[Spoiled Alert]
"I used to be someone who knew a lot. No one asks for my opinion or advice anymore."
- Still Alice (2014)
“สิ่งใดที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณและเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณไม่อยากเสียมันไป” คำถามสั้นๆแต่กลับใช้เวลาในการคิดหาคำตอบนานแสนนาน บางคนใช้เวลาค่อนชีวิตในการตอบคำถามนี้ บางคนพบคำตอบแล้วแต่ยังไม่แน่ใจในคำตอบของตนเองว่าคำตอบนั้นเป็นคำตอบสุดท้ายหรือไม่ บางคนพบคำตอบนี้ด้วยน้ำเสียงอันฉะฉาน ราวกับว่าคำตอบนี้คือคำตอบสุดท้าย และแน่นอนคำตอบที่ได้นั้นย่อมมีมากมายหลากหลาย แตกต่างกัน ต่างคน ต่างความคิด ก็ย่อมมีคำตอบอันหลากหลายผุดขึ้นมา เหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง สมเหตุสมผลบ้าง ประหลาดแหวกแนวบ้าง ก็ว่ากันไป เมื่อคุณถามคำถามนี้กับคู่รักที่เดินจูงมือกันในวันวาเลนไทน์ แน่นอนความรักอันหวานชื่นย่อมเป็นคำตอบที่คุณได้ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เมื่อคุณถามผู้ป่วยในโรงพยาบาล “สุขภาพที่สมบูรณ์”ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดูน่าเชื่อถือ กลับกันถ้าท่านเดินตรงเข้าไปถามเด็กหนุ่มจบใหม่ไฟแรง บ้างก็ตอบว่า “ความสำเร็จ” อีกส่วนคำตอบของพวกเขาก็อาจจะเป็น “ความฝัน” ใช่ครับ ความฝัน สิ่งที่เติบใหญ่มากับพร้อมกับเรา และโรยราไปพร้อมกับเราเมื่อเวลาเลยผ่าน คงจะมีน้อยคนนักที่ยังสามารถยืนยันการตอบคำถามนี้ด้วยคำว่า “ความฝัน” เมื่อถูกถามด้วยคำถามเดิมนี้ในอีสิบปีถัดมา เพราะบางส่วนก็ได้ทิ้งมันไปเรียบร้อยแล้ว อีกคำตอบหนึ่งที่หลายๆคนได้ให้ไว้และผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยก็คือ คำว่า “ลมหายใจ” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “การคงอยู่ของลมหายใจ นั่นก็คือการมีชีวิตอยู่นั่นเอง”
“คุณจะรักใครได้ยังไงหากคุณไม่มีชีวิต คุณจะใช้เงินหรือดื่มด่ำกับความสำเร็จความฝันของคุณได้อย่างไร หากคุณไม่มีลมหายใจ สิ่งที่คุณทำได้อย่างเดียวก็คงเป็นการนอนนิ่งๆ ในโลงแคบๆก็เท่านั้นเอง” นี่ล่ะครับ ความคิดของผม การมีชีวิตอยู่ก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้เราสามารถไขว่คว้าสิ่งสำคัญอื่นๆที่สำคัญรองๆมาได้ ได้มีโอกาสให้เราได้สัมผัสและชื่นชมสิ่งสำคัญนั้นๆ ได้มีโอกาสอยู่กับครอบครัว คนที่เรารัก ได้มีโอกาสใช้ชีวิตใช้เงิน ที่ลำบากหามา ได้มีโอกาสทำงานที่เรารักบวกกับได้เดินตามความฝัน และที่สำคัญคือทำความฝันให้เป็นความจริง เราสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อ เรายังมีลมหายใจอยู่ และด้วยเหตุผลนี้เอง อย่างอื่นก็คงไม่สำคัญเท่า
