ตามประวัติที่ระบุและกล่าวโดยวิกิพีเดียและเว็บส่วนใหญ่ ต่างกล่าววว่า คำไต สีพันดอน เป็นชาวแขวงจำปาสัก เกิดในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1924 เกิดในแขวงจำปาสัก แต่ข้อมูลอีกแห่งระบุไว้ว่าเป็นชาวเวียดนามแท้ๆ มีชื่อเวียดนามว่า เหงียนไตยาง บ้างก็ว่าเป็นชาวไทยอีสานเกิดที่ นาจะหลวย อุบลราชธานี แต่นี้เป็นเพียงแค่ข้อมูลการเกิดที่มีผู้กล่าวต่างกัน
ประวัติโดยย่อตามที่ระบุไว้ส่วนใหญ่กล่าวว่า คำไต สีพันดอน ได้เข้าร่วมกับขบวนการลาวอิสระซึ่งนำโดยเจ้าสุภานุวงศ์ในช่วงปี 1952 เวลานั้นกองกำลังลาวอิสระเป็นของเจ้าสุภานุวงศ์ ซึ่งแยกออกจากมาจากรัฐบาลลาวอิสระของเจ้าเพชรราช พระเชษฐาต่างพระมารดาของพระองค์ กองกำลังลาวอิสระมีกองกำลังส่วนใหญ่เป็นทั้งชาวลาวและเวียดนาม (ยืมมาจากเวียดมินห์) เวลานั้นถือว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวยุคอาณานิคมกับยุคเอกราชของลาว ซึ่งข้อมูลตามที่ระบุเป็นทางการได้บอกว่า คำไต สีพันดอน ได้เข้าร่วมกับกองกำลังลาวอิสระไปตลอดจนกลายมาเป็นกองกำลังขบวนการปะเทดลาวซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายที่มีสหภาพโซเวียดกับเวียดนามหนุนหลัง และเป็นสมาชิกผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากไกสอน พมวิหาน
คำไต สีพันดอน ขณะกำลังวางแผนการรบ ภาพจาก กรมฮูบเงา
อย่างไรก็ตามการเข้ามาเป็นทหารลาวแดงของคำไตยังมีเรื่องราวซับซ้อนมาก เนื่องจากมีการกล่าวว่า คำไตมีนิสัยขี้ลักขี้ขโมยมาตั้งแต่วัยเด็ก เคยขโมยเงินตอนที่ทำงานไปรษณีย์ที่เมืองปากเซสมัยหนุ่ม จนถูกตำรวจฝรั่งเศส (ตอนนั้นลาวอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศศ) ตามล่า จึงได้หนีเข้าไปร่วมกับลาวอิสระของเจ้าสุภานุวงศ์ บ้างก็ว่า คำไต สีพันดอน เคยเป็นทหารของพระราชอาณาจักรลาวก่อนที่โดนจับได้ว่าขโมยวิทยุแล้วถูกไล่ออกจากกองทัพจึงคับแค้นใจได้ไปอยู่กับขบวนการปะเทดลาว บ้างก็ว่า คำไต สีพันดอน เป็นชาวเวียดนามที่มาอยู่กับลาวอิสระโดยเคยเป็นทหารเวียดมินห์มาก่อน อย่างไรก็ตาม ทุกข้อมูลระบุตรงกันว่าคำไตได้มาเป็นทหารของเจ้าสุภานุวงศ์ก่อนช่วงปี 1960 แน่นอน ช่วงที่อยู่กับขบวนการปะเทดลาว คำไต สีพันดอน เป็นผู้วางแผนการรบและต่อสู้กับศัตรู และยังมีหน้าที่ "สังหาร" ผู้ที่เริ่มไม่เห็นต่างกับตัวเองในเวลานั้น เช่นว่ากันว่า คำไตร่วมมือกับไกสอน พมวิหาน สังหารอาริยะ สุภานุวงศ์ บุตรคนโตของเจ้าสุภานุวงศ์ตอนที่ขี่ม้าออกจากฐานที่มั่นปฏิวัติเก่า
ภายหลังการปฏิวัติลาว 2 ธันวาคม 1975 คำไต สีพันดอน เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ (กระทรวงกลาโหม) เวลานั้นเกิดทหารม้งก่อการกำเริบสู้รบกับลาวแดงอยู่ คำไตเห็นสู้ไม่ดีจึงได้ขอให้ไกสอน พมวิหาน เอาทหารเวียดนามเข้ามารบและเข่นฆ่าเป็นการสังหารเผ่าพันธุ์ม้งในเวลานั้นเอง ทั้ง 2 คนได้สั่งการลอบสังหารเดือน สุนนะลาด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงภายใน ที่ประเทศเยอรมันตะวันออก ที่สำคัญที่สุด ยังได้สั่งการจับกุมคุมขังเจ้ามหาชีวิตและพระญาติวงศ์ไปใช้แรงงานที่เวียงไซจนสิ้นพระชนม์ เหลือรอดมาได้ไม่กี่องค์
