดลาวเข้ามาอยู่ร่วมกับรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาว เป็นรัฐบาลผสมระหว่าง ซ้าย-กลาง-ขวา และยอมให้ทหารลาวแดงเข้ามาในกรุงเวียงจันทน์ได้ ในเวลาต่อมาลาวแดงใช้ยุทธวิธีเข้าคุมประชาชนและหน่วยงานต่างๆจนเริ่มเหลว โดยที่ลาวกลางไม่สนใจและลาวขวาไม่สามารถทำอะไรได้ เวลาต่อมาทั้งเจ้าสุวรรณภูมาและเจ้าสุภานุวงศ์ได้เชิญพระเจ้ามหาชีวิตให้เสด็จมากรุงเวียงจันทน์ และขอให้พระองค์สละราชสมบัติ โดยการบีบบังคับพระองค์ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ถือว่าเป็นการล้างแค้นของวังหน้าและเป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ลาว เมื่อเวลาต่อมาหลังการสถาปนา สปป.ลาวแล้ว ราชวงศ์หลวงพระบางเกือบทั้งหมดที่ยังอยู่ในลาวถูกส่งไปค่ายสัมมนาและสิ้นพระชนม์เป็นจำนวนมาก แต่กลายเป็นว่าเจ้าสุวรรณภูมาเหลือรอดมาได้ และเจ้าสุวรรณภูมาเมื่อได้เดินทางไปฝรั่งเศสในช่วงปี 1980s ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องราวในประเทศลาวโดยการใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้ามหาชีวิตเป็นอันมาก ทำให้มีทฤษฎีสมคบคิดกันว่าเจ้าสุวรรณภูมาอาจจะสมคบคิดกับเจ้าสุภานุวงศ์ เพื่อก่อการยึดอำนาจมาจากเจ้ามหาชีวิต ก็เป็นได้
เหตุใดจึงทำให้เกิดความเชื่อ “รอยร้าวของวังหลวง-วังหน้า” แห่งหลวงพระบาง เพราะมีหลายทฤษฎีที่บ่งบอกได้ว่า เจ้า 3 องค์ คือเจ้าเพชรราช,เจ้าสุวรรณภูมา และ เจ้าสุภานุวงศ์ มีแนวคิดที่จะโค่นล่มอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าเพชรราชทำไปเพราะความจำเป็น เนื่องจากเห็นว่าพระเจ้ามหาชีวิตคัดค้านจะทำให้การประกาศเอกราชของลาวเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่สุดท้ายรัฐบาลลาวอิสระก็ไม่สามารถบริหารประเทศให้รอดพ้นจากฝรั่งเศสไปได้ดีเท่าที่ควร ส่วนเจ้าสุวรรณภูมาก็ปล่อยให้เจ้าสุภานุวงศ์กับขบวนการปะเทดลาวเข้ามาในกรุงเวียงจันทน์โดยไม่คิดคำนึงถึงภัยร้ายใดๆ
สำหรับเจ้าสุภานุวงศ์ ถือว่าเป็นผู้มีแนวคิดโค่นล้มกษัตริย์อย่างชัดแจ้งและชัดเจน และร้ายแรงที่สุด เพราะเจ้าสุภานุวงศ์ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าขบวนการปะเทดลาวเพื่อสู้รบ “ปลดแอก” ตัวเองจากการเป็นข้าทาสของอเมริกาและฝรั่งเศส และเมื่อได้สถาปนา สปป.ลาว ก็ได้ยกตัวเองเป็นประธานประเทศและให้เจ้ามหาชีวิตเป็นที่ปรึกษาให้
เจ้าสุภานุวงศ์ ในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์
สุดท้ายแล้วเจ้าสุภานุวงศ์ได้สำนึกผิดตอนที่สายไป ด้วยความยโสโอหังละโมบในความเป็นราชาแบบที่คิดไปเอง ทำให้เกิดการสังหารฆ่าล้างราชวงศ์หลวงพระบางไป และเกิดการยึดครองลาวของเวียดนามไป ดังเนื้อความที่เคยตรัสไว้ก่อนทรงสิ้นพระชนม์ว่า