แต่เมื่อถึงวันหนึ่งคำตอบในหัวของผมก็กลับถูกทำให้หักเหไปอย่างสิ้นเชิง วันนั้นเป็นวันที่ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่องหนึ่งซึ่งตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะได้มีโอกาสดูในโรงภาพยนตร์เนื่องจากเวลาและสถานที่ในการทำงานไม่เอิ้ออำนวย และรอบที่ฉายเริ่มหดหายลงไปทุกที แต่จากกระแสของหนังเรื่องนี้ ทั้งจากคนที่ได้ไปดูมาแล้ว และนักวิจารณ์หนังตามสื่อออนไลน์หลายๆแหล่ง ต่างให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไปดูเถอะครับ” ไม่ใช่แค่กระแสของคนดูอย่างเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้ผมต้องนั่งรถตู้จากที่ทำงานต่างจังหวัดถ่อเข้ามาดู หนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ใจกลางเมือง สิ่งที่ดึงดูดผมเป็นอย่างมากก็คงเป็นการสวมบทบาทระดับชั้นครูซึ่งรับประกันโดยรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิง นั่นเอง ใช่แล้วครับ Still Alice หนังเรื่องนี้ได้เปลี่ยนความคิดของผม ให้เห็นว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคงไม่ใช่สิ่งอื่นสิ่งใด แต่เป็น “ความทรงจำ” นั่นเอง
Still Alice เป็นหนังที่ว่าด้วยการสูญเสียความทรงจำของ Alice Howland ด้วยโรคอัลไซม์เมอร์ชนิดหายากซึ่งน้อยคนนักที่จะเป็นในวัยสี่สิบกลายๆ และอัตราการสูญเสียความทรงจำของผู้ป่วยโรคนี้จะยิ่งทวีขึ้นหากมันเกิดขึ้นกับคนที่มีระดับสติปัญญาสูงอย่างอลิซ ซึ่งเดิมทีแล้วอลิซเป็นสาววัยกลางคน เธอมีชีวิตที่เพียบพร้อมไปซะทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของเธอที่แสนจะปกติ มีทะเลาะกันบ้างเป็นบางเวลา แต่พวกเขาก็ดูรักกันดี เธอมีหน้าที่การงานที่มันคงจากการเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยอันโด่งดัง เธอเป็นผู้เชียวชาญเรื่องระบบประสาทวิทยาการสื่อสาร และยิ่งไปกว่านั้น เธอรับหน้าที่เป็นวิทยากรตามประเทศต่างๆแทบจะทั่วโลก ซึ่งจะบอกได้ว่าเป็นผู้มีปัญญาระดับสูงคนหนึ่งก็ไม่น่าจะผิดอะไร ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ยังมีสิ่งหนึ่งที่เธอครอบครองอยู่และเป็นสิ่งของอันมีมูลค่ามหาศาลซึ่งก็คือ ความทรงจำนั่นเอง ซึ่งเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินผ่านไปเรื่อยๆ สมบัติชิ้นนี้ของเธอนั้นก็ค่อยๆถูกกลืนหายไปจากโรคร้ายที่เธอโชคร้ายได้รับมาจากเหตุผลทางพันธุกรรม โรคทางพันธุกรรมโชคชะตาอันโหดร้ายที่ถูกรับสืบทอดต่อๆกันมาทางสายเลือดของแม่ของอลิซเอง ซึ่งอลิซเองนั้นก็รับรู้ถึงความสำคัญของความทรงจำของเธอและรู้สึกเสียสูญมิใช่น้อยจากการที่จะสูญเสียสิ่งๆนั้นไป โดยคำพูดอันแสนจะ-ดันของเธอในตอนต้นเรื่องหลังจากที่หมอของเธอวินิจฉัยยืนยันถึงสิ่งที่เธอเผชิญ ที่มีนัยประมาณว่า ถ้าจะต้องเป็นแบบนี้ ขอเป็นมะเร็งแทนเสียดีกว่า สามารถอธิบายถึงนิยามความสำคัญของความทรงจำ ที่เธอได้กำหนดไว้ได้เป็นอย่างดี เมื่อสมองของเธอเริ่มดำดิ่งลงไป ตามอัตราเร่งการกระจายตัวของโรคที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
