ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับในฐานะสมาชิก เพื่อนเดอะค็อป และ แฟนบอลทีมอื่นๆโดยเฉพาะคู่ปรับตลอดกาล ที่เพิ่งท่าเสียทีไป T T
เมื่อหมอกควันยังเจือจางหายไปไม่หมดเหล่าคำสบถที่พูดออกจากปากเหมือนถักทอเป็นยองใยเชี่ยวดังสายน้ำที่เกรี้ยวกราดทำให้ค่ำคืนที่ที่ผ่านมานั้นช่างยาวนานกว่าค่ำคืนอื่นใด เมื่อลิเวอร์พูลหยุดสถิติไม่แพ้ใครไว้ที่ 13 นัด หลังจากลิเวอร์พูลเริ่มต้นด้วยการใช้ 3-4-3 นัดแรกที่แพ้นั้นก็พ่ายแพ้ให้กับคู่อริอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 3-0 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา 13 เกมของ ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่พลาดท่าเพลี่ยงพล้ำให้กับทีมใดในพรีเมียร์ลีค
แต่แล้วเมื่อค่ำคืนทีผ่านมาทุกอย่างถูกหยุดลงและถูกเริ่มต้นขึ้นใหม่ในเวลาต่อมา..ด้วยฟอร์มร้อนแรงของลิเวอร์พูลที่ผ่านมานั้นทำให้เป็นต่อในศึกแดงเดือดที่มีศักดิ์ศรีและการไปเล่น
"CL" เป็นเดิมพันซึ่งมีความต่างแค่ 2 คะแนนเท่านั้น
ทำให้เกมนี้ทั้ง 2 ทีมไม่อยากพลาดท่าให้แก่กันถึงเสมอก็ยังมีผลต่างคะแนนเท่าเดิม แต่ถ้าเกิดทีมใดแพ้ขึ้นมา และถ้าทีมนั้นไม่ใช่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดล่ะ แต่กลับเป็นลิเวอร์พูลเสียเอง คะแนนทีตามหลังกลับยิ่งเพิ่มขึ้นไปถึง 5 คะแนน นั้นหมายความว่าหากลิเวอร์พูลจะลุ้นขึ้นอันดับ 4 ที่มีแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำอยู่ 5 คะแนนนั้น ต้องลุ้นให้แพ้ถึง 2 เกมด้วยกัน และลิเวอร์พูลจะต้องชนะในการเกมที่เหลือนั้นๆด้วย ในขณะที่เกมการแข่งขันเหลือเพียง 8 นัดเท่านั้นซึ่งก็ใกล้เข้ามาทุกที
เริ่มต้นเกมลิเวอร์พูลมีฟอร์มการเล่นที่ผิดแปลกไปจากเดิมทั้งที่เล่นในแอนฟิลด์ อาจจะต่างที่หลายๆคนคาดคิด หลังจากที่ สเตอร์ลิ่ง มีโอกาสทะลุเข้าไปในเขตโทษนั้น ลิเวอร์พูลแทบจะไม่มีโอกาสป้วนเปี้ยนน่าประตูเลย แถมผู้เล่นหลายคนยังมีอาการเกร็งในเกมการแข่งขั้นนี้ โดยเฉพาะ
"โมเรโน่" การขยับตัว การจ่ายบอล ดูจะไม่ค่อยมีความมั่นใจ และลูกแรกที่เสียประตูนั้นตัวเขาก็มีส่วนเหมือนกัน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดใช้เวลาเพียง 14 นาที เท่านั้นในการขึ้นนำลิเวอร์พูล 1-0 ผมคิดว่า ลูกที่เสียไปนั้นอาจจะปลุกผู้เล่นให้ตื่นจากภวังค์ แล้วไล่บดเข้าใส่ เหมือนกับนัดที่เจอกับ