“เพราะข้าพเจ้า บูชาความสวยงามของแม่หญิง จึงกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดในชีวิต มาบัดนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้ว่า เป็นความผิดอย่างใหญ่หลวงในชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่คิดว่า พวกเวียดมินห์ จะมีพฤติกรรมโหดร้ายถึงขนาดนี้ ต่อประเทศชาติและประชาชนลาวของพวกข้าพเจ้า ในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าไปร่วมมือกับพวกเวียดมินห์ เพื่อทำการกู้ชาตินั้น ได้สัญญาว่า "เมื่อได้สงครามยุติลง คนเวียดนามก็ต้องกลับไปอยู่ประเทศเวียดนาม คนลาวก็ต้องกลับไปอยู่ประเทศลาว" ถึงว่า สัญญามิตรภาพ ลาว-เวียด เป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน ยังใช้ได้อยู่ก็ตาม ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า เมื่อได้พวกเขาจะเอาร่างกายของข้าพเจ้าไปจุดเผา แต่พฤติกรรมที่พวกเขากระทำต่อประเทศชาติของพวกข้าพเจ้านั้นลบไม่ลงไปกับการหยุดลมหายใจและการเผาศพของข้าพเจ้า
ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดออกมา มีแต่หนีมันไว้อยู่เบื้องหลังที่นั้น ดังนั้น ต่อหน้าสภาพการอันร้ายแรงของประเทศชาติบ้านเมืองลาวนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกร้องมายังพี่น้องร่วมชาติทั้งหญิงชาย ลูกหลานทุกชนชาติชนเผ่าและผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายที่สุขภาพเข้มแข็ง จึงมาร่วมจิตร่วมใจกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียว เพื่อชำระล้างโทษกรรมของข้าพเจ้าที่มีต่อประเทศชาติและประชาชนพลเมืองลาวเดี๋ยวนี้
ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้รักชาติ และเรือเพื่อผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนอีกแล้ว "ล้วนถูกพวกเขาต้ม" เมื่อพวกลูกหลานได้ยิน ได้ฟัง หรือได้อ่านคำเรียกร้องนี้แล้ว จงรีบหันเปลี่ยนแนวคิดจิตใจไปสู่ทิศทางใหม่ เพื่อปกปักรักษาประเทศชาติ และทรัพย์สมบัติของชาติ ของประชาชน สำคัญที่สุด คือ ชีวิตของความเป็นลาวไว้ให้มั่นคง
พี้น้องร่วมชาติที่เคารพทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกพี่น้องและลูกหลานที่อยู่ต่างประเทศเป็นผู้รักชาติอย่างแท้จริง พวกเจ้าเห็นการณ์ไกลและมีความรู้ ความฉลาดส่อง ความรักชาติของพวกเจ้านั้น มีมากมาย พวกเจ้าอย่าปล่อยให้ประเทศชาติตาย สำหรับพี่น้องลูกหลานที่อยู่ภายในประเทศ ต้องรีบปฏิรูปตัวเอง แล้วกอดรัดเข้ากันให้แน่น ก้าวเดินไปสู่ทิศทางใหม่ พิเศษสุดคือต้องเดินไปตามแนวคิดของพวกลูกหลานที่อยู่ต่างประเทศ ถ้าพวกเจ้าเข้าใจสภาพการบ้านเมืองดี และปฏิบัติตามคำเรียกร้องดังกล่าว พวกเจ้าต้องอยู่อย่างมั่นคงและมีเกียรติ
ก่อนข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิตได้ ขอฝาก ความเรียกร้องนี้ไว้ให้พี่น้องร่วมชาติทั้งหลายจงเอาใจใส่ สู้ชน ปฏิบัติ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ประเทศของพวกเรา จะต้องอยู่อย่างมั่นคง เป็นประเทศลาวต่อไป”
จากความขัดแย้งเล็กๆ ทำให้ประเทศลาวเปลี่ยนไปตลอดกาล ซึ่งมันจะสามารถเป็นอย่างไรต่อนั้น ขึ้นอยู่กับประชาชนลาวทั้งประเทศแล้ว เพราะทุกๆคนได้สิ้นชีวิตไปหมดแล้ว
ความขัดแย้งแห่งอาณาจักรหลวงพระบาง ที่นำไปซึ่งการเปลี่ยนแปลงลาวตลอดกาล
แผนผังวังหลวง-วังหน้าของหลวงพระบาง
จนกระทั่งเมื่อเจ้ามหาอุปราชบุญคงเสด็จสวรรคตในปี 1920 เจ้าเพชรราชพระราชโอรสองค์โตของพระองค์ได้ขึ้นเป็นมหาอุปราชาแห่งอาณาจักรหลวงพระบางซึ่งอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส เจ้าเพชรราชนี้ได้เสกสมรสกับพระราชเชษฐภคินีของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ซึ่งหลายๆคนมองว่านั้นเป็นการสานสัมพันธ์รอยร้าวของ 2 วังนี้ขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังห้ามไม่ได้กับเจ้าเพชรราช ผู้ซึ่งต้องการที่จะให้ประเทศลาวมีอำนาจเป็นของตัวเอง ดังนั้นปี 1945 เจ้าเพชรราชได้ทักท้วงเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ให้ทรงประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส แต่พระองค์ทรงเห็นว่าประเทศลาวยังไม่พร้อมที่จะประกาศเอกราชเนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่าง ทำให้เจ้าเพชรราชเดือดดาล สั่งการให้ประกาศปลดพระเจ้ามหาชีวิตและสถาปนาพระองค์เป็นผู้นำรัฐบาลลาวอิสระ และได้ปกครองประเทศเป็นเวลาสั้นๆก่อนที่จะถูกฝรั่งเศสยึดไปภายหลัง ซึ่งส่งผลให้พระองค์ต้องอพยพลงมาประเทศไทย ภายหลังเมื่อประเทศลาวสามารถประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสได้แล้วก็ได้ให้มีการประกาศจัดตั้งรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาวขึ้น ในระยะนั้นมีผู้นำในรัฐบาลอยู่ 2 คน คือเจ้าบุญอุ้มกับเจ้าสุวรรณภูมา และยังมี “เจ้านอกวัง” คือเจ้าสุภานุวงศ์ ซึ่งแตกต่างจาก 2 พระองค์เพราะพระองค์นิยมคอมมิวนิสต์เมื่อพระองค์ได้พบกับโฮจิมินห์
พระเจ้าสักรินทร์กับเจ้ามหาอุปราชบุญคง
เจ้าเพชรราช,เจ้าสุวรรณภูมา และเจ้าสุภานุวงศ์ (ยืนกางขาวางมือ) ที่กรุงเทพมหานคร
ทั้ง 3 พระองค์ต่างมีแนวคิดที่ค่อนข้างแปลกแยกออกไป นั้นคือ เจ้าบุญอุ้มมีความคิดที่จะอยากแยกจำปาศักดิ์ให้พระองค์ปกครองเอง เจ้าสุวรรณภูมาก็ต้องการปกครองลาวในฐานะนายกรัฐมนตรี เจ้าสุภานุวงศ์ต้องการอยากปกครองลาวในฐานะพระประมุข ดังนั้นในช่วงหลังประกาศเอกราชทำให้ทั้ง 3 ฝ่ายต่างใช้ทั้งสันติวิธีและยุทธวิธีเข้าห้ำหั่นกันเอง จนทำให้เจ้าเพชรราชทรงสิ้นพระชนม์จากความเครียดเพราะความแตกแยกในบ้านเมือง เวลาไล่เลี่ยกันนั้นเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ก็ทรงสิ้นพระชนม์และให้เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แทน
อย่างไรก็ตาม แนวคิด “เฮาเป็นลาว” อยู่ในหัวของทหารลาวแดง,ลาวขวา และลาวกลาง ทำให้การรบเป็นไปอย่างไม่ดุเดือด เวลาต่อมาทั้ง 3 ฝ่ายได้หยุดสู้รบกัน ส่งผลให้ร้อยเอกกองแลทำการปฏิวัติขึ้นแต่ล้มเหลวและถูกผลักไสให้ไปอยู่ต่างประเทศจนสิ้นชีวิต สหรัฐอเมริกาซึ่งต้องการหยุดยั้งการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงได้สนับสนุนทหารม้งและทหารอาสาไทยไปรบกับทหารลาวแดง และมีการผลัดกันแพ้ชนะแต่ไม่รู้ผลอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งเมื่อสหรัฐอเมริกายอมแพ้สงครามเวียดนาม จึงได้ยอมแพ้ถอนทหารกลับบ้านไป และขอให้เจ้าสุวรรณภูมา ทำการตกลงกับเจ้าสุภานุวงศ์ โดยไม่ได้ไตร่ตรองถึงภัยร้ายของประเทศลาวในวันนั้น
