พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่บกพร่องอะไร อย่าไปตัดไปทอน อย่าไปอวดเก่งยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ตัดนั้นออก ตัดนี้ออก ไม่มี






ข้อที่สาม ปญฺญา ปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ
จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ คือจิตนี้จะหลุดพ้นด้วยปัญญา
ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกจิตให้หลุดพ้น ท่านจึงว่า ปญฺญา ปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ
จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้วย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ
นี่ธรรม ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ก้าวเดินโดยลำดับ
สำหรับนิสัยผู้อยู่ในขั้นที่ควรจะพิจารณาโดยลำดับ



แต่ท่านผู้ที่เป็น ขิปปาภิญญา นั้นมีน้อยมาก คือศีล สมาธิ ปัญญานี้ไปพร้อม ๆ กัน เป็นผู้รวดเร็ว
อุคฆฏิตัญญู พวกนี้รวดเร็ว ไปเร็วๆ  แต่ก็ไม่เคยพ้นไปจากศีล สมาธิ ปัญญานี้ไปได้
อันนี้พร้อมแล้ว หนุนผึงไปได้เลย นี่เป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่จะเป็นขั้นเดียวตอนเดียว



ดังที่สมัยปัจจุบันนี้เรียนลัดกันก็มาก อาจารย์ก็อาจารย์เรียนลัด  ต่อไปนี้อาจารย์นี้จะไม่มีหัวติดตัว คอติดตัวนะ
เพราะมันเรียนลัดตัดคอออกเลย ยังเหลือแต่ท่อนตัวกับขากลิ้งไปเลยอย่างนี้แหละ อาจารย์อย่างนี้ก็จะมีในปัจจุบันนี้นะ
สอนแบบเรียนลัดๆ  ศีล สมาธิ ปัญญาไม่จำเป็น การบำเพ็ญไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญสมาธิ เดินปัญญาไปเลย


...............................................................................


นี่ศาสดาองค์เอกสอนไว้ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็พระพุทธเจ้าสอนไว้เอง อุคฆฏิตัญญู ผู้ที่ตรัสรู้เร็ว
ท่านก็ครบแบบแห่งการตรัสรู้เร็วของท่าน ผู้ที่จะตรัสรู้ในขั้นใดตอนใดของธรรม
ท่านสมบูรณ์ในธรรมขั้นนั้นตอนนั้นไปเหมือนกันหมด



ไม่ใช่อยู่ ๆ ตัดออกไปเลย แล้วขึ้นนิพพานผึงเลย ไม่เคยมีในพุทธศาสนาของเรา
อย่าพากันไปฟังนะแบบอุตรินั่น นี่แหละตัวที่มันมืดบอดที่สุด มันสอนโลกแบบง่ายที่สุดเลย
เรื่องการหลุดพ้นก็ไม่ต้องพิจารณา ไม่ต้องสมาธิ เดินปัญญาเลย ฟังซิ ผู้ที่ท่านปฏิบัติทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา
ท่านปฏิบัติอยู่เต็มหัวใจของท่าน ท่านผ่านมาทุกแง่ทุกมุม รู้ทุกแง่ทุกมุม



เราไม่ปฏิบัติ หลับตาคุย หลับตาโม้ หลอกโลกสงสารใครจะเชื่อถือได้ คนดีมีในโลกนี้ คนชั่วมี
คนฉลาดยังมี ผู้ที่ทรงอรรถทรงธรรมอย่างแท้จริงยังมี ผู้ทรงมรรคทรงผล
ตามทางของศาสดาอย่างแท้จริงยังมี เราอย่าด่วนคุยด่วนโม้ คำพูดเช่นนี้ไม่มีในหลักพุทธศาสนา
นอกจากเป็นข้าศึกอันใหญ่หลวงต่อพุทธศาสนา ต่อประชาชนผู้ได้ยินได้ฟังจากมหาภัยนี้เท่านั้น
พากันฟังให้ดีนะ ธรรมพระพุทธเจ้าสมบูรณ์ทุกตอน จะเป็นตอนเร็วก็พร้อมแล้วที่จะเร็วได้



ถ้ายังไม่พร้อมก็หนุนกันเข้ามา เป็นขั้น ๆ พร้อมแล้วไปด้วยกันได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าตรัสรู้เร็ว ตรัสรู้ช้า ต้องพร้อมแล้วถึงจะตรัสรู้ได้ อยู่ ๆ ก็ตรัสรู้ไปเลย เช่น ศีล สมาธิ ปัญญานี้
เรื่องสมาธิไม่จำเป็น เดินปัญญาเลย พร้อมไปด้วยปัญญาอย่างเดียวไม่เคยมีในหลักพุทธศาสนา
ศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมกัน เป็นแต่เพียงว่า รวมกันเร็วและช้าเท่านั้น ต้องมีในสิ่งเหล่านี้
รวมช้ารวมเร็วแต่ต้องรวม ต้องพร้อม ไม่พร้อมพ้นไม่ได้ นี่ให้พากันเข้าใจ



การปฏิบัติศาสนายกศาสดาองค์เอกขึ้นมาเป็นแบบเป็นฉบับ ไม่มีใครที่เป็นศาสดาองค์เอกได้ในโลกนี้
มีพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงตรัสรู้ได้เพียงพระองค์เดียว ไม่เคยมีสองมีสามเป็นคู่แข่งกัน
ถ้ามีก็จะเป็นสมัยปัจจุบันนี้ ที่ว่าศาสดาตาเดียว ศาสดาตาเอก ตาหนึ่งมันบอดแล้วยังเหลืออยู่ตาเดียว
ถ้าตานั้นบอดแล้วก็เป็นศาสดาตาบอด หลอกโลกสงสารไปเท่านั้น นอกจากนั้นไม่มี นี่พากันจำไว้
หลักของพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่บกพร่องอะไร
อย่าไปตัดไปทอน อย่าไปอวดเก่งยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ตัดนั้นออก ตัดนี้ออก ไม่มี
ศาสนาสมบูรณ์แบบมาเรียบร้อยแล้ว ไปตัดตรงไหนผิดทั้งนั้นแหละ จะไปเพิ่มตรงไหนอีกก็ผิด
จึงเรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบเรียบร้อยแล้ว ให้พากันดำเนินแล้วก้าวเดินตามนี้นะ



เรื่องในโลกนี้มันมีทั้งคนโง่คนฉลาด มีทั้งคนดี คนชั่ว ให้เราคัดเลือกด้วยดี
อย่าเชื่อสุ่มสี่สุ่มห้าจะเสียในตัวของเราเอง วันนี้ก็พูดเพียงย่อ ๆ เท่านี้ ให้ท่านทั้งหลายรู้วิธีปฏิบัติ
ยึดไปปฏิบัติก็แล้วกันนะ เอาละพอ ต่อไปนี้ให้พร



------------------------------


“ศีล สมาธิ ปัญญา”  - พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาสวนแสงธรรม เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [เช้า]
อ่านเนื้อหาเต็มได้จาก  http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1715&CatID=2




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่