ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น มันไม่ได้โปรยปรายไปด้วยกลีบกุหลาบเหมือนในเทพนิยาย เรื่องของความรักก็เช่นเดียวกัน หลายต่อหลายคนได้พบเจอกับความสุข ความทุกข์ ความสมหวัง และ ความผิดหวังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ วันนี้ ตัวเราเองถือว่าได้เข้มแข็งพอที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและมองหันหลังกลับมาย้อนดูเรื่องราวที่ผ่านมาไว้เป็นอีกหนึ่งบทเรียนชีวิตที่ทำให้รู้ว่าความไม่รู้จักพอของผู้ชายมันนำไปสู่การสูญเสียของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างหาไม่ได้ เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงที่ได้เล่าผ่านมุมมองของจนกทค่ะ ขออนุญาตใช้นามสมมุติสำหรับทุกๆคนในนี้เพื่อความเป็นส่วนตัวของทุกๆฝ่ายนะคะ
ขอมอบเรื่องราวนี้เป็นบทเรียนให้กับทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่านไว้เป็นอุธาหรณ์ค่ะ
..
.
แด่พี่ๆทั้งสอง...ขอโทษที่เคยทำผิดไปโดยไม่รู้ตัวและขอขอบคุณที่ทำให้ตาสว่างไปด้วยกัน...”ทั้งสามคน”
..
.
- ย้อนกลับไปเมื่อค่ายรับน้องปี 2554 -
นับว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่แสนสนุกของการเป็นน้องปีหนึ่งก็ว่าได้ มีแต่เสียงหัวเราะ และ มุขฮาๆของพี่ๆหลายต่อหลายคน (ขอไม่เอ่ยชื่อสถาบันที่เคยเรียนนะคะ) เราจำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลาตกดึก พี่ๆปีสามได้จัดซุ้มการบายสีสู่ขวัญน้องๆ โดยทีน้องๆต้องเดินปิดตาและนั่งลงตรงหน้าพี่ปีสามคนใดคนหนึ่ง
“เอ้า เปิดตาได้!” เราได้เอามือแกะผ้าปิดตาออกแล้วก็ได้สบตากับพี่ผู้ชายปีสาม เอ๊ะ...พี่คนนี้เขาเป็นMCในงานรับน้องนี้หนิ! “เป็นไง ตกใจหรอเห็นหน้าพี่?” พี่คนนั้นกล่าวแล้วยิ้มออกมา เราได้แต่หัวเราะและส่ายหน้า “ตกใจอะไร โห พี่ออกจะเซเลปขนาดนี้” พี่ผู้ชานคนนั้นยิ้มและดึงแขนเราไปผูกข้อมือ “พี่ชื่อรุจนะ อยากจะให้น้องมีแต่ความสุข สนุกเฮฮากับเพื่อนๆในคณะ จำไว้นะเวลามันผ่านไปเร็วมาก เผลอๆน้องรู้ตัวอีกทีน้องก็คงมานั่งผูกมือรุ่นน้องเหมือนที่พี่ทำอยู่นี้แหละ แต่ก็นะ ขอให้มีแต่สิ่งดีดีเข้ามา แล้วก็ถ้ามีอะไรน้องเรียกพี่ได้เสมอนะ” เรายกมือไหว้ขอบคุณพี่รุจแล้วก็เดินไปหาคนอื่นต่อ...