3 เจ้าลาว จับมือเซ็นสัญญาสงบศึก
เจ้าสุวรรณภูมาได้เซ็นสัญญาให้กลุ่มขบวนการปะเทดลาวเข้ามาอยู่ร่วมกับรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาว เป็นรัฐบาลผสมระหว่าง ซ้าย-กลาง-ขวา และยอมให้ทหารลาวแดงเข้ามาในกรุงเวียงจันทน์ได้ ในเวลาต่อมาลาวแดงใช้ยุทธวิธีเข้าคุมประชาชนและหน่วยงานต่างๆจนเริ่มเหลว โดยที่ลาวกลางไม่สนใจและลาวขวาไม่สามารถทำอะไรได้ เวลาต่อมาทั้งเจ้าสุวรรณภูมาและเจ้าสุภานุวงศ์ได้เชิญพระเจ้ามหาชีวิตให้เสด็จมากรุงเวียงจันทน์ และขอให้พระองค์สละราชสมบัติ โดยการบีบบังคับพระองค์ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ถือว่าเป็นการล้างแค้นของวังหน้าและเป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ลาว เมื่อเวลาต่อมาหลังการสถาปนา สปป.ลาวแล้ว ราชวงศ์หลวงพระบางเกือบทั้งหมดที่ยังอยู่ในลาวถูกส่งไปค่ายสัมมนาและสิ้นพระชนม์เป็นจำนวนมาก แต่กลายเป็นว่าเจ้าสุวรรณภูมาเหลือรอดมาได้ และเจ้าสุวรรณภูมาเมื่อได้เดินทางไปฝรั่งเศสในช่วงปี 1980s ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องราวในประเทศลาวโดยการใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้ามหาชีวิตเป็นอันมาก ทำให้มีทฤษฎีสมคบคิดกันว่าเจ้าสุวรรณภูมาอาจจะสมคบคิดกับเจ้าสุภานุวงศ์ เพื่อก่อการยึดอำนาจมาจากเจ้ามหาชีวิต ก็เป็นได้
เหตุใดจึงทำให้เกิดความเชื่อ “รอยร้าวของวังหลวง-วังหน้า” แห่งหลวงพระบาง เพราะมีหลายทฤษฎีที่บ่งบอกได้ว่า เจ้า 3 องค์ คือเจ้าเพชรราช,เจ้าสุวรรณภูมา และ เจ้าสุภานุวงศ์ มีแนวคิดที่จะโค่นล่มอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าเพชรราชทำไปเพราะความจำเป็น เนื่องจากเห็นว่าพระเจ้ามหาชีวิตคัดค้านจะทำให้การประกาศเอกราชของลาวเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่สุดท้ายรัฐบาลลาวอิสระก็ไม่สามารถบริหารประเทศให้รอดพ้นจากฝรั่งเศสไปได้ดีเท่าที่ควร ส่วนเจ้าสุวรรณภูมาก็ปล่อยให้เจ้าสุภานุวงศ์กับขบวนการปะเทดลาวเข้ามาในกรุงเวียงจันทน์โดยไม่คิดคำนึงถึงภัยร้ายใดๆ
สำหรับเจ้าสุภานุวงศ์ ถือว่าเป็นผู้มีแนวคิดโค่นล้มกษัตริย์อย่างชัดแจ้งและชัดเจน และร้ายแรงที่สุด เพราะเจ้าสุภานุวงศ์ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าขบวนการปะเทดลาวเพื่อสู้รบ “ปลดแอก” ตัวเองจากการเป็นข้าทาสของอเมริกาและฝรั่งเศส และเมื่อได้สถาปนา สปป.ลาว ก็ได้ยกตัวเองเป็นประธานประเทศและให้เจ้ามหาชีวิตเป็นที่ปรึกษาให้
เจ้าสุภานุวงศ์ ในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์
สุดท้ายแล้วเจ้าสุภานุวงศ์ได้สำนึกผิดตอนที่สายไป ด้วยความยโสโอหังละโมบในความเป็นราชาแบบที่คิดไปเอง ทำให้เกิดการสังหารฆ่าล้างราชวงศ์หลวงพระบางไป และเกิดการยึดครองลาวของเวียดนามไป ดังเนื้อความที่เคยตรัสไว้ก่อนทรงสิ้นพระชนม์ว่า