เมื่อไกสอน พมวิหาน ได้ขึ้นเป็นประธานประเทศ คำไต สีพันดอน จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากไกสอนและดำรงตำแหน่งประธานประเทศเมื่อหนูฮัก พูมสะหวัน ได้สละตำแหน่งประธานประเทศไป ช่วงเวลาที่คำไตได้ดำลงตำแหน่งทางการเมือง ว่ากันว่า คำไต สีพันดอนได้ยักยอกเงินหลวงจำนวนมาก จนกระทั่งมีรายงานว่าคำไต สีพันดอน เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศลาว (เงินจำนวนนั้นมีประมาณ 800-860 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ คาดเป็นเงินกีบประมาณ แสนล้านกีบ)
คำไต สีพันดอน ขณะกำลังหย่อนบัตรเลือกตั้งช่วงปี 2000
เวลาต่อมา คำไต สีพันดอน ได้สละตำแหน่งประธานประเทศและเลขาธิการพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเพื่อต้องการพักผ่อน และได้ให้ จูมมะลี ไซยะสอน รองประธานประเทศขึ้นเป็นประธานประเทศลาวและเลขาธิการพรรคประชาชนปฏิวัติลาวแทน แต่โดยพฤตินัย ถือว่ายังมีอำนาจอยู่เงียบๆ โดยที่สอนไซ สีพันดอน ซึ่งได้เป็นรองเจ้าแขวงจำปาสัก เจ้าแขวงจำปาสัก ไปจนถึงเป็นรัฐมนตรีประจำห้องว่าการนายกรัฐมนตรีแล้วในปัจจุบันและหลานสาวของคำไตนั้น ยังได้เป็นประธานองค์กรกวดการัฐบาล (องค์กรตรวจสอบรัฐบาล) อีกด้วย ทั้งยังมีความสัมพันธ์สนิทกับบริษัทกาแฟดาวเรืองด้วย
คำไต สีพันดอน ในวัย 90 กว่าๆ ยังสุขภาพแข็งแรงดีโดยไม่มีแม้กระทั่งการใช้ไม้พยุงตัวเองและแม้กระทั่งใส่แว่นเลย ทั้งยังสามารถยืนได้อย่างคนวัยหนุ่ม ดั่งที่ชาวลาวทั่วประเทศเคยเห็นจากโทรทัศน์ในวาระครบรอบ 60 ปี พรรคประชาชนปฏิวัติลาว
คำไต สีพันดอน ขณะร่วมงานเปิดโรงงานกาแฟดาวเรือง
ภาพล่าสุดของคำไต สีพันดอน ขณะร่วมงาน 60 ปี พรรคประชาชนปฏิวัติลาว
ชีวิตโหดหน้านิ่งของคำไต สีพันดอน
ตามประวัติที่ระบุและกล่าวโดยวิกิพีเดียและเว็บส่วนใหญ่ ต่างกล่าววว่า คำไต สีพันดอน เป็นชาวแขวงจำปาสัก เกิดในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1924 เกิดในแขวงจำปาสัก แต่ข้อมูลอีกแห่งระบุไว้ว่าเป็นชาวเวียดนามแท้ๆ มีชื่อเวียดนามว่า เหงียนไตยาง บ้างก็ว่าเป็นชาวไทยอีสานเกิดที่ นาจะหลวย อุบลราชธานี แต่นี้เป็นเพียงแค่ข้อมูลการเกิดที่มีผู้กล่าวต่างกัน
ประวัติโดยย่อตามที่ระบุไว้ส่วนใหญ่กล่าวว่า คำไต สีพันดอน ได้เข้าร่วมกับขบวนการลาวอิสระซึ่งนำโดยเจ้าสุภานุวงศ์ในช่วงปี 1952 เวลานั้นกองกำลังลาวอิสระเป็นของเจ้าสุภานุวงศ์ ซึ่งแยกออกจากมาจากรัฐบาลลาวอิสระของเจ้าเพชรราช พระเชษฐาต่างพระมารดาของพระองค์ กองกำลังลาวอิสระมีกองกำลังส่วนใหญ่เป็นทั้งชาวลาวและเวียดนาม (ยืมมาจากเวียดมินห์) เวลานั้นถือว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวยุคอาณานิคมกับยุคเอกราชของลาว ซึ่งข้อมูลตามที่ระบุเป็นทางการได้บอกว่า คำไต สีพันดอน ได้เข้าร่วมกับกองกำลังลาวอิสระไปตลอดจนกลายมาเป็นกองกำลังขบวนการปะเทดลาวซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายที่มีสหภาพโซเวียดกับเวียดนามหนุนหลัง และเป็นสมาชิกผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากไกสอน พมวิหาน
คำไต สีพันดอน ขณะกำลังวางแผนการรบ ภาพจาก กรมฮูบเงา