Still Alice ก็ได้แฝงความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า ‘ความทรงจำ’ เข้ามาในรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของอลิซที่ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย และทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ความลำบากต่างๆที่เธอและครอบครัวเผชิญต่างเป็นเพราะการสูญเสียความทรงจำทั้งสิ้น และ Still Alice เองก็สามารถถ่ายทอดความลำบากนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและสมจริง อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องกล่าวชมก็คงหนีไม่พ้น Julianne Moore กับการแสดงขั้นเทพของเธอ คุณอาจจะมีคำถามในหัวกันแล้วหลังจากอ่านบทความถึงตรงนี้ว่า “แล้วตกลงมันสำคัญยังไง ไอความทรงจำเนี่ย” ผมก็ขอกล่าวถึงมันเลยละกัน
คำนิยามของความทรงจำนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่ปรากฏในเนื้อเพลงเสมอไป ‘ความทรงจำของฉันและเธอ ความทรงจำตอนเจอกันครั้งแรก ความทรงจำตอนฉันบอกรักเธอครั้งแรก’ และไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เรานำมาใช้ในการเป็นหัวข้อพูดคุยกับเพื่อนเมื่อถึงงานเลี้ยงรวมรุ่น ความทรงจำนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปเหตุการณ์เสมอไปแต่ผมจะกล่าวรวมว่า ความทรงจำคือสภาวะการจดจำโดยทั่วไปของมนุษย์ สำคัญบ้าง ไม่สำคัญบ้าง ซึ่งทั้งหลายทั้งมวลต่างถูกบรรจุอยู่ภายในสมองของเราเพื่อรอเวลานำออกมาใช้งาน ซึ่งการใช้งานของความทรงจำนั้น ก็ตามที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นความทรงจำระยะยาว ของคนรัก ของครอบครัว ของเพื่อน แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น ถ้าสังเกตกันดีๆ เราดึงความทรงจำที่เราเก็บไว้ นำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอน ยัน เข้านอน ตั้งแต่เกิดจนตาย
<Still Alice> เราสร้างความทรงจำ ความทรงจำสร้างเรา
"I used to be someone who knew a lot. No one asks for my opinion or advice anymore."
- Still Alice (2014)
“สิ่งใดที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณและเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณไม่อยากเสียมันไป” คำถามสั้นๆแต่กลับใช้เวลาในการคิดหาคำตอบนานแสนนาน บางคนใช้เวลาค่อนชีวิตในการตอบคำถามนี้ บางคนพบคำตอบแล้วแต่ยังไม่แน่ใจในคำตอบของตนเองว่าคำตอบนั้นเป็นคำตอบสุดท้ายหรือไม่ บางคนพบคำตอบนี้ด้วยน้ำเสียงอันฉะฉาน ราวกับว่าคำตอบนี้คือคำตอบสุดท้าย และแน่นอนคำตอบที่ได้นั้นย่อมมีมากมายหลากหลาย แตกต่างกัน ต่างคน ต่างความคิด ก็ย่อมมีคำตอบอันหลากหลายผุดขึ้นมา เหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง สมเหตุสมผลบ้าง ประหลาดแหวกแนวบ้าง ก็ว่ากันไป เมื่อคุณถามคำถามนี้กับคู่รักที่เดินจูงมือกันในวันวาเลนไทน์ แน่นอนความรักอันหวานชื่นย่อมเป็นคำตอบที่คุณได้ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เมื่อคุณถามผู้ป่วยในโรงพยาบาล “สุขภาพที่สมบูรณ์”ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดูน่าเชื่อถือ กลับกันถ้าท่านเดินตรงเข้าไปถามเด็กหนุ่มจบใหม่ไฟแรง บ้างก็ตอบว่า “ความสำเร็จ” อีกส่วนคำตอบของพวกเขาก็อาจจะเป็น “ความฝัน” ใช่ครับ ความฝัน สิ่งที่เติบใหญ่มากับพร้อมกับเรา และโรยราไปพร้อมกับเราเมื่อเวลาเลยผ่าน คงจะมีน้อยคนนักที่ยังสามารถยืนยันการตอบคำถามนี้ด้วยคำว่า “ความฝัน” เมื่อถูกถามด้วยคำถามเดิมนี้ในอีสิบปีถัดมา เพราะบางส่วนก็ได้ทิ้งมันไปเรียบร้อยแล้ว อีกคำตอบหนึ่งที่หลายๆคนได้ให้ไว้และผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยก็คือ คำว่า “ลมหายใจ” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “การคงอยู่ของลมหายใจ นั่นก็คือการมีชีวิตอยู่นั่นเอง”