"แมนเชสเตอร์ ซิตี้" ตลอดระยะเวลา 90 นาทีที่ได้เจอนั้น ผู้เล่นทุกคนต่างวิ่งพล่านเหมือนสิงโตล่าเหยื่อ แต่นัดที่ผ่านมาในครึ่งแรกกับตรงกันข้าม
เมื่อเวลาผ่านไปลิเวอร์พูลยังไม่สามารถโต้ตอบเพื่อส่งสัญญาณให้คู่ต่อสู้รู้ว่า.....มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะมาเก็บชัยชนะถึงที่นี่ให้คู่ปรับได้รับรู้ จนเวลาผ่านไป
ก่อนที่จะเข้าสู่ครึ่งหลัง 45 นาทีสุดท้าย....สิ่งที่แฟนบอลอยากเห็นนั่นก็คือรูปแบบการเล่นในสนามที่ เปลี่ยนไป และหวังว่า "ร็อดเจอร์ส" จะสามารถนำลิเวอร์พูล กลับเข้ามาสู่เกมเหมือนที่ผ่านมาได้.. และไม่มีตัวเลือกไหนที่เหมาะสมไปกว่า "เจอร์ราร์ด" ที่จะเข้ามาช่วยให้กลับไปสู่รูปเกมที่ดีขึ้น ด้วยสกอร์ที่ตามหลัง 0-1
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่สนามบรรยากาศที่คุ้นเคย สัมผัสผืนหญ้าที่เคยเดิน,วิ่ง ไม่ว่าซ้อมหรือว่าแข่ง ไม่มีบริเวณไหนที่ไม่เคยสัมผัสมัน..... วินาทีที่ลงสนามทำให้แฟนบอล ผู้เล่น มีขวัญและกำลังใจ เปี่ยมไปด้วยความหึกเหิม
แต่แล้วเหมือนชะตากลับเล่นตลก ส่งเจอร์ราร์ดลงมาพลิกเกมแล้วใยต่องส่งใบแดงลงมาด้วย เกมสุดท้ายในฐานะกัปตันทีมที่จะลงสู้ศึกแดงเดือดของเขา จบลงไม่ถึงนาที ด้วยวินาที ที่
"เอเรร่า" เปิดปุ่มยกเท้าสูงขึ้นมา
"ความอันตรายทำให้เกิดการป้องกัน จิตสำนึกทำให้คิดว่าต้องทำอะไรซะบ้าง" นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่กัปตันผู้นี้คงตระหนักถึงและสำนึกผิดในเวลาต่อมาว่า
"สิ่งที่ทำลงไปนั้น ได้ทำร้ายจิตใจของแฟนบอล ที่กำลังต้องการความคาดหวังในตัวเขา"
ใบแดงที่
"แอตกินสัน" ชูขึ้นมานั้น ทำให้ตัวเขาสงสัยว่า
"ตัวผมหรอ?" .... ถ้าไม่ได้อยู่ในสนามนี่อาจจะเป็นการป้องกันตัวแล้วโต้ตอบกลับ แต่หากอยู่ในสนามแล้วมันเป็นการ "เอาคืน" แม้การเข้าของ เอเรร่า จะรุนแรง อาจจะทำให้ตัวเขาบาดเจ็บ แต่การตอบกลับแบบนั้น ทำให้เกมของเขานั้นจบลง
ความคิดเห็นใบแดงในครั้งนี้ของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันออกไป ....