อย่างไรก็ตามการเข้ามาเป็นทหารลาวแดงของคำไตยังมีเรื่องราวซับซ้อนมาก เนื่องจากมีการกล่าวว่า คำไตมีนิสัยขี้ลักขี้ขโมยมาตั้งแต่วัยเด็ก เคยขโมยเงินตอนที่ทำงานไปรษณีย์ที่เมืองปากเซสมัยหนุ่ม จนถูกตำรวจฝรั่งเศส (ตอนนั้นลาวอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศศ) ตามล่า จึงได้หนีเข้าไปร่วมกับลาวอิสระของเจ้าสุภานุวงศ์ บ้างก็ว่า คำไต สีพันดอน เคยเป็นทหารของพระราชอาณาจักรลาวก่อนที่โดนจับได้ว่าขโมยวิทยุแล้วถูกไล่ออกจากกองทัพจึงคับแค้นใจได้ไปอยู่กับขบวนการปะเทดลาว บ้างก็ว่า คำไต สีพันดอน เป็นชาวเวียดนามที่มาอยู่กับลาวอิสระโดยเคยเป็นทหารเวียดมินห์มาก่อน อย่างไรก็ตาม ทุกข้อมูลระบุตรงกันว่าคำไตได้มาเป็นทหารของเจ้าสุภานุวงศ์ก่อนช่วงปี 1960 แน่นอน ช่วงที่อยู่กับขบวนการปะเทดลาว คำไต สีพันดอน เป็นผู้วางแผนการรบและต่อสู้กับศัตรู และยังมีหน้าที่ "สังหาร" ผู้ที่เริ่มไม่เห็นต่างกับตัวเองในเวลานั้น เช่นว่ากันว่า คำไตร่วมมือกับไกสอน พมวิหาน สังหารอาริยะ สุภานุวงศ์ บุตรคนโตของเจ้าสุภานุวงศ์ตอนที่ขี่ม้าออกจากฐานที่มั่นปฏิวัติเก่า
ภายหลังการปฏิวัติลาว 2 ธันวาคม 1975 คำไต สีพันดอน เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ (กระทรวงกลาโหม) เวลานั้นเกิดทหารม้งก่อการกำเริบสู้รบกับลาวแดงอยู่ คำไตเห็นสู้ไม่ดีจึงได้ขอให้ไกสอน พมวิหาน เอาทหารเวียดนามเข้ามารบและเข่นฆ่าเป็นการสังหารเผ่าพันธุ์ม้งในเวลานั้นเอง ทั้ง 2 คนได้สั่งการลอบสังหารเดือน สุนนะลาด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงภายใน ที่ประเทศเยอรมันตะวันออก ที่สำคัญที่สุด ยังได้สั่งการจับกุมคุมขังเจ้ามหาชีวิตและพระญาติวงศ์ไปใช้แรงงานที่เวียงไซจนสิ้นพระชนม์ เหลือรอดมาได้ไม่กี่องค์
เมื่อไกสอน พมวิหาน ได้ขึ้นเป็นประธานประเทศ คำไต สีพันดอน จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากไกสอนและดำรงตำแหน่งประธานประเทศเมื่อหนูฮัก พูมสะหวัน ได้สละตำแหน่งประธานประเทศไป ช่วงเวลาที่คำไตได้ดำลงตำแหน่งทางการเมือง ว่ากันว่า คำไต สีพันดอนได้ยักยอกเงินหลวงจำนวนมาก จนกระทั่งมีรายงานว่าคำไต สีพันดอน เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศลาว (เงินจำนวนนั้นมีประมาณ 800-860 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ คาดเป็นเงินกีบประมาณ แสนล้านกีบ)
คำไต สีพันดอน ขณะกำลังหย่อนบัตรเลือกตั้งช่วงปี 2000
เวลาต่อมา คำไต สีพันดอน ได้สละตำแหน่งประธานประเทศและเลขาธิการพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเพื่อต้องการพักผ่อน และได้ให้ จูมมะลี ไซยะสอน รองประธานประเทศขึ้นเป็นประธานประเทศลาวและเลขาธิการพรรคประชาชนปฏิวัติลาวแทน แต่โดยพฤตินัย ถือว่ายังมีอำนาจอยู่เงียบๆ โดยที่สอนไซ สีพันดอน ซึ่งได้เป็นรองเจ้าแขวงจำปาสัก เจ้าแขวงจำปาสัก ไปจนถึงเป็นรัฐมนตรีประจำห้องว่าการนายกรัฐมนตรีแล้วในปัจจุบันและหลานสาวของคำไตนั้น ยังได้เป็นประธานองค์กรกวดการัฐบาล (องค์กรตรวจสอบรัฐบาล) อีกด้วย ทั้งยังมีความสัมพันธ์สนิทกับบริษัทกาแฟดาวเรืองด้วย
คำไต สีพันดอน ในวัย 90 กว่าๆ ยังสุขภาพแข็งแรงดีโดยไม่มีแม้กระทั่งการใช้ไม้พยุงตัวเองและแม้กระทั่งใส่แว่นเลย ทั้งยังสามารถยืนได้อย่างคนวัยหนุ่ม ดั่งที่ชาวลาวทั่วประเทศเคยเห็นจากโทรทัศน์ในวาระครบรอบ 60 ปี พรรคประชาชนปฏิวัติลาว
คำไต สีพันดอน ขณะร่วมงานเปิดโรงงานกาแฟดาวเรือง
ภาพล่าสุดของคำไต สีพันดอน ขณะร่วมงาน 60 ปี พรรคประชาชนปฏิวัติลาว