เช้าวันอาทิตย์เป็นวันสุดท้ายของค่ายรับน้อง นับว่าเป็นความสนุกที่ยากที่จะลืมลง เรายืนคุยเล่นกับเพื่อนๆแล้วก็บังเอิญเห็นพี่รุจเดินผ่านมาพอดี
“อ้าวหวัดดีค่ะพี่รุจ”
“นี้ พี่ยังไม่รู้ชื่อเราเลยได้แมะ”
“แหม บอกแล้วป๊อปอย่างพี่รุจคงจำชื่อน้องๆปีหนึ่งไม่ได้หรอก”
“เดี๊ยะๆ อย่ามากวน”
“ชื่อนินค่ะ”
“อ่า น้องนิน พี่ขอเฟสบุ๊คหน่อยดิจะได้แอ๊ดเป็นเพื่อน”
“ได้ค่ะพี่”
พี่รุจยื่นไอโฟนมาให้เรา และเราก็พิมพ์ชื่อเราลงไป “เออพี่ต้องรีบไปเคลียเรื่องที่พัก ไว้คุยกันนะนิน”
ต้องขอชี้แจงอีกเรื่องว่า ณ ตอนนั้นจขกทกำลังจะเลิกกับแฟนที่คบกันสมัยเรียนมาประมาณสองปี ตอนนั้นเป็นช่วงที่แย่ที่สุดแล้วเพราะเรากับเขาเรียนกันคนละที่เลยทำให้ทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา เราก็ทะเลาะกับเขาระหว่างนั่งรถกลับกรุงเทพเพราะเขาอยากจะให้เราไปเจอเขาที่คอนโดในวันนั้นแต่เราทั้งเหนื่อยและเหมือนจะไม่สบาย ฟ้าเริ่มมืดตัวเราเองก็พลอยจะหลับบนรถ แต่แล้วก็เห็นเฟสบุ๊ค notification จากพี่รุจ เราก็กดรับเป็นเพื่อน ไม่ทันไรเขาก็ทักมาทันที
“เร็วจริงนะน้อง” เราก็อมยิ้มแล้วก็ตอบไป
“แหม พี่ก็ใช่ย่อย!!! นี้แอ๊ดรุ่นน้องทุกคนเลยปะ?”
“แน่นอน ระดับไหนแล้วละ?”
“เหอะ ไม่แปลกใจเลย”
“บ้าหรอ พี่ล้อเล่น! แอ้ดนินคนแรกเลยนะ”
คุยกับพี่รุจไปมาจนกระทั่งถึงบ้าน ด้วยความที่เหนื่อยสุดจะทนเราก็ขอตัวไปนอน หลังจากนั้นอาทิตย์นึงได้เราก็ได้เลิกกับแฟนคนนั้นเพราะเราสองคนไปกันไม่ได้จริงๆ เขาทั้งโกรธทั้งเสียใจหาว่าเราไม่เห็นคุณค่าของสองปีที่เราทั้งสองคบกันมา แต่ตัวเราเองมันสุดแสนจะทนที่ต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ส่งเสริมให้เราได้ดีไปในทางไหนเลยทั้งสิ้น เขาไม่เคยไว้ใจเรา ตลอดเวลาที่เราสองคนคบกัน เราไม่เหลือเพื่อนผู้ชายแม้แต่คนเดียวเพราะทุกคนต่างเกรงใจและกลัวว่าเราจะมีปากเสียงกับแฟนคนนั้น เอาเป็นว่าง่ายๆค่ะ เลิกกันไปและก็ตัดขาดกันไป
เราเจอพี่รุจที่คณะบ่อยครั้ง จนหลายต่อหลายคนเริ่มสังเกตุว่าเรากับพี่รุจสนิทกันมาก เวลาใครแซวเราว่าพี่รุจจีบเราหรอ เราก็จะรีบตอบว่าไม่ใช่ เพราะใจจริงเราก็ยังไม่รู้จักอะไรเขาดี แต่เรายอมรับได้ว่าเรามีความรู้สึกดีดีกับเขา เพราะเขาเป็นคนตลกที่จะคอยหาเรื่องแกล้งเราตลอดเวลา
คืนวันหนึ่ง คณะเรามีการจัดงานปาร์ตี้รับน้องอีกรอบที่ร้านเหล้าแถวๆมหาลัย พี่รุจก็มากับเพื่อนในงานนี้เหมือนกัน เขากับเราก็คุยกันมาตลอดใน whatsapp เพราะตอนนั้นเราใช้ Blackberry และพี่รุจใช้ไอโฟน ตอนนั้นเราก็กำลังเมาได้ที่และยืนต่อแถวเข้าห้องน้ำจนเพื่อนพี่รุจคนนึงเดินมาหา
“เห้ย ไหวปะเนี้ยน้องนิน?”
“อ้าวพี่ หวัดดีค่ะ! ไหวเด้ แค่นี้เอ๊งงงง ~”
“ (หัวเราะ) นี้ๆ อย่าเมาให้มากนะ...มีคนแถวนี้เขาเป็นห่วง”
รุ่นพี่คนนั้นยิ้มแล้วเดินจากไป ทันใดนั้นพี่รุจก็เดินมาตีแขนเรา
“ดู ดู ขี้เมาจริง!”
“บ้าหรอไม่ได้เมา”
“หรา เอาให้แน่นะ...นิน พรุ่งนี้ว่างป่าว?”
“หื้ม? ตอนไหนหรอพี่รุจ?”
“ตอนกลางวันอะ”
“ว่างนะ”
“เอ้อ งั้นไปกินข้าวกันที่เซ็นทรัลลาดพร้าวมั้ย?”
… เราหน้าแดงก่ำ ทั้งเขินทั้งตกใจ ไม่คิดว่าพี่รุจจะมาชวนไปกินข้าวด้วย
“เอ้า! ไม่ตอบอีก เอ้อ ไม่ไปก็ได้!”
“เห้ยยยยย ไปดิพี่รุจๆ”
“(หัวเราะ) เอ้อ ค่อยว่าง่ายหน่อย! พี่กลับไปนั่งกับพวกเพื่อนก่อนนะ”
หลังจากคืนนั้น เรากับพี่รุจก็สนิทกันมากขึ้น เราสองคนชอบหยอกล้อกันตามประสาคนนิสัยเหมือนๆกัน เรายอมรับว่าช่วงเวลานั้นเรามีความสุขมาก แม้ว่าพี่รุจจะไม่เคยให้อะไรเราแต่ความสุขที่ได้จากพี่รุจมันมีค่าเกินกว่าอะไรทั้งสิ้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง...เพื่อนสนิทพี่รุจโทรมาหาเรา
“นิน ว่างอยู่มั้ย?”
“ว่างค่ะพี่แป้ง มีอะไรหรอคะ?”
“นิน พี่อยากจะโทรมาเตือนนินเรื่องรุจมันน่ะ”
“...หืม? พี่แป้งหมายความว่าอะไรหรอ?”
“คือพี่รู้ว่านินกับมันสนิทกันมาก แต่พี่อยากจะเตือนนินด้วยความที่พี่หวังดีกับนินนะ...รุจอะ มันไม่ได้คุยกับแค่นินคนเดียว”
“…”
“นินฟังพี่นะ รุจอ่ะมันเป็นคนที่คารมดีและมุมมองของมันไม่ค่อยเหมือนคนอื่นทั่วๆไป ในสายตามัน มันคิดว่าการที่มันทำให้ผู้หญิงคนนี้คือธรรมดาแต่สิ่งที่ผู้หญิงได้รับมันคนละอย่าง ผู้หญิงคิดว่าเราเป็นคนพิเศษของเขา แต่สำหรับรุจพี่ถามมันทีไรมันก็บอกเปล่า ไม่ได้คิดอะไร สนิทกับน้องคนนั้นคนนี้เฉยๆ พี่เตือนมันหลายรอบแล้วนินว่าอย่าทำตัวแบบนี้เพราะอีกฝ่ายเขาอาจจะไม่ได้คิดเหมือนกับที่มันคิด แต่มันก็ไม่ฟังพี่”
“จริงหรือพี่แป้ง...” เราน้ำตาคลอไปกับสิ่งที่ได้ยิน
“จริงนิน คือพี่เห็นมันแบบนี้แล้วพี่ทนไม่ได้ มันไปเที่ยวกับนิน กลับมาหอ นอนคุยโทรสัพท์กับน้องเดีย แถมยังติดต่อกับแฟนเก่าเขาอีกตอนนี้”
“พี่แป้ง...นินไม่รู้จะทำยังไงอะ”
“พี่ถามมันเมื่อวานว่านี้มันชอบน้องนินหรอ มันก็ตอบมานิ่งๆว่า'เปล่า สนิทกันพี่น้องเฉยๆ’
“พี่แป้ง..."
"พี่เข้าใจนะ พี่ว่าทางที่ดีที่สุด นินควรพูดตรงๆกับรุจเลยว่าตกลงนี้มันอะไรยังไง เพราะพี่ทนไม่ได้กับการกระทำเดิมๆของมัน”
“ขอบคุณมากนะคะพี่แป้ง”
“ไม่เป็นไรจ่ะนิน มีอะไรโทรหาพี่ได้นะ”
หลังจากเราวางสายพี่แป้ง เรารู้สึกตัวเย็นชาไปหมด...พี่รุจเนี้ยนะจะทำแบบนี้? ไม่สิ มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง เขาให้เวลาเราเต็มที่ตลอด เวลาตกดึกเราก็โทรคุยกันทุกวัน...แล้วเขาจะเอาเวลาตอนไหน...ไปคุยกับคนอื่นกัน
ไม่ใช่แค่คนเดียว...หรือสองคน...อาจจะมีคนถึง"สามคน"ที่ตาสว่างในเวลาเดียวกัน
ขอมอบเรื่องราวนี้เป็นบทเรียนให้กับทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่านไว้เป็นอุธาหรณ์ค่ะ
..
.
แด่พี่ๆทั้งสอง...ขอโทษที่เคยทำผิดไปโดยไม่รู้ตัวและขอขอบคุณที่ทำให้ตาสว่างไปด้วยกัน...”ทั้งสามคน”
..
.
- ย้อนกลับไปเมื่อค่ายรับน้องปี 2554 -
นับว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่แสนสนุกของการเป็นน้องปีหนึ่งก็ว่าได้ มีแต่เสียงหัวเราะ และ มุขฮาๆของพี่ๆหลายต่อหลายคน (ขอไม่เอ่ยชื่อสถาบันที่เคยเรียนนะคะ) เราจำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลาตกดึก พี่ๆปีสามได้จัดซุ้มการบายสีสู่ขวัญน้องๆ โดยทีน้องๆต้องเดินปิดตาและนั่งลงตรงหน้าพี่ปีสามคนใดคนหนึ่ง
“เอ้า เปิดตาได้!” เราได้เอามือแกะผ้าปิดตาออกแล้วก็ได้สบตากับพี่ผู้ชายปีสาม เอ๊ะ...พี่คนนี้เขาเป็นMCในงานรับน้องนี้หนิ! “เป็นไง ตกใจหรอเห็นหน้าพี่?” พี่คนนั้นกล่าวแล้วยิ้มออกมา เราได้แต่หัวเราะและส่ายหน้า “ตกใจอะไร โห พี่ออกจะเซเลปขนาดนี้” พี่ผู้ชานคนนั้นยิ้มและดึงแขนเราไปผูกข้อมือ “พี่ชื่อรุจนะ อยากจะให้น้องมีแต่ความสุข สนุกเฮฮากับเพื่อนๆในคณะ จำไว้นะเวลามันผ่านไปเร็วมาก เผลอๆน้องรู้ตัวอีกทีน้องก็คงมานั่งผูกมือรุ่นน้องเหมือนที่พี่ทำอยู่นี้แหละ แต่ก็นะ ขอให้มีแต่สิ่งดีดีเข้ามา แล้วก็ถ้ามีอะไรน้องเรียกพี่ได้เสมอนะ” เรายกมือไหว้ขอบคุณพี่รุจแล้วก็เดินไปหาคนอื่นต่อ...
เช้าวันอาทิตย์เป็นวันสุดท้ายของค่ายรับน้อง นับว่าเป็นความสนุกที่ยากที่จะลืมลง เรายืนคุยเล่นกับเพื่อนๆแล้วก็บังเอิญเห็นพี่รุจเดินผ่านมาพอดี
“อ้าวหวัดดีค่ะพี่รุจ”
“นี้ พี่ยังไม่รู้ชื่อเราเลยได้แมะ”
“แหม บอกแล้วป๊อปอย่างพี่รุจคงจำชื่อน้องๆปีหนึ่งไม่ได้หรอก”
“เดี๊ยะๆ อย่ามากวน”
“ชื่อนินค่ะ”
“อ่า น้องนิน พี่ขอเฟสบุ๊คหน่อยดิจะได้แอ๊ดเป็นเพื่อน”
“ได้ค่ะพี่”
พี่รุจยื่นไอโฟนมาให้เรา และเราก็พิมพ์ชื่อเราลงไป “เออพี่ต้องรีบไปเคลียเรื่องที่พัก ไว้คุยกันนะนิน”
ต้องขอชี้แจงอีกเรื่องว่า ณ ตอนนั้นจขกทกำลังจะเลิกกับแฟนที่คบกันสมัยเรียนมาประมาณสองปี ตอนนั้นเป็นช่วงที่แย่ที่สุดแล้วเพราะเรากับเขาเรียนกันคนละที่เลยทำให้ทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา เราก็ทะเลาะกับเขาระหว่างนั่งรถกลับกรุงเทพเพราะเขาอยากจะให้เราไปเจอเขาที่คอนโดในวันนั้นแต่เราทั้งเหนื่อยและเหมือนจะไม่สบาย ฟ้าเริ่มมืดตัวเราเองก็พลอยจะหลับบนรถ แต่แล้วก็เห็นเฟสบุ๊ค notification จากพี่รุจ เราก็กดรับเป็นเพื่อน ไม่ทันไรเขาก็ทักมาทันที
“เร็วจริงนะน้อง” เราก็อมยิ้มแล้วก็ตอบไป
“แหม พี่ก็ใช่ย่อย!!! นี้แอ๊ดรุ่นน้องทุกคนเลยปะ?”
“แน่นอน ระดับไหนแล้วละ?”
“เหอะ ไม่แปลกใจเลย”
“บ้าหรอ พี่ล้อเล่น! แอ้ดนินคนแรกเลยนะ”
คุยกับพี่รุจไปมาจนกระทั่งถึงบ้าน ด้วยความที่เหนื่อยสุดจะทนเราก็ขอตัวไปนอน หลังจากนั้นอาทิตย์นึงได้เราก็ได้เลิกกับแฟนคนนั้นเพราะเราสองคนไปกันไม่ได้จริงๆ เขาทั้งโกรธทั้งเสียใจหาว่าเราไม่เห็นคุณค่าของสองปีที่เราทั้งสองคบกันมา แต่ตัวเราเองมันสุดแสนจะทนที่ต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ส่งเสริมให้เราได้ดีไปในทางไหนเลยทั้งสิ้น เขาไม่เคยไว้ใจเรา ตลอดเวลาที่เราสองคนคบกัน เราไม่เหลือเพื่อนผู้ชายแม้แต่คนเดียวเพราะทุกคนต่างเกรงใจและกลัวว่าเราจะมีปากเสียงกับแฟนคนนั้น เอาเป็นว่าง่ายๆค่ะ เลิกกันไปและก็ตัดขาดกันไป
เราเจอพี่รุจที่คณะบ่อยครั้ง จนหลายต่อหลายคนเริ่มสังเกตุว่าเรากับพี่รุจสนิทกันมาก เวลาใครแซวเราว่าพี่รุจจีบเราหรอ เราก็จะรีบตอบว่าไม่ใช่ เพราะใจจริงเราก็ยังไม่รู้จักอะไรเขาดี แต่เรายอมรับได้ว่าเรามีความรู้สึกดีดีกับเขา เพราะเขาเป็นคนตลกที่จะคอยหาเรื่องแกล้งเราตลอดเวลา
คืนวันหนึ่ง คณะเรามีการจัดงานปาร์ตี้รับน้องอีกรอบที่ร้านเหล้าแถวๆมหาลัย พี่รุจก็มากับเพื่อนในงานนี้เหมือนกัน เขากับเราก็คุยกันมาตลอดใน whatsapp เพราะตอนนั้นเราใช้ Blackberry และพี่รุจใช้ไอโฟน ตอนนั้นเราก็กำลังเมาได้ที่และยืนต่อแถวเข้าห้องน้ำจนเพื่อนพี่รุจคนนึงเดินมาหา
“เห้ย ไหวปะเนี้ยน้องนิน?”
“อ้าวพี่ หวัดดีค่ะ! ไหวเด้ แค่นี้เอ๊งงงง ~”
“ (หัวเราะ) นี้ๆ อย่าเมาให้มากนะ...มีคนแถวนี้เขาเป็นห่วง”
รุ่นพี่คนนั้นยิ้มแล้วเดินจากไป ทันใดนั้นพี่รุจก็เดินมาตีแขนเรา
“ดู ดู ขี้เมาจริง!”
“บ้าหรอไม่ได้เมา”
“หรา เอาให้แน่นะ...นิน พรุ่งนี้ว่างป่าว?”
“หื้ม? ตอนไหนหรอพี่รุจ?”
“ตอนกลางวันอะ”
“ว่างนะ”
“เอ้อ งั้นไปกินข้าวกันที่เซ็นทรัลลาดพร้าวมั้ย?”
… เราหน้าแดงก่ำ ทั้งเขินทั้งตกใจ ไม่คิดว่าพี่รุจจะมาชวนไปกินข้าวด้วย
“เอ้า! ไม่ตอบอีก เอ้อ ไม่ไปก็ได้!”
“เห้ยยยยย ไปดิพี่รุจๆ”
“(หัวเราะ) เอ้อ ค่อยว่าง่ายหน่อย! พี่กลับไปนั่งกับพวกเพื่อนก่อนนะ”
หลังจากคืนนั้น เรากับพี่รุจก็สนิทกันมากขึ้น เราสองคนชอบหยอกล้อกันตามประสาคนนิสัยเหมือนๆกัน เรายอมรับว่าช่วงเวลานั้นเรามีความสุขมาก แม้ว่าพี่รุจจะไม่เคยให้อะไรเราแต่ความสุขที่ได้จากพี่รุจมันมีค่าเกินกว่าอะไรทั้งสิ้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง...เพื่อนสนิทพี่รุจโทรมาหาเรา
“นิน ว่างอยู่มั้ย?”
“ว่างค่ะพี่แป้ง มีอะไรหรอคะ?”
“นิน พี่อยากจะโทรมาเตือนนินเรื่องรุจมันน่ะ”
“...หืม? พี่แป้งหมายความว่าอะไรหรอ?”
“คือพี่รู้ว่านินกับมันสนิทกันมาก แต่พี่อยากจะเตือนนินด้วยความที่พี่หวังดีกับนินนะ...รุจอะ มันไม่ได้คุยกับแค่นินคนเดียว”
“…”
“นินฟังพี่นะ รุจอ่ะมันเป็นคนที่คารมดีและมุมมองของมันไม่ค่อยเหมือนคนอื่นทั่วๆไป ในสายตามัน มันคิดว่าการที่มันทำให้ผู้หญิงคนนี้คือธรรมดาแต่สิ่งที่ผู้หญิงได้รับมันคนละอย่าง ผู้หญิงคิดว่าเราเป็นคนพิเศษของเขา แต่สำหรับรุจพี่ถามมันทีไรมันก็บอกเปล่า ไม่ได้คิดอะไร สนิทกับน้องคนนั้นคนนี้เฉยๆ พี่เตือนมันหลายรอบแล้วนินว่าอย่าทำตัวแบบนี้เพราะอีกฝ่ายเขาอาจจะไม่ได้คิดเหมือนกับที่มันคิด แต่มันก็ไม่ฟังพี่”
“จริงหรือพี่แป้ง...” เราน้ำตาคลอไปกับสิ่งที่ได้ยิน
“จริงนิน คือพี่เห็นมันแบบนี้แล้วพี่ทนไม่ได้ มันไปเที่ยวกับนิน กลับมาหอ นอนคุยโทรสัพท์กับน้องเดีย แถมยังติดต่อกับแฟนเก่าเขาอีกตอนนี้”
“พี่แป้ง...นินไม่รู้จะทำยังไงอะ”
“พี่ถามมันเมื่อวานว่านี้มันชอบน้องนินหรอ มันก็ตอบมานิ่งๆว่า'เปล่า สนิทกันพี่น้องเฉยๆ’
“พี่แป้ง..."
"พี่เข้าใจนะ พี่ว่าทางที่ดีที่สุด นินควรพูดตรงๆกับรุจเลยว่าตกลงนี้มันอะไรยังไง เพราะพี่ทนไม่ได้กับการกระทำเดิมๆของมัน”
“ขอบคุณมากนะคะพี่แป้ง”
“ไม่เป็นไรจ่ะนิน มีอะไรโทรหาพี่ได้นะ”
หลังจากเราวางสายพี่แป้ง เรารู้สึกตัวเย็นชาไปหมด...พี่รุจเนี้ยนะจะทำแบบนี้? ไม่สิ มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง เขาให้เวลาเราเต็มที่ตลอด เวลาตกดึกเราก็โทรคุยกันทุกวัน...แล้วเขาจะเอาเวลาตอนไหน...ไปคุยกับคนอื่นกัน