แต่สำหรับผมที่มีต่อเขา วินาทีนั้นเรียกว่า
"ช็อค" เสียมากกว่า
เฮ้ยยย!!! มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ นายควรจะอยู่ให้จนจบเกมนะ
เกมนี้มันแค่เำกมเดียวแฟนบอลคนอื่นๆ อาจจะบอกว่านี่มันมีผลต่อการไป CL ฤดูกาลหน้าเลยนะ....จะบอกว่าไงดีล่ะ สำหรับผมคงจะชินแล้วมั้งกับการที่ได้ไป หรือ ไม่ได้ไป ... หรือการรอคอยแชมป์ ถ้าเทียบกับสิ่งที่ผ่านมาแล้วนะหรอ ชื่อของชายที่ชื่อว่า
"สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด " มีค่ามากกว่าให้จดจำกว่าเรื่อง "ใบแดง" เมื่อคืนนี้เยอะ...ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมาได้ผ่านเกมลงเล่นรายการต่างๆอย่างมากมาย
ในช่วงเวลาของเขาหากจะเอ่ยถึงชื่อลิเวอร์พูล คนที่จะนึกถึงเป็นคนแรกก็คงไม่พ้น
"เจอร์ราร์ดนี่ล่ะ" .....แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นแต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วล่ะ คุณจะมองไปแบบไหน ผมไม่ได้ต้องการให้แฟนบอลคนอื่นคล้อยตามหรือเห็นด้วย ทุกคนมีวิธีการและความคิดที่แตกต่างกัน ผมไม่สามารถบอกผลลัพท์ของแต่ละคนออกมา แต่คนที่เจ็บปวดมากที่สุด ณ เวลานั้นคงไม่ใช่ใครอื่น....
ยิ่งแฟนบอลเจ็บปวดมากเท่าไหร่....ตัวเขาก็คงนับร้อยเท่า ภาพในค่ำคืนนั้นคงจะเข้าไปอยู่ในความทรงจำอีกนานโดยอาจจะไม่มีวันเลือนหายไป
แม้การเป่าฟาวล์ของ
"แอตกินสัน" อาจจะดูขัดแย้งในหลายๆครั้ง แต่ผมคนนึงล่ะที่ไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงมากเท่าไหร่ในเมื่อเกมมันจบแล้ว(ถ้าเป็นผู้จัดการทีมก็เดี๋ยวกลัวจะโดน FA ปรับหรือว่าโดนแบนไปนั่งข้างสนาม ข้อหาวิจารณ์การทำงานของผู้ตัดสิน)
การยิงประตูของมาต้า 2 ลูก การไล่ตีตื้นขึ้นมาเป็น 2-1 ของ เสตอร์ริดจ์ และ การยิงจุดโทษพลาดของรูนีย์หรือแม้กระทั่งการเซฟจุดโทษของ มิโญเล่ต์ ตามด้วยการแถมอย่างน่าเกลียดของ สเคอร์เทล จนเกือบจะมีเรื่องท้ายเกมทุกคนแทบจะลืมมันไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดเลย....นั่นคงเป็นเพราะ ความรวดเร็วของใบแดงถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่ร้อนแรงและดุเดือดขนาดนี้ ...แต่นี่กลับเป็นผู้ชายที่เป็นสัญลักษณ์ของสโมสรตำนานที่กำลังจะก้าวถอยหลังออกอย่างช้าๆ....ด้วยทุกเกมที่เหลือในศึกพรีเมียร์ลีคการเจอของแต่ละทีมที่เขาสวมเสื้อนั้นล้วนเป็นทีมสุดท้ายที่เขาจะต้องเจอ
"การเดินเข้ามา และ เดินออกไป" ในศึกแดงเดือดครั้งนี้เป็นความรู้สึกครั้งแรกเลยละมั้งที่มันช่างมีความแตกต่าง การเดินลงสนามมาด้วยความคาดหวัง.........ซึ่งใช้เวลาเพียง 40 วินาทีเท่านั้นที่ทำให้แฟนบอลต้องพบกับความผิดหวังที่ยาวนาน..
แดงเดือดครั้งนี้มันจบแล้ว "สตีวี่จี" ....
เอ๊ะ..........แต่คงไม่มีใครคิดเหมือนผมหรอกมั้ง ....เมื่อตำนานระดับ
"เปเล่" มาเยือน อาจจจะมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นด้ายยยย...........