“เพราะข้าพเจ้า บูชาความสวยงามของแม่หญิง จึงกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดในชีวิต มาบัดนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้ว่า เป็นความผิดอย่างใหญ่หลวงในชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่คิดว่า พวกเวียดมินห์ จะมีพฤติกรรมโหดร้ายถึงขนาดนี้ ต่อประเทศชาติและประชาชนลาวของพวกข้าพเจ้า ในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าไปร่วมมือกับพวกเวียดมินห์ เพื่อทำการกู้ชาตินั้น ได้สัญญาว่า "เมื่อได้สงครามยุติลง คนเวียดนามก็ต้องกลับไปอยู่ประเทศเวียดนาม คนลาวก็ต้องกลับไปอยู่ประเทศลาว" ถึงว่า สัญญามิตรภาพ ลาว-เวียด เป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน ยังใช้ได้อยู่ก็ตาม ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า เมื่อได้พวกเขาจะเอาร่างกายของข้าพเจ้าไปจุดเผา แต่พฤติกรรมที่พวกเขากระทำต่อประเทศชาติของพวกข้าพเจ้านั้นลบไม่ลงไปกับการหยุดลมหายใจและการเผาศพของข้าพเจ้า
ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดออกมา มีแต่หนีมันไว้อยู่เบื้องหลังที่นั้น ดังนั้น ต่อหน้าสภาพการอันร้ายแรงของประเทศชาติบ้านเมืองลาวนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกร้องมายังพี่น้องร่วมชาติทั้งหญิงชาย ลูกหลานทุกชนชาติชนเผ่าและผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายที่สุขภาพเข้มแข็ง จึงมาร่วมจิตร่วมใจกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียว เพื่อชำระล้างโทษกรรมของข้าพเจ้าที่มีต่อประเทศชาติและประชาชนพลเมืองลาวเดี๋ยวนี้
ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้รักชาติ และเรือเพื่อผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนอีกแล้ว "ล้วนถูกพวกเขาต้ม" เมื่อพวกลูกหลานได้ยิน ได้ฟัง หรือได้อ่านคำเรียกร้องนี้แล้ว จงรีบหันเปลี่ยนแนวคิดจิตใจไปสู่ทิศทางใหม่ เพื่อปกปักรักษาประเทศชาติ และทรัพย์สมบัติของชาติ ของประชาชน สำคัญที่สุด คือ ชีวิตของความเป็นลาวไว้ให้มั่นคง
พี้น้องร่วมชาติที่เคารพทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกพี่น้องและลูกหลานที่อยู่ต่างประเทศเป็นผู้รักชาติอย่างแท้จริง พวกเจ้าเห็นการณ์ไกลและมีความรู้ ความฉลาดส่อง ความรักชาติของพวกเจ้านั้น มีมากมาย พวกเจ้าอย่าปล่อยให้ประเทศชาติตาย สำหรับพี่น้องลูกหลานที่อยู่ภายในประเทศ ต้องรีบปฏิรูปตัวเอง แล้วกอดรัดเข้ากันให้แน่น ก้าวเดินไปสู่ทิศทางใหม่ พิเศษสุดคือต้องเดินไปตามแนวคิดของพวกลูกหลานที่อยู่ต่างประเทศ ถ้าพวกเจ้าเข้าใจสภาพการบ้านเมืองดี และปฏิบัติตามคำเรียกร้องดังกล่าว พวกเจ้าต้องอยู่อย่างมั่นคงและมีเกียรติ
ก่อนข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิตได้ ขอฝาก ความเรียกร้องนี้ไว้ให้พี่น้องร่วมชาติทั้งหลายจงเอาใจใส่ สู้ชน ปฏิบัติ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ประเทศของพวกเรา จะต้องอยู่อย่างมั่นคง เป็นประเทศลาวต่อไป”
จากความขัดแย้งเล็กๆ ทำให้ประเทศลาวเปลี่ยนไปตลอดกาล ซึ่งมันจะสามารถเป็นอย่างไรต่อนั้น ขึ้นอยู่กับประชาชนลาวทั้งประเทศแล้ว เพราะทุกๆคนได้สิ้นชีวิตไปหมดแล้ว