“คุณจะรักใครได้ยังไงหากคุณไม่มีชีวิต คุณจะใช้เงินหรือดื่มด่ำกับความสำเร็จความฝันของคุณได้อย่างไร หากคุณไม่มีลมหายใจ สิ่งที่คุณทำได้อย่างเดียวก็คงเป็นการนอนนิ่งๆ ในโลงแคบๆก็เท่านั้นเอง” นี่ล่ะครับ ความคิดของผม การมีชีวิตอยู่ก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้เราสามารถไขว่คว้าสิ่งสำคัญอื่นๆที่สำคัญรองๆมาได้ ได้มีโอกาสให้เราได้สัมผัสและชื่นชมสิ่งสำคัญนั้นๆ ได้มีโอกาสอยู่กับครอบครัว คนที่เรารัก ได้มีโอกาสใช้ชีวิตใช้เงิน ที่ลำบากหามา ได้มีโอกาสทำงานที่เรารักบวกกับได้เดินตามความฝัน และที่สำคัญคือทำความฝันให้เป็นความจริง เราสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อ เรายังมีลมหายใจอยู่ และด้วยเหตุผลนี้เอง อย่างอื่นก็คงไม่สำคัญเท่า
แต่เมื่อถึงวันหนึ่งคำตอบในหัวของผมก็กลับถูกทำให้หักเหไปอย่างสิ้นเชิง วันนั้นเป็นวันที่ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่องหนึ่งซึ่งตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะได้มีโอกาสดูในโรงภาพยนตร์เนื่องจากเวลาและสถานที่ในการทำงานไม่เอิ้ออำนวย และรอบที่ฉายเริ่มหดหายลงไปทุกที แต่จากกระแสของหนังเรื่องนี้ ทั้งจากคนที่ได้ไปดูมาแล้ว และนักวิจารณ์หนังตามสื่อออนไลน์หลายๆแหล่ง ต่างให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไปดูเถอะครับ” ไม่ใช่แค่กระแสของคนดูอย่างเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้ผมต้องนั่งรถตู้จากที่ทำงานต่างจังหวัดถ่อเข้ามาดู หนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ใจกลางเมือง สิ่งที่ดึงดูดผมเป็นอย่างมากก็คงเป็นการสวมบทบาทระดับชั้นครูซึ่งรับประกันโดยรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิง นั่นเอง ใช่แล้วครับ Still Alice หนังเรื่องนี้ได้เปลี่ยนความคิดของผม ให้เห็นว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคงไม่ใช่สิ่งอื่นสิ่งใด แต่เป็น “ความทรงจำ” นั่นเอง
Still Alice เป็นหนังที่ว่าด้วยการสูญเสียความทรงจำของ Alice Howland ด้วยโรคอัลไซม์เมอร์ชนิดหายากซึ่งน้อยคนนักที่จะเป็นในวัยสี่สิบกลายๆ และอัตราการสูญเสียความทรงจำของผู้ป่วยโรคนี้จะยิ่งทวีขึ้นหากมันเกิดขึ้นกับคนที่มีระดับสติปัญญาสูงอย่างอลิซ ซึ่งเดิมทีแล้วอลิซเป็นสาววัยกลางคน เธอมีชีวิตที่เพียบพร้อมไปซะทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของเธอที่แสนจะปกติ มีทะเลาะกันบ้างเป็นบางเวลา แต่พวกเขาก็ดูรักกันดี เธอมีหน้าที่การงานที่มันคงจากการเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยอันโด่งดัง เธอเป็นผู้เชียวชาญเรื่องระบบประสาทวิทยาการสื่อสาร และยิ่งไปกว่านั้น