เรื่อง "จา พนม" กับ "เสี่ยเจียง" นี่ผมคิดว่าเป็นการแก้แค้นที่วางแผนมายาวนาน
แรกเริ่ม "จาพนม" เป็นสตั๊นที่มีฝีมือ "พันนา" เห็นแววจึงฝึกสอนและคิดคิวบู๊ฉากแอคชั่นสุดเจ๋งกัน
พอถ่ายวีดีโอฝึกซ้อมเสร็จพันนาจึงไปเสนอ "เสี่ยเจียง" ซึ่งเสี่ยสนับสนุน เกิดเป็นองค์บากและโด่งดัง
จาพนมมีชื่อเสียงขึ้นคนรู้จักไปทั่วโลก เสี่ยเจียงได้กำไรจากองค์บากและหนังที่จาเล่น
เป็นความสัมพันธ์แบบต่างคนต่างได้ผลประโยชน์
อาชีพนักแสดงแอคชั่นก็เหมือนกับนักฟุตบอลเป็นอาชีพที่มีระยะเวลาสั้นเพียงแค่ไม่กี่ 10 ปี
นักฟุตบอลต้องรักษาร่างกายเอาไว้ให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อที่จะทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อแลกกับค่าตอบแทน
เพราะเมื่อร่างกายเสื่อมสภาพตามกาลเวลาพวกเขาก็จะไม่สามารถทำอาชีพนั้นได้ดีดังเดิม
"จาพนม" เพิ่งมาตระหนักในข้อนี้เมื่อไม่กี่ปีก่อนและได้เริ่มคิดถึงการไปเป็นนักแสดง Hollywood
ผมเชื่อว่านั่นย่อมเป็นสิ่งที่นักแสดงทุกคนใฝ่ฝัน ติดตรงที่ว่า "เสี่ยเจียง" อยากให้ไปเป็นเบอร์ 1
ไม่อยากให้คนเก่งอย่าง "จาพนม" ไปเป็นตัวประกอบหรือไปเป็นตัวโกง มีบทไม่เด่นได้ออกแค่ไม่กี่ฉาก
แต่อยากให้ไปเป็นพระเอก เป็นนักแสดงนำ ซึ่งจริงๆแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
"จาพนม" คงคิดถึงโอกาสที่จะได้ออกไปลุย Hollywoodและคงเสียดายโอกาสที่ "เสี่ยเจียง" ปฏิเสธไปทั้งหมด
(หนึ่งในนั้นที่น่าเสียดายที่สุดคือหนัง Rush Hour 3ที่เป็นบทตัวโกงของเรื่องที่ "เฉินหลง" ตั้งใจเชิญมาเล่น
ซึ่งเป็นบทที่เด่นขนาดที่เป็นแกนกลางของเรื่องราวในหนังเลย)
พอถึงเวลาสิ้นสุดสัญญา "จาพนม" เลยตั้งใจจะไม่ต่อสัญญาคงเพราะคิดว่า "ทัศนคติในการทำงาน" ต่างกันเสียแล้ว
ขณะที่ "เสี่ยเจียง" มองว่าการที่เสียเวลาเสียเงินทั้งหมดเพื่อสร้างหนังให้ "จาพนม" ป้อนผลงานให้ "จาพนม"
เป็นการให้ใจกัน เหมือนต้องการหวังให้เป็นหมายเลขหนึ่งคาดหวังว่าจะอยู่ทำผลงานด้วยกันตลอดไป
การไม่ยอมต่อสัญญาจึงเหมือนถูกขโมยผลไม้ที่สุกงอมไป แถมเป็นการขโมยที่ทำต่อหน้าต่อตา
การฟ้องในครั้งนี้ "จาพนม" ถูกบีบทั้งสองทาง
สถานการณ์นี้หากเลือกหนทางที่ไม่ยอมไปเจรจาก็จะถูกประชาชนรังเกียจและโกรธแค้นหมดอนาคต
แต่ถ้าหากเลือกที่จะฟ้องกลับข้อหาสัญญาไม่เป็นธรรมหนังก็จะถูกแบนยาวเนื่องจากเป็นข้อพิพาททางคดี
กว่าจะได้ดูหนังเรื่องนี้ก็คงจะออกเป็น DVD มาแล้ว
ทางเลือกของ "จาพนม" ในตอนนี้จึงมีทางเดียวนั่นคือต้องไปเจรจากับ "เสี่ยเจียง" เท่านั้นไม่มีทางอื่น
ซึ่งไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรในตอนนี้ภาพลักษณ์ของ "จาพนม" ก็เละเทะติดลบยิ่งกว่าเดิมแบบไม่มีชิ้นดีแล้ว
จากเหตุผลข้องบนผมเชื่อว่าครั้งนี้เป็นการวางแผนไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วที่จะฟ้อง "จาพนม"
ในฐานะคนไทยผมเสียดายนะที่ไม่ได้เห็นนักแสดงคนไทยไปแสดงในหนังใหญ่ของ Hollywood
แต่ในฐานะแฟนหนังชุดนี้ผมเสียดายมากกว่าที่ไม่ได้ดู พอล วอล์กเกอร์ ที่แสดงเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิต
เดินหมากครั้งเดียวปลิดชีพ "จา พนม"
แรกเริ่ม "จาพนม" เป็นสตั๊นที่มีฝีมือ "พันนา" เห็นแววจึงฝึกสอนและคิดคิวบู๊ฉากแอคชั่นสุดเจ๋งกัน
พอถ่ายวีดีโอฝึกซ้อมเสร็จพันนาจึงไปเสนอ "เสี่ยเจียง" ซึ่งเสี่ยสนับสนุน เกิดเป็นองค์บากและโด่งดัง
จาพนมมีชื่อเสียงขึ้นคนรู้จักไปทั่วโลก เสี่ยเจียงได้กำไรจากองค์บากและหนังที่จาเล่น
เป็นความสัมพันธ์แบบต่างคนต่างได้ผลประโยชน์
อาชีพนักแสดงแอคชั่นก็เหมือนกับนักฟุตบอลเป็นอาชีพที่มีระยะเวลาสั้นเพียงแค่ไม่กี่ 10 ปี
นักฟุตบอลต้องรักษาร่างกายเอาไว้ให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อที่จะทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อแลกกับค่าตอบแทน
เพราะเมื่อร่างกายเสื่อมสภาพตามกาลเวลาพวกเขาก็จะไม่สามารถทำอาชีพนั้นได้ดีดังเดิม
"จาพนม" เพิ่งมาตระหนักในข้อนี้เมื่อไม่กี่ปีก่อนและได้เริ่มคิดถึงการไปเป็นนักแสดง Hollywood
ผมเชื่อว่านั่นย่อมเป็นสิ่งที่นักแสดงทุกคนใฝ่ฝัน ติดตรงที่ว่า "เสี่ยเจียง" อยากให้ไปเป็นเบอร์ 1
ไม่อยากให้คนเก่งอย่าง "จาพนม" ไปเป็นตัวประกอบหรือไปเป็นตัวโกง มีบทไม่เด่นได้ออกแค่ไม่กี่ฉาก
แต่อยากให้ไปเป็นพระเอก เป็นนักแสดงนำ ซึ่งจริงๆแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
"จาพนม" คงคิดถึงโอกาสที่จะได้ออกไปลุย Hollywoodและคงเสียดายโอกาสที่ "เสี่ยเจียง" ปฏิเสธไปทั้งหมด
(หนึ่งในนั้นที่น่าเสียดายที่สุดคือหนัง Rush Hour 3ที่เป็นบทตัวโกงของเรื่องที่ "เฉินหลง" ตั้งใจเชิญมาเล่น
ซึ่งเป็นบทที่เด่นขนาดที่เป็นแกนกลางของเรื่องราวในหนังเลย)
พอถึงเวลาสิ้นสุดสัญญา "จาพนม" เลยตั้งใจจะไม่ต่อสัญญาคงเพราะคิดว่า "ทัศนคติในการทำงาน" ต่างกันเสียแล้ว
ขณะที่ "เสี่ยเจียง" มองว่าการที่เสียเวลาเสียเงินทั้งหมดเพื่อสร้างหนังให้ "จาพนม" ป้อนผลงานให้ "จาพนม"
เป็นการให้ใจกัน เหมือนต้องการหวังให้เป็นหมายเลขหนึ่งคาดหวังว่าจะอยู่ทำผลงานด้วยกันตลอดไป
การไม่ยอมต่อสัญญาจึงเหมือนถูกขโมยผลไม้ที่สุกงอมไป แถมเป็นการขโมยที่ทำต่อหน้าต่อตา
การฟ้องในครั้งนี้ "จาพนม" ถูกบีบทั้งสองทาง
สถานการณ์นี้หากเลือกหนทางที่ไม่ยอมไปเจรจาก็จะถูกประชาชนรังเกียจและโกรธแค้นหมดอนาคต
แต่ถ้าหากเลือกที่จะฟ้องกลับข้อหาสัญญาไม่เป็นธรรมหนังก็จะถูกแบนยาวเนื่องจากเป็นข้อพิพาททางคดี
กว่าจะได้ดูหนังเรื่องนี้ก็คงจะออกเป็น DVD มาแล้ว
ทางเลือกของ "จาพนม" ในตอนนี้จึงมีทางเดียวนั่นคือต้องไปเจรจากับ "เสี่ยเจียง" เท่านั้นไม่มีทางอื่น
ซึ่งไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรในตอนนี้ภาพลักษณ์ของ "จาพนม" ก็เละเทะติดลบยิ่งกว่าเดิมแบบไม่มีชิ้นดีแล้ว
จากเหตุผลข้องบนผมเชื่อว่าครั้งนี้เป็นการวางแผนไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วที่จะฟ้อง "จาพนม"
ในฐานะคนไทยผมเสียดายนะที่ไม่ได้เห็นนักแสดงคนไทยไปแสดงในหนังใหญ่ของ Hollywood
แต่ในฐานะแฟนหนังชุดนี้ผมเสียดายมากกว่าที่ไม่ได้ดู พอล วอล์กเกอร์ ที่แสดงเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิต