สวัสดีเพื่อนๆทุกคนนะคะ เราเคยโพสกระทู้นี้ไปเมื่อปลานเดือนมกราแต่ไม่รู้ยังไงกระทู้หายไปเฉย! ยังดีที่saveเรื่องเอาไว้ไม่งั้นวุ่นวายเลย เราได้เข้าไปในเฟสบุ๊คและอ่านเรื่องราวของจขกทคนนึงที่ได้เล่าเรื่องราวสุดแสนน่ารักของเธอกับแฟนหนุ่มฝรั่ง เราเห็นดังนั้นจึงได้เกิดไอเดียอยากจะแชร์เรื่องราวส่วนตัวของเราที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีที่แล้วให้เพื่อนๆได้อ่านกันค่ะ เพราะเราเชื่อว่าช่วงชีวิตที่คนเราท้อถึงขีดต่ำสุด มักจะนำพาให้เราได้ไปพบเจอกับอะไรที่แสนวิเศษในเวลาอันไม่ช้า ความรักในมุมมองของเรามันไม่ใช่อะไรที่ซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย แต่คนเรานี้แหละที่ตีค่าความรักให้วุ่นวาย ผู้หญิงมักจะตั้งความคาดหวังไว้สูงเกินความเป็นจริง จึงนำพาไปสู่ความผิดหวังในสุดท้าย ส่วนผู้ชายเมื่อได้อะไรมาง่ายๆก็จะไม่ค่อยมองถึงคุณค่าของเธอคนนั้นอีกต่อไป เราเชื่อเสมอว่าหากเราทำดี เราย่อมจะได้พบเจอกับสิ่งที่ดีและที่สำคัญ บุคคลที่ดีที่จะคอยโอบอุ้มเราไปในทางที่ดีค่ะ
หากกระทู้นี้มีความผิดพลาดอะไร จขกท ขอขอโทษมา ณ ที่นี้นะคะ
**********************************************
(ทุกๆอย่างในเรื่องเป็นเรื่องจริงค่ะแต่ขออนุญาตใช้นามสมมุติสำหรับทุกๆคนในที่นี้นะคะ)
*ย้อนเวลากลับไปเมื่อเดือนต้นสิงหาคม 2557*
นับว่าเป็นอีกหนึ่งวันแห่งความสุขที่เราได้ใช้กับครอบครัวจริงๆ อีกสองอาทิตย์ก่อนที่จะต้องกลับอเมริกา คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจพาเรามาเที่ยวหัวหิน ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม เราเพิ่งกลับมาจาก cicada กับคุณแม่ ได้ซื้อของน่ารักๆสมใจ ว่าแล้วก็กระโดดล้มตัวลงที่นอน พร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาเล่น และที่สำคัญ เรารอ"พี่รุจ"ให้ตื่น เหตุที่ต้องรอเพราะเรากับพี่รุจในตอนนั้นอยู่กันคนละที่ ตัวเราอยู่ประเทศไทยแต่เขาต้องทำงานอยู่ที่ New York City ไม่ถึงสิบนาที เราก็ได้ LINE messageจากพี่รุจ "ตื่นแล้วน้า"
พี่รุจกับเราไม่ได้เป็นแฟนกันเพราะเหตุอันใดเราก็ไม่เคยได้รู้จากใจ เรารอแล้วรออีกแต่เขาก็ไม่เคยขอเราเป็นแฟน ใช่ เขาทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนพิเศษของเขาแต่จริงๆแล้วอะไรเป็นยังไงเราก็ไม่สามารถอ่านใจเขาได้ขนาดนั้น เขาเป็นผู้ชายที่ตลกมีเสน่ห์มาก วาจาหวาน ผู้หญิงหลายต่อหลายคนถึงได้ชอบมายุ่งกับเขา บางทีเราก็ตั้งคำถามมากมายว่าถ้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพี่รุจมันคือความสุขที่แท้จริงไหม? ความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถตีความหมายออกมาได้ว่าตกลงเราเป็นอะไรกันแบบนี้ เราจะทนแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนกัน? แต่ด้วยความที่ผูกพันกับพี่รุจ คุยกันมาจะเกือบสี่ปีแล้ว ก็เลยทำให้ตัวเราเองค่อนข้างสับสนอยู่เหมือนกัน เข้าเรื่องกันนะคะ
เราก็ตอบไลน์กลับไปให้เขา คุยกันไปประมาณสิบนาทีพี่รุจก็เขียนมา (อันนี้คือบทพูดคุยของจริงในไลน์ค่ะ)
พี่รุจ: "เออนิน (ตัวจขกท) สรุปเดียได้มาเรียนนิวยอร์คเฉยเลย"
"เดีย" อายุโตกว่าเราปีนึงแต่อ่อนกว่าพี่รุจปีนึง เขาเป็นผู้หญิงที่ชอบพี่รุจมาตลอดเวลาที่พี่รุจคุยกับเรา เรากับเขาเคยทะเลาะกันและตัดขาดกันไปเมื่อตอนเรามาอเมริกาแรกๆ เพราะเราไม่เคยรับรู้ว่าพี่รุจคุยกับผู้หญิงอีกสองคนในเวลาเดียวกันที่อยู่กับเรา ถึงแม้ว่าตอนจะกลับมาคุยกับพี่รุจใหม่ อะไรๆจะดีขึ้น แต่เราก็แอบเห็นไลน์จากเดียเขียนมาหาพี่รุจอยู่ทุกวัน ตัวเราเองก็ไม่ค่อยสบายใจอยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ยังไงๆก็ยังคงชอบพี่รุจอยู่แน่ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากกับพี่รุจเรื่องนี้
พอได้อ่านข้อความนั้นเข้า เรารู้สึกชาไปหมด...ความรู้สึกมันบอกไม่ถูกแต่รู้สึก...เสียใจ
เรา: "อ๋อ...ดีจัง"
พี่รุจ: "ต้องดูแลเขาอีก"
เรา: "เขาบินเมื่อไหร่"
พี่รุจ: "ตอนแรกจะบินปลายๆ แต่ไปแอลเอเลยไปเจอที่นู้น พี่ปันไม่ว่างไปรับ"
เรา: "เขาจะไปเจอที่ที่นู้น?"
พี่รุจ: "อื้อ"
เรา: "แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน ในนิวยอร์คอะ"
พี่รุจ: "มาอยู่บ้านเค้าเนี้ย เพราะยังหาบ้านไม่ได้"
เรากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ล้มตัวลงร้องไห้ทันที เราไม่เข้าใจ สับสนไปหมด ว่านี้พี่รุจทำแบบนี้กับเราอีกแล้วหรอ ทำไมเราถึงโง่ยอมเชื่อว่าเราสามารถจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ ท้ายที่สุดเขาก็กลับเป็นเหมือนเดิม ถ้าเขาไม่ให้ความหวังจริง ผู้หญิงที่ไหนมันจะยอมถึงขึ้นตามมาหาถึงที่อเมริกา? นับตั้งแต่วินาทีนั้น เราตั้งสติแล้วพูดกับตัวเองว่าพอกันที เราจะเป็นฝ่ายเดินออกจากชีวิตพี่รุจ เราไม่มีทางทนคุยกับผู้ชายที่คุยกับผู้หญิงคนอื่นไปทั่วแบบนี้ พวกเพื่อนเราก็พูดว่าพอได้แล้ว ผู้ชายทำแบบนี้มันแย่ยิ่งกว่าแย่ เราทุ่มให้เขาทุกอย่างแต่สิ่งที่ได้กลับมามันคือความไม่ชัดเจน หลังจากวันนั้น พี่รุจก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังเขียนไลน์มาหาทุกวันเหมือนเดิม แต่ตัวเรากลับตอบอย่างเย็นชา แต่พี่รุจก็ไม่ได้เอะใจอะไรเลยทั้งสิ้น
จนกระทั่งอาทิตย์นึงก่อนกลับอเมริกา เราตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องพูดกับพี่รุจให้รู้เรื่องในเรื่องนี้ เราตัดสินใจเริ่มเขียนไปหาพี่รุจในไลน์ว่าคิดว่าเราโอเคหรอกับการที่พี่เดียจะย้ายมาอยู่ด้วยแบบนี้? แล้วสรุปสิ่งที่เราเป็นอยู่มันคืออะไรกัน?
พี่รุจ: "สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้ เค้าก็ทำตัวเองเหมือนเคย เค้ารู้สึกว่าอะไรรู้ปะ"
เรา: "ว่า?"
พี่รุจ: "เค้ารู้สึกว่า นินไม่ได้เข้าใจเค้าลึกๆจริงๆหรอก เราแค่แฮปปี้กันมากพอที่จะทำให้นินโอเคกับ "non-commitment"นี้ แต่พอนินไม่แฮปปี้เท่าที่ควร นินก็ไม่อยากทำแล้ว ซึ่งนินไม่ผิดนะ ใครๆก็คงเป็นแบบนี้กันหมด ใครจะทนได้ละ จริงปะ"
อื้อหือ ตอนอ่านนี้แทบเขวี้ยงมือถือทิ้งค่ะ รู้สึกโกรธและรังเกียจผู้ชายคนนี้อย่างไม่รู้จะว่าอะไรอีกแล้ว
เรา: "มันไม่ได้เกี่ยวกับแฮปปี้หรือไม่แฮปปี้ เพราะถ้าเป็น actual relationship มันก็ต้องมีขึ้นกับลงอยู่แล้ว แต่อันนี้มันไม่ใช่"
พี่รุจ: "แต่เค้าคิดว่านินจะไม่เหมือนคนอื่น"
เรา: "มันก็ยากนะจะให้เป็นแบบที่พี่รุจต้องการไปตลอด"
พี่รุจ: "งั้นทีหลัง ก็ไม่ควรพูดให้เค้าสบายใจ"
เรา: "ยิ่งโตขึ้นเค้าก็ต้องคิดบ้างดิ ว่าสิ่งที่เค้าให้กับพี่รุจ มันคือความจริงใจและเวลาที่ให้ไป พี่รุจ...คือพี่รุจต้องการแบบนี้ไปตลอดใช่ปะ กับความสัมพันธ์ที่พี่รุจจะมีกับใคร มันจะหยุดที่การเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ชัดเจนแบบนี้หรอ"
พี่รุจ: "แต่เค้าไม่ได้ต้องการแบบนี้กับทุกคนหนิ สักวันเป็นไงก็ไม่รู้ นินก็ต้องเห็นนะว่าเค้าก็ต้องเสียสละ เค้าไม่ได้ได้ประโยชน์จากคนอื่น เค้าก็ไม่ได้มีความสุขอยู่ข้างเดียวปะ ไม่ได้หวังผลประโยชน์จากความสนิทนี้ปะ"
คำว่าเห็นแก่ตัว มันยังน้อยไปสำหรับพี่รุจ เราไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่เขาเขียนกลับมา มันทั้งเจ็บใจมันทั้งผิดหวังสะสมปนกันไปปนกันมา หลังจากวันนั้น พี่รุจก็ยังเขียนไลน์มาหาเราตลอด เหมือนสิ่งที่คุยกันมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราได้แต่รอนับวันไปอเมริกาเพราะเราอยากจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งที่นั้น เราอยากจะทิ้งความซวยทั้งหมดที่มีกับพี่รุจเอาไว้ที่เมืองไทยแห่งนี้
** ปลายเดือนสิงหาคม 2557 **
เราได้มีโอกาสไปนิวยอร์คกับเพื่อนๆเพราะมีconcertใหญ่ เลยถือโอกาสได้เจอกับพี่รุจและเคลียกันที่ร้านอาหาร เราสองคนถกเถียงกันไปกันมาพักใหญ่ จนท้ายที่สุด น้ำตาได้หลั่งออกมาจากเรา มันไม่ใช่เสียใจ แต่มันคือความผิดหวังที่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้ เรามองหน้าผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่เราไว้ใจ ผู้ชายที่เราทุ่มเททุกสิ่งให้ แต่สิ่งที่เขาต้องการมันคือคนละทางกับเรา เราบอกลาเขาโดยดีและพูดกับตัวเองว่ากลับเมืองเรา (เราอยู่เมืองห่างจากนิวยอร์ค 5 ชั่วโมง) เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่และเลิกหมกมุ่นกับเรื่องของพี่รุจซักที เราก็ขอให้พี่รุจโชคดีกับพี่เดีย (นางได้ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันกับพี่รุจเป็นที่เรียบร้อย)
เรากลับถึงบ้านที่อยู่กับเพื่อนๆอีกสามคนในวันอาทิตย์ เพื่อนสนิทเราที่เป็นคนฝรั่งวิ่งเข้ามากอดเราและพูดคุยกันถึงวันหยุดที่ผ่านมาของเรา เราเล่าเรื่องว่าเราไปเคลียกับพี่รุจแล้ว และเราจะไม่ย้อนกลับไปหาเขา เพื่อนเรามีท่าทีเป็นห่วงเพราะรู้ว่าเราผูกพันกับเขามานาน แต่เราก็พูดให้เขาสบายใจว่าเราตัดสินใจแล้วจริงๆ เพื่อนเราก็พลอยดีใจไปกับเราที่สามารถตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแบบนี้ได้ คุยกันไปกันมา เพื่อนเราก็ถามว่าเราได้เจอเพื่อนบ้าน บ้านข้างๆนี้รึยัง? (เราเพิ่งย้ายเข้าบ้านใหม่ในหมู่บ้านนี้ค่ะ) เราก็มองไปที่หน้าต่างของบ้านหลังข้างๆแล้วส่ายหัว เพื่อนสาวเราก็กรี๊ดกร๊าดว่าเนี้ย เพื่อนบ้านเราเป็นคนอิตาเลี่ยน! หล่อทั้งนั้น! เราก็หัวเราะแล้วก็ตอบไปว่า "เอาเลย! อิตาเลี่ยนไม่ใช่สเป็คฉันอยู่แล้ว!" เพื่อนเราก็หัวเราะและเล่าต่อเกี่ยวกับเพื่อนบ้านสุดหล่อทั้งสี่ของเรา จนกระทั่งเขาพูดชื่อผู้ชายคนนึงนาม "ไทเลอร์"
"นิน เธอต้องเจอไทเลอร์ เขาเป็นผู้ชายที่หล่อ แถมยังตลกด้วยนะ มีเสน่ห์มาก!"
เราก็หัวเราะกับเพื่อนเรา และก็คุยกันเรื่องอื่น เพราะโดยส่วนตัวไม่ใช่เป็นคนกร๊ดกร๊าดอะไรกับผู้ชายมากมาย
วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก รู้ตัวอีกทีก็วันศุกร์แล้ว! อาทิตย์แรกของการเปิดเทอมผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรให้ต้องหนักใจ เราไม่ได้เขียนอะไรหาพี่รุจอีก มีแต่เขาที่ทักเรามาในไลน์ทุกวัน ทำเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
เราเป็นคนชอบออกกำลังกายสม่ำเสมอ บ่ายวันนั้นเราก็ตัดสินใจไปลองใช้ยิมของ clubhouse ในหมู่บ้านของเราค่ะ โอ้โห ห้องใหญ่มากๆ แบ่งเป็นสองโซนหลักคือห้อง cardio และห้อง weight
เราเดินผ่านห้องcardioและเห็นผู้ชายสองคนกำลังวิ่งอยู่ เราดันไปสบตากับผู้ชายคนนึงเข้าเลยรีบหลบตาค่ะ ตามภาษาผู้หญิงไทย
เราเดินเข้าไปในห้องweightและได้เล่นเวท ยกแบบพอให้กล้ามเนื้อกระชับค่ะ เราเดินไปที่เครื่องออกกำลังกายที่เอาไว้บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยที่ต้องเอาขายืดตรงขาวและพยายามยกขาทั้งสองขึ้นค่ะ ระหว่างนั้นเอง สายตาเราก็ไปชนกับผู้ชายคนนั้นที่เราเห็นเมื่อกี้! ครั้งนี้เรามองเขาดีดี เขาก็ยิ้มหวานให้เรา เราก็รีบก้มหน้าเหมือนเคยเพราะ 1. เราไม่เคยยุ่งกับผู้ชายในห้องยิม 2. เรามโนไปเลยว่าฝรั่งหน้าหม้อ แต่เขากลับเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โอ๊ย ทำยังไงดีละทีนี้! เราเลยดึงหูฟังออกข้างนึงแล้วพูดห้วนๆ "มีอะไรคะ?" เขากลับยิ้มหวานใส่ เรามองดีดีก็เกิดเขินขึ้นมา พ่อหนุ่มฝรั่งคนนี้หน้าตาดีใช่เล่น จมูกโด่ง ตาสีฟ้าใส ผมสีน้ำตาสวย แถมเขามีรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าทีเราเคยเห็น "อ๋อ เปล่าหรอก เห็นว่าวันนี้อากาศดีมาก เธอไม่อยากไปว่ายน้ำหรอ?" ด้วยความมึนงง เราคิดในใจว่านี้เป็นประโยคจีบผู้หญิงที่แปลกที่สุดเท่าที่เราเคยได้ยินมา "ไม่อะ ไม่ได้อยากว่ายน้ำ" และเพราะไม่รู้ว่าเหตุอันใด เรายื่นมาออกไปเพื่อจะจับมือเขาตามวัฒนธรรมฝรั่งในการทักทาย "เราชื่อนินนะ" เขาทำท่าตกใจเล็กน้อยและจับมือเรา เขายิ้มพร้อมกับพูดว่า "เราชื่อไทเลอร์"
เราตาสว่าง มันรู้สึกเหมือนจำอะไรบางอย่างได้ เอ๊ะ คนคนนี้ใช้คนเดียวกันกับที่เพื่อนเราบอกหรอ!
** "รัก" ข้ามขอบฟ้า **
หากกระทู้นี้มีความผิดพลาดอะไร จขกท ขอขอโทษมา ณ ที่นี้นะคะ
**********************************************
(ทุกๆอย่างในเรื่องเป็นเรื่องจริงค่ะแต่ขออนุญาตใช้นามสมมุติสำหรับทุกๆคนในที่นี้นะคะ)
*ย้อนเวลากลับไปเมื่อเดือนต้นสิงหาคม 2557*
นับว่าเป็นอีกหนึ่งวันแห่งความสุขที่เราได้ใช้กับครอบครัวจริงๆ อีกสองอาทิตย์ก่อนที่จะต้องกลับอเมริกา คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจพาเรามาเที่ยวหัวหิน ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม เราเพิ่งกลับมาจาก cicada กับคุณแม่ ได้ซื้อของน่ารักๆสมใจ ว่าแล้วก็กระโดดล้มตัวลงที่นอน พร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาเล่น และที่สำคัญ เรารอ"พี่รุจ"ให้ตื่น เหตุที่ต้องรอเพราะเรากับพี่รุจในตอนนั้นอยู่กันคนละที่ ตัวเราอยู่ประเทศไทยแต่เขาต้องทำงานอยู่ที่ New York City ไม่ถึงสิบนาที เราก็ได้ LINE messageจากพี่รุจ "ตื่นแล้วน้า"
พี่รุจกับเราไม่ได้เป็นแฟนกันเพราะเหตุอันใดเราก็ไม่เคยได้รู้จากใจ เรารอแล้วรออีกแต่เขาก็ไม่เคยขอเราเป็นแฟน ใช่ เขาทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนพิเศษของเขาแต่จริงๆแล้วอะไรเป็นยังไงเราก็ไม่สามารถอ่านใจเขาได้ขนาดนั้น เขาเป็นผู้ชายที่ตลกมีเสน่ห์มาก วาจาหวาน ผู้หญิงหลายต่อหลายคนถึงได้ชอบมายุ่งกับเขา บางทีเราก็ตั้งคำถามมากมายว่าถ้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพี่รุจมันคือความสุขที่แท้จริงไหม? ความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถตีความหมายออกมาได้ว่าตกลงเราเป็นอะไรกันแบบนี้ เราจะทนแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนกัน? แต่ด้วยความที่ผูกพันกับพี่รุจ คุยกันมาจะเกือบสี่ปีแล้ว ก็เลยทำให้ตัวเราเองค่อนข้างสับสนอยู่เหมือนกัน เข้าเรื่องกันนะคะ
เราก็ตอบไลน์กลับไปให้เขา คุยกันไปประมาณสิบนาทีพี่รุจก็เขียนมา (อันนี้คือบทพูดคุยของจริงในไลน์ค่ะ)
พี่รุจ: "เออนิน (ตัวจขกท) สรุปเดียได้มาเรียนนิวยอร์คเฉยเลย"
"เดีย" อายุโตกว่าเราปีนึงแต่อ่อนกว่าพี่รุจปีนึง เขาเป็นผู้หญิงที่ชอบพี่รุจมาตลอดเวลาที่พี่รุจคุยกับเรา เรากับเขาเคยทะเลาะกันและตัดขาดกันไปเมื่อตอนเรามาอเมริกาแรกๆ เพราะเราไม่เคยรับรู้ว่าพี่รุจคุยกับผู้หญิงอีกสองคนในเวลาเดียวกันที่อยู่กับเรา ถึงแม้ว่าตอนจะกลับมาคุยกับพี่รุจใหม่ อะไรๆจะดีขึ้น แต่เราก็แอบเห็นไลน์จากเดียเขียนมาหาพี่รุจอยู่ทุกวัน ตัวเราเองก็ไม่ค่อยสบายใจอยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ยังไงๆก็ยังคงชอบพี่รุจอยู่แน่ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากกับพี่รุจเรื่องนี้
พอได้อ่านข้อความนั้นเข้า เรารู้สึกชาไปหมด...ความรู้สึกมันบอกไม่ถูกแต่รู้สึก...เสียใจ
เรา: "อ๋อ...ดีจัง"
พี่รุจ: "ต้องดูแลเขาอีก"
เรา: "เขาบินเมื่อไหร่"
พี่รุจ: "ตอนแรกจะบินปลายๆ แต่ไปแอลเอเลยไปเจอที่นู้น พี่ปันไม่ว่างไปรับ"
เรา: "เขาจะไปเจอที่ที่นู้น?"
พี่รุจ: "อื้อ"
เรา: "แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน ในนิวยอร์คอะ"
พี่รุจ: "มาอยู่บ้านเค้าเนี้ย เพราะยังหาบ้านไม่ได้"
เรากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ล้มตัวลงร้องไห้ทันที เราไม่เข้าใจ สับสนไปหมด ว่านี้พี่รุจทำแบบนี้กับเราอีกแล้วหรอ ทำไมเราถึงโง่ยอมเชื่อว่าเราสามารถจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ ท้ายที่สุดเขาก็กลับเป็นเหมือนเดิม ถ้าเขาไม่ให้ความหวังจริง ผู้หญิงที่ไหนมันจะยอมถึงขึ้นตามมาหาถึงที่อเมริกา? นับตั้งแต่วินาทีนั้น เราตั้งสติแล้วพูดกับตัวเองว่าพอกันที เราจะเป็นฝ่ายเดินออกจากชีวิตพี่รุจ เราไม่มีทางทนคุยกับผู้ชายที่คุยกับผู้หญิงคนอื่นไปทั่วแบบนี้ พวกเพื่อนเราก็พูดว่าพอได้แล้ว ผู้ชายทำแบบนี้มันแย่ยิ่งกว่าแย่ เราทุ่มให้เขาทุกอย่างแต่สิ่งที่ได้กลับมามันคือความไม่ชัดเจน หลังจากวันนั้น พี่รุจก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังเขียนไลน์มาหาทุกวันเหมือนเดิม แต่ตัวเรากลับตอบอย่างเย็นชา แต่พี่รุจก็ไม่ได้เอะใจอะไรเลยทั้งสิ้น
จนกระทั่งอาทิตย์นึงก่อนกลับอเมริกา เราตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องพูดกับพี่รุจให้รู้เรื่องในเรื่องนี้ เราตัดสินใจเริ่มเขียนไปหาพี่รุจในไลน์ว่าคิดว่าเราโอเคหรอกับการที่พี่เดียจะย้ายมาอยู่ด้วยแบบนี้? แล้วสรุปสิ่งที่เราเป็นอยู่มันคืออะไรกัน?
พี่รุจ: "สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้ เค้าก็ทำตัวเองเหมือนเคย เค้ารู้สึกว่าอะไรรู้ปะ"
เรา: "ว่า?"