Kop คิด Kop ทอล์ค : "การเดินเข้ามา และ เดินออกไป"
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับในฐานะสมาชิก เพื่อนเดอะค็อป และ แฟนบอลทีมอื่นๆโดยเฉพาะคู่ปรับตลอดกาล ที่เพิ่งท่าเสียทีไป T T
เมื่อหมอกควันยังเจือจางหายไปไม่หมดเหล่าคำสบถที่พูดออกจากปากเหมือนถักทอเป็นยองใยเชี่ยวดังสายน้ำที่เกรี้ยวกราดทำให้ค่ำคืนที่ที่ผ่านมานั้นช่างยาวนานกว่าค่ำคืนอื่นใด เมื่อลิเวอร์พูลหยุดสถิติไม่แพ้ใครไว้ที่ 13 นัด หลังจากลิเวอร์พูลเริ่มต้นด้วยการใช้ 3-4-3 นัดแรกที่แพ้นั้นก็พ่ายแพ้ให้กับคู่อริอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 3-0 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา 13 เกมของ ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่พลาดท่าเพลี่ยงพล้ำให้กับทีมใดในพรีเมียร์ลีค
แต่แล้วเมื่อค่ำคืนทีผ่านมาทุกอย่างถูกหยุดลงและถูกเริ่มต้นขึ้นใหม่ในเวลาต่อมา..ด้วยฟอร์มร้อนแรงของลิเวอร์พูลที่ผ่านมานั้นทำให้เป็นต่อในศึกแดงเดือดที่มีศักดิ์ศรีและการไปเล่น "CL" เป็นเดิมพันซึ่งมีความต่างแค่ 2 คะแนนเท่านั้น
ทำให้เกมนี้ทั้ง 2 ทีมไม่อยากพลาดท่าให้แก่กันถึงเสมอก็ยังมีผลต่างคะแนนเท่าเดิม แต่ถ้าเกิดทีมใดแพ้ขึ้นมา และถ้าทีมนั้นไม่ใช่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดล่ะ แต่กลับเป็นลิเวอร์พูลเสียเอง คะแนนทีตามหลังกลับยิ่งเพิ่มขึ้นไปถึง 5 คะแนน นั้นหมายความว่าหากลิเวอร์พูลจะลุ้นขึ้นอันดับ 4 ที่มีแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำอยู่ 5 คะแนนนั้น ต้องลุ้นให้แพ้ถึง 2 เกมด้วยกัน และลิเวอร์พูลจะต้องชนะในการเกมที่เหลือนั้นๆด้วย ในขณะที่เกมการแข่งขันเหลือเพียง 8 นัดเท่านั้นซึ่งก็ใกล้เข้ามาทุกที
เริ่มต้นเกมลิเวอร์พูลมีฟอร์มการเล่นที่ผิดแปลกไปจากเดิมทั้งที่เล่นในแอนฟิลด์ อาจจะต่างที่หลายๆคนคาดคิด หลังจากที่ สเตอร์ลิ่ง มีโอกาสทะลุเข้าไปในเขตโทษนั้น ลิเวอร์พูลแทบจะไม่มีโอกาสป้วนเปี้ยนน่าประตูเลย แถมผู้เล่นหลายคนยังมีอาการเกร็งในเกมการแข่งขั้นนี้ โดยเฉพาะ "โมเรโน่" การขยับตัว การจ่ายบอล ดูจะไม่ค่อยมีความมั่นใจ และลูกแรกที่เสียประตูนั้นตัวเขาก็มีส่วนเหมือนกัน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดใช้เวลาเพียง 14 นาที เท่านั้นในการขึ้นนำลิเวอร์พูล 1-0 ผมคิดว่า ลูกที่เสียไปนั้นอาจจะปลุกผู้เล่นให้ตื่นจากภวังค์ แล้วไล่บดเข้าใส่ เหมือนกับนัดที่เจอกับ "แมนเชสเตอร์ ซิตี้" ตลอดระยะเวลา 90 นาทีที่ได้เจอนั้น ผู้เล่นทุกคนต่างวิ่งพล่านเหมือนสิงโตล่าเหยื่อ แต่นัดที่ผ่านมาในครึ่งแรกกับตรงกันข้าม
เมื่อเวลาผ่านไปลิเวอร์พูลยังไม่สามารถโต้ตอบเพื่อส่งสัญญาณให้คู่ต่อสู้รู้ว่า.....มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะมาเก็บชัยชนะถึงที่นี่ให้คู่ปรับได้รับรู้ จนเวลาผ่านไป
ก่อนที่จะเข้าสู่ครึ่งหลัง 45 นาทีสุดท้าย....สิ่งที่แฟนบอลอยากเห็นนั่นก็คือรูปแบบการเล่นในสนามที่ เปลี่ยนไป และหวังว่า "ร็อดเจอร์ส" จะสามารถนำลิเวอร์พูล กลับเข้ามาสู่เกมเหมือนที่ผ่านมาได้.. และไม่มีตัวเลือกไหนที่เหมาะสมไปกว่า "เจอร์ราร์ด" ที่จะเข้ามาช่วยให้กลับไปสู่รูปเกมที่ดีขึ้น ด้วยสกอร์ที่ตามหลัง 0-1
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่สนามบรรยากาศที่คุ้นเคย สัมผัสผืนหญ้าที่เคยเดิน,วิ่ง ไม่ว่าซ้อมหรือว่าแข่ง ไม่มีบริเวณไหนที่ไม่เคยสัมผัสมัน..... วินาทีที่ลงสนามทำให้แฟนบอล ผู้เล่น มีขวัญและกำลังใจ เปี่ยมไปด้วยความหึกเหิม
แต่แล้วเหมือนชะตากลับเล่นตลก ส่งเจอร์ราร์ดลงมาพลิกเกมแล้วใยต่องส่งใบแดงลงมาด้วย เกมสุดท้ายในฐานะกัปตันทีมที่จะลงสู้ศึกแดงเดือดของเขา จบลงไม่ถึงนาที ด้วยวินาที ที่ "เอเรร่า" เปิดปุ่มยกเท้าสูงขึ้นมา "ความอันตรายทำให้เกิดการป้องกัน จิตสำนึกทำให้คิดว่าต้องทำอะไรซะบ้าง" นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่กัปตันผู้นี้คงตระหนักถึงและสำนึกผิดในเวลาต่อมาว่า "สิ่งที่ทำลงไปนั้น ได้ทำร้ายจิตใจของแฟนบอล ที่กำลังต้องการความคาดหวังในตัวเขา"
ใบแดงที่ "แอตกินสัน" ชูขึ้นมานั้น ทำให้ตัวเขาสงสัยว่า "ตัวผมหรอ?" .... ถ้าไม่ได้อยู่ในสนามนี่อาจจะเป็นการป้องกันตัวแล้วโต้ตอบกลับ แต่หากอยู่ในสนามแล้วมันเป็นการ "เอาคืน" แม้การเข้าของ เอเรร่า จะรุนแรง อาจจะทำให้ตัวเขาบาดเจ็บ แต่การตอบกลับแบบนั้น ทำให้เกมของเขานั้นจบลง
ความคิดเห็นใบแดงในครั้งนี้ของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันออกไป ....