เธอรับหน้าที่เป็นวิทยากรตามประเทศต่างๆแทบจะทั่วโลก ซึ่งจะบอกได้ว่าเป็นผู้มีปัญญาระดับสูงคนหนึ่งก็ไม่น่าจะผิดอะไร ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ยังมีสิ่งหนึ่งที่เธอครอบครองอยู่และเป็นสิ่งของอันมีมูลค่ามหาศาลซึ่งก็คือ ความทรงจำนั่นเอง ซึ่งเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินผ่านไปเรื่อยๆ สมบัติชิ้นนี้ของเธอนั้นก็ค่อยๆถูกกลืนหายไปจากโรคร้ายที่เธอโชคร้ายได้รับมาจากเหตุผลทางพันธุกรรม โรคทางพันธุกรรมโชคชะตาอันโหดร้ายที่ถูกรับสืบทอดต่อๆกันมาทางสายเลือดของแม่ของอลิซเอง ซึ่งอลิซเองนั้นก็รับรู้ถึงความสำคัญของความทรงจำของเธอและรู้สึกเสียสูญมิใช่น้อยจากการที่จะสูญเสียสิ่งๆนั้นไป โดยคำพูดอันแสนจะ-ดันของเธอในตอนต้นเรื่องหลังจากที่หมอของเธอวินิจฉัยยืนยันถึงสิ่งที่เธอเผชิญ ที่มีนัยประมาณว่า ถ้าจะต้องเป็นแบบนี้ ขอเป็นมะเร็งแทนเสียดีกว่า สามารถอธิบายถึงนิยามความสำคัญของความทรงจำ ที่เธอได้กำหนดไว้ได้เป็นอย่างดี เมื่อสมองของเธอเริ่มดำดิ่งลงไป ตามอัตราเร่งการกระจายตัวของโรคที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
Still Alice ก็ได้แฝงความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า ‘ความทรงจำ’ เข้ามาในรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของอลิซที่ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย และทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ความลำบากต่างๆที่เธอและครอบครัวเผชิญต่างเป็นเพราะการสูญเสียความทรงจำทั้งสิ้น และ Still Alice เองก็สามารถถ่ายทอดความลำบากนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและสมจริง อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องกล่าวชมก็คงหนีไม่พ้น Julianne Moore กับการแสดงขั้นเทพของเธอ คุณอาจจะมีคำถามในหัวกันแล้วหลังจากอ่านบทความถึงตรงนี้ว่า “แล้วตกลงมันสำคัญยังไง ไอความทรงจำเนี่ย” ผมก็ขอกล่าวถึงมันเลยละกัน
คำนิยามของความทรงจำนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่ปรากฏในเนื้อเพลงเสมอไป ‘ความทรงจำของฉันและเธอ ความทรงจำตอนเจอกันครั้งแรก ความทรงจำตอนฉันบอกรักเธอครั้งแรก’ และไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เรานำมาใช้ในการเป็นหัวข้อพูดคุยกับเพื่อนเมื่อถึงงานเลี้ยงรวมรุ่น ความทรงจำนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปเหตุการณ์เสมอไปแต่ผมจะกล่าวรวมว่า ความทรงจำคือสภาวะการจดจำโดยทั่วไปของมนุษย์ สำคัญบ้าง ไม่สำคัญบ้าง ซึ่งทั้งหลายทั้งมวลต่างถูกบรรจุอยู่ภายในสมองของเราเพื่อรอเวลานำออกมาใช้งาน ซึ่งการใช้งานของความทรงจำนั้น ก็ตามที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นความทรงจำระยะยาว ของคนรัก ของครอบครัว ของเพื่อน แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น ถ้าสังเกตกันดีๆ เราดึงความทรงจำที่เราเก็บไว้ นำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอน ยัน เข้านอน ตั้งแต่เกิดจนตาย