พี่รุจ: "เค้ารู้สึกว่า นินไม่ได้เข้าใจเค้าลึกๆจริงๆหรอก เราแค่แฮปปี้กันมากพอที่จะทำให้นินโอเคกับ "non-commitment"นี้ แต่พอนินไม่แฮปปี้เท่าที่ควร นินก็ไม่อยากทำแล้ว ซึ่งนินไม่ผิดนะ ใครๆก็คงเป็นแบบนี้กันหมด ใครจะทนได้ละ จริงปะ"
อื้อหือ ตอนอ่านนี้แทบเขวี้ยงมือถือทิ้งค่ะ รู้สึกโกรธและรังเกียจผู้ชายคนนี้อย่างไม่รู้จะว่าอะไรอีกแล้ว
เรา: "มันไม่ได้เกี่ยวกับแฮปปี้หรือไม่แฮปปี้ เพราะถ้าเป็น actual relationship มันก็ต้องมีขึ้นกับลงอยู่แล้ว แต่อันนี้มันไม่ใช่"
พี่รุจ: "แต่เค้าคิดว่านินจะไม่เหมือนคนอื่น"
เรา: "มันก็ยากนะจะให้เป็นแบบที่พี่รุจต้องการไปตลอด"
พี่รุจ: "งั้นทีหลัง ก็ไม่ควรพูดให้เค้าสบายใจ"
เรา: "ยิ่งโตขึ้นเค้าก็ต้องคิดบ้างดิ ว่าสิ่งที่เค้าให้กับพี่รุจ มันคือความจริงใจและเวลาที่ให้ไป พี่รุจ...คือพี่รุจต้องการแบบนี้ไปตลอดใช่ปะ กับความสัมพันธ์ที่พี่รุจจะมีกับใคร มันจะหยุดที่การเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ชัดเจนแบบนี้หรอ"
พี่รุจ: "แต่เค้าไม่ได้ต้องการแบบนี้กับทุกคนหนิ สักวันเป็นไงก็ไม่รู้ นินก็ต้องเห็นนะว่าเค้าก็ต้องเสียสละ เค้าไม่ได้ได้ประโยชน์จากคนอื่น เค้าก็ไม่ได้มีความสุขอยู่ข้างเดียวปะ ไม่ได้หวังผลประโยชน์จากความสนิทนี้ปะ"
คำว่าเห็นแก่ตัว มันยังน้อยไปสำหรับพี่รุจ เราไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่เขาเขียนกลับมา มันทั้งเจ็บใจมันทั้งผิดหวังสะสมปนกันไปปนกันมา หลังจากวันนั้น พี่รุจก็ยังเขียนไลน์มาหาเราตลอด เหมือนสิ่งที่คุยกันมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราได้แต่รอนับวันไปอเมริกาเพราะเราอยากจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งที่นั้น เราอยากจะทิ้งความซวยทั้งหมดที่มีกับพี่รุจเอาไว้ที่เมืองไทยแห่งนี้
** ปลายเดือนสิงหาคม 2557 **
เราได้มีโอกาสไปนิวยอร์คกับเพื่อนๆเพราะมีconcertใหญ่ เลยถือโอกาสได้เจอกับพี่รุจและเคลียกันที่ร้านอาหาร เราสองคนถกเถียงกันไปกันมาพักใหญ่ จนท้ายที่สุด น้ำตาได้หลั่งออกมาจากเรา มันไม่ใช่เสียใจ แต่มันคือความผิดหวังที่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้ เรามองหน้าผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่เราไว้ใจ ผู้ชายที่เราทุ่มเททุกสิ่งให้ แต่สิ่งที่เขาต้องการมันคือคนละทางกับเรา เราบอกลาเขาโดยดีและพูดกับตัวเองว่ากลับเมืองเรา (เราอยู่เมืองห่างจากนิวยอร์ค 5 ชั่วโมง) เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่และเลิกหมกมุ่นกับเรื่องของพี่รุจซักที เราก็ขอให้พี่รุจโชคดีกับพี่เดีย (นางได้ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันกับพี่รุจเป็นที่เรียบร้อย)
เรากลับถึงบ้านที่อยู่กับเพื่อนๆอีกสามคนในวันอาทิตย์ เพื่อนสนิทเราที่เป็นคนฝรั่งวิ่งเข้ามากอดเราและพูดคุยกันถึงวันหยุดที่ผ่านมาของเรา เราเล่าเรื่องว่าเราไปเคลียกับพี่รุจแล้ว และเราจะไม่ย้อนกลับไปหาเขา เพื่อนเรามีท่าทีเป็นห่วงเพราะรู้ว่าเราผูกพันกับเขามานาน แต่เราก็พูดให้เขาสบายใจว่าเราตัดสินใจแล้วจริงๆ เพื่อนเราก็พลอยดีใจไปกับเราที่สามารถตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแบบนี้ได้ คุยกันไปกันมา เพื่อนเราก็ถามว่าเราได้เจอเพื่อนบ้าน บ้านข้างๆนี้รึยัง? (เราเพิ่งย้ายเข้าบ้านใหม่ในหมู่บ้านนี้ค่ะ) เราก็มองไปที่หน้าต่างของบ้านหลังข้างๆแล้วส่ายหัว เพื่อนสาวเราก็กรี๊ดกร๊าดว่าเนี้ย เพื่อนบ้านเราเป็นคนอิตาเลี่ยน! หล่อทั้งนั้น! เราก็หัวเราะแล้วก็ตอบไปว่า "เอาเลย! อิตาเลี่ยนไม่ใช่สเป็คฉันอยู่แล้ว!" เพื่อนเราก็หัวเราะและเล่าต่อเกี่ยวกับเพื่อนบ้านสุดหล่อทั้งสี่ของเรา จนกระทั่งเขาพูดชื่อผู้ชายคนนึงนาม "ไทเลอร์"
"นิน เธอต้องเจอไทเลอร์ เขาเป็นผู้ชายที่หล่อ แถมยังตลกด้วยนะ มีเสน่ห์มาก!"