แต่สำหรับผมที่มีต่อเขา วินาทีนั้นเรียกว่า "ช็อค" เสียมากกว่า เฮ้ยยย!!! มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ นายควรจะอยู่ให้จนจบเกมนะ
เกมนี้มันแค่เำกมเดียวแฟนบอลคนอื่นๆ อาจจะบอกว่านี่มันมีผลต่อการไป CL ฤดูกาลหน้าเลยนะ....จะบอกว่าไงดีล่ะ สำหรับผมคงจะชินแล้วมั้งกับการที่ได้ไป หรือ ไม่ได้ไป ... หรือการรอคอยแชมป์ ถ้าเทียบกับสิ่งที่ผ่านมาแล้วนะหรอ ชื่อของชายที่ชื่อว่า "สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด " มีค่ามากกว่าให้จดจำกว่าเรื่อง "ใบแดง" เมื่อคืนนี้เยอะ...ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมาได้ผ่านเกมลงเล่นรายการต่างๆอย่างมากมาย
ในช่วงเวลาของเขาหากจะเอ่ยถึงชื่อลิเวอร์พูล คนที่จะนึกถึงเป็นคนแรกก็คงไม่พ้น "เจอร์ราร์ดนี่ล่ะ" .....แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นแต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วล่ะ คุณจะมองไปแบบไหน ผมไม่ได้ต้องการให้แฟนบอลคนอื่นคล้อยตามหรือเห็นด้วย ทุกคนมีวิธีการและความคิดที่แตกต่างกัน ผมไม่สามารถบอกผลลัพท์ของแต่ละคนออกมา แต่คนที่เจ็บปวดมากที่สุด ณ เวลานั้นคงไม่ใช่ใครอื่น....
ยิ่งแฟนบอลเจ็บปวดมากเท่าไหร่....ตัวเขาก็คงนับร้อยเท่า ภาพในค่ำคืนนั้นคงจะเข้าไปอยู่ในความทรงจำอีกนานโดยอาจจะไม่มีวันเลือนหายไป
แม้การเป่าฟาวล์ของ "แอตกินสัน" อาจจะดูขัดแย้งในหลายๆครั้ง แต่ผมคนนึงล่ะที่ไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงมากเท่าไหร่ในเมื่อเกมมันจบแล้ว(ถ้าเป็นผู้จัดการทีมก็เดี๋ยวกลัวจะโดน FA ปรับหรือว่าโดนแบนไปนั่งข้างสนาม ข้อหาวิจารณ์การทำงานของผู้ตัดสิน)
การยิงประตูของมาต้า 2 ลูก การไล่ตีตื้นขึ้นมาเป็น 2-1 ของ เสตอร์ริดจ์ และ การยิงจุดโทษพลาดของรูนีย์หรือแม้กระทั่งการเซฟจุดโทษของ มิโญเล่ต์ ตามด้วยการแถมอย่างน่าเกลียดของ สเคอร์เทล จนเกือบจะมีเรื่องท้ายเกมทุกคนแทบจะลืมมันไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดเลย....นั่นคงเป็นเพราะ ความรวดเร็วของใบแดงถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่ร้อนแรงและดุเดือดขนาดนี้ ...แต่นี่กลับเป็นผู้ชายที่เป็นสัญลักษณ์ของสโมสรตำนานที่กำลังจะก้าวถอยหลังออกอย่างช้าๆ....ด้วยทุกเกมที่เหลือในศึกพรีเมียร์ลีคการเจอของแต่ละทีมที่เขาสวมเสื้อนั้นล้วนเป็นทีมสุดท้ายที่เขาจะต้องเจอ
"การเดินเข้ามา และ เดินออกไป" ในศึกแดงเดือดครั้งนี้เป็นความรู้สึกครั้งแรกเลยละมั้งที่มันช่างมีความแตกต่าง การเดินลงสนามมาด้วยความคาดหวัง.........ซึ่งใช้เวลาเพียง 40 วินาทีเท่านั้นที่ทำให้แฟนบอลต้องพบกับความผิดหวังที่ยาวนาน..
แดงเดือดครั้งนี้มันจบแล้ว "สตีวี่จี" ....
เอ๊ะ..........แต่คงไม่มีใครคิดเหมือนผมหรอกมั้ง ....เมื่อตำนานระดับ "เปเล่" มาเยือน อาจจจะมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นด้ายยยย...........