เราก็หัวเราะกับเพื่อนเรา และก็คุยกันเรื่องอื่น เพราะโดยส่วนตัวไม่ใช่เป็นคนกร๊ดกร๊าดอะไรกับผู้ชายมากมาย
วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก รู้ตัวอีกทีก็วันศุกร์แล้ว! อาทิตย์แรกของการเปิดเทอมผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรให้ต้องหนักใจ เราไม่ได้เขียนอะไรหาพี่รุจอีก มีแต่เขาที่ทักเรามาในไลน์ทุกวัน ทำเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
เราเป็นคนชอบออกกำลังกายสม่ำเสมอ บ่ายวันนั้นเราก็ตัดสินใจไปลองใช้ยิมของ clubhouse ในหมู่บ้านของเราค่ะ โอ้โห ห้องใหญ่มากๆ แบ่งเป็นสองโซนหลักคือห้อง cardio และห้อง weight
เราเดินผ่านห้องcardioและเห็นผู้ชายสองคนกำลังวิ่งอยู่ เราดันไปสบตากับผู้ชายคนนึงเข้าเลยรีบหลบตาค่ะ ตามภาษาผู้หญิงไทย
เราเดินเข้าไปในห้องweightและได้เล่นเวท ยกแบบพอให้กล้ามเนื้อกระชับค่ะ เราเดินไปที่เครื่องออกกำลังกายที่เอาไว้บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยที่ต้องเอาขายืดตรงขาวและพยายามยกขาทั้งสองขึ้นค่ะ ระหว่างนั้นเอง สายตาเราก็ไปชนกับผู้ชายคนนั้นที่เราเห็นเมื่อกี้! ครั้งนี้เรามองเขาดีดี เขาก็ยิ้มหวานให้เรา เราก็รีบก้มหน้าเหมือนเคยเพราะ 1. เราไม่เคยยุ่งกับผู้ชายในห้องยิม 2. เรามโนไปเลยว่าฝรั่งหน้าหม้อ แต่เขากลับเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โอ๊ย ทำยังไงดีละทีนี้! เราเลยดึงหูฟังออกข้างนึงแล้วพูดห้วนๆ "มีอะไรคะ?" เขากลับยิ้มหวานใส่ เรามองดีดีก็เกิดเขินขึ้นมา พ่อหนุ่มฝรั่งคนนี้หน้าตาดีใช่เล่น จมูกโด่ง ตาสีฟ้าใส ผมสีน้ำตาสวย แถมเขามีรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าทีเราเคยเห็น "อ๋อ เปล่าหรอก เห็นว่าวันนี้อากาศดีมาก เธอไม่อยากไปว่ายน้ำหรอ?" ด้วยความมึนงง เราคิดในใจว่านี้เป็นประโยคจีบผู้หญิงที่แปลกที่สุดเท่าที่เราเคยได้ยินมา "ไม่อะ ไม่ได้อยากว่ายน้ำ" และเพราะไม่รู้ว่าเหตุอันใด เรายื่นมาออกไปเพื่อจะจับมือเขาตามวัฒนธรรมฝรั่งในการทักทาย "เราชื่อนินนะ" เขาทำท่าตกใจเล็กน้อยและจับมือเรา เขายิ้มพร้อมกับพูดว่า "เราชื่อไทเลอร์"
เราตาสว่าง มันรู้สึกเหมือนจำอะไรบางอย่างได้ เอ๊ะ คนคนนี้ใช้คนเดียวกันกับที่เพื่อนเราบอกหรอ!