เมล็ดเจียไม่ได้กินได้ทุกคน ก่อนซื้อกินควรอ่านก่อนค่ะ

หลายๆคนคงรู้ถึงสรรพคุณและประโยชน์มากมายของ เมล็ดเจีย แล้วนะคะถ้าใครยังไม่รู้ลองไปหาข้อมูลได้ที่
http://health.kapook.com/view110535.html

เนื่องจากรายละเอียดมันยาวมาก จขกท.เลยขอยกแต่ข้อยกเว้นของเมล็ดเจียมาให้อ่านดูค่ะ

8 ข้อยกเว้นน่ารู้ของเมล็ดเจีย

          แม้ว่าเมล็ดเจียจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับคนบางกลุ่ม ซึ่งก็มีข้อมูลที่เป็นคำเตือนจากหลายองค์กรสำคัญ ได้แก่ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA)  หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (AHA) ผลการวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยโตรอนโต และบริษัทผู้ผลิตอาหารสุขภาพในสหรัฐฯ  เผยตรงกันว่า เมล็ดเจียอาจไม่ได้กินแล้วดีต่อสุขภาพสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ปัญหาเรื่องสุขภาพดังต่อไปนี้

          1.คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น มีแก๊สในกระเพาะอาหาร แสบร้อนกลางอก รวมถึงกรดไหลย้อนนั้นหากกินเมล็ดเจียเข้าไปแล้ว จะทำให้อาการหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะเส้นใยไฟเบอร์ที่ขยายตัวในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 ที่จะยิ่งกระตุ้นให้ตับอ่อนเร่งสร้างน้ำย่อยออกมานั่นเอง  

          2.เมล็ดเจียไม่เหมาะสำหรับคนเป็นโรคแพ้กลูเตน หรือ โรคแพ้โปรตีนในธัญพืช วิธีเช็กว่าตัวเองแพ้กลูเตนหรือไม่ ให้ลองกินมัสตาร์ด หรือเมล็ดมัสตาร์ด หากมีอาการแพ้ก็ควรหลีกเลี่ยงการกินเมล็ดเจีย

          3.คนที่ต้องเข้ารับการศัลยกรรม หรือ มีประวัติการใช้ยาแอสไพริน ไม่ควรกินเมล็ดเจีย เพราะจะยิ่งทำให้หลอดเลือดบางลง ซึ่งอาจมีผลต่อการเกิดภาวะฮีโมฟิเลีย (Haemophiliacs) หรือภาวะที่เลือดแข็งตัวช้า เลือดไหลไม่หยุด

          4.ผู้ชายไม่ควรบริโภคเมล็ดเจียมากเกินไป เพราะในเมล็ดเจียมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวแอลฟา ลิโนเลอิก (alpha-linoleic acid) ที่จะไปกระตุ้นให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มมากขึ้น

           5.ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำ ไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย เพราะมีผลต่อแรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวให้ต่ำลง (Diastolic blood pressure) อาจก่อให้เกิดอาการช็อก หรือหมดสติได้

           6.ไม่ควรบริโภคเมล็ดเจียติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี เพราะร่างกายจะเกิดการเสพติด และเลิกยาก ทางที่ดีควรเว้นช่วงไปบ้าง

           7.ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย เพราะมีผลต่อสารอาหารในน้ำนมให้เปลี่ยนไปจากเดิม

           8.การกินเมล็ดเจียร่วมกับอาหารเสริมวิตามินบี 17 ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะทำให้ร่างกายสะสมสารไฟโตนิวเทรียนท์ในปริมาณมาก กลายเป็นสารพิษที่นำมาซึ่งโรคมะเร็งในที่สุด

จขกท.อ่านสรรพคุณของเมล็ดเจียมาตั้งนาน รู้สึกว่ามันใช่เลยทั้งประโยชน์และสรรพคุณมากมาย แทบอยากจะไปซื้อกินทันทีแต่พอมาอ่านถึงข้อยกเว้นปุ๊บก็ต้องใจสลาย เพราะเรามีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร เป็นคนที่มีลมในกระเพาะอาหารเยอะหลังกินข้าวเสร็จหรือปล่อยให้ท้องว่างนานๆ กินฝรั่งก็ไม่ได้เพราะจะทำให้ท้องอืดและขับลมออกมา กินหมากฝรั่งก็ไม่ได้เพราะมันทำให้เราท้องอืดไม่สบายท้องต้องเรอ ตอนแรกเราไม่รู้ว่าฝรั่งกับหมากฝรั่งทำให้ท้องอืดได้จนมาเจอกับตัวเองเนี่ยแหละค่ะ

ยังไงเพื่อนๆลองใช้วิจารณญาณในการอ่านดูนะคะ แต่จขกท.เองว่าจะไปกินเม็ดแมงลักแทนค่ะ เพราะไปศึกษามาแล้วไม่ค่อยมีข้อเสียเท่าไหร่และราคาถูกกว่าด้วยค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
บทความนี้มีจุดผิดอยู่บ้างค่ะ

เรื่องกลูเตน เชียไม่มีกลูเตนนะคะ  แต่เกี่ยวข้องกับการแพ้มัสตาร์ดค่ะ แต่ไม่ใช่กลูเตนค่ะ งงมากบทความนี้ เมืองนอกเค้าแนะนำให้คนแพ้กลูเตนกินเชียเลยด้วยซ้ำ

แล้วก็เรื่องผู้ชายไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย อันนี้การวิจัยยังคลุมเครือ เพราะว่ามีการทดลองให้ผู้ชายทานเมล็ดแฟลกซ์ ซึ่ง ALA สูงกว่าเชียอีก แต่กลับพบว่าช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากค่ะ แล้วก็มีข้อมูลบอกว่าการวิจัยที่ว่าเชียทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มี bias เพราะกลุ่มคนที่เอามาวิจัย ดันเป็นคนที่สูบบุหรี่จัด  ..... แต่เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ผู้ชายที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ควรเลี่ยงค่ะ

ส่วนคนที่กินแล้วจุก ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก นั่นเป็นผลข้างเคียงของการรับกากใยอาหารที่มากและเร็วไปค่ะ วิธีกินคือควรแช่น้ำก่อนทาน ขั้นต่ำ 15 นาที แล้วเริ่มต้นไม่ควรทานเยอะ อาจจะครั้งละ 1/2 - 1 ช้อนโต๊ะ เพื่อให้ร่างกายค่อยๆปรับตัวก่อนค่ะ

แล้วกรณีคนท้องและให้นมบุตร ข้อมูลก็ยังคลุมเครือเหมือนกัน บางบทความแนะนำให้ทานเลยค่ะ แต่บางบทความก็บอกว่าให้ปรึกษาแพทย์ก่อน

ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะทานอะไร ไม่ควรมากเกินไป ไม่ซ้ำซาก จะเป็นวิธีทานเพื่อสุขภาพที่ดีสุดค่ะ ยิ้ม
ความคิดเห็นที่ 22
ของทุกอย่างทีทั้งด้านดีและเสีย มีทั้งให้ประโยชน์และให้โทษ แล้วแต่ว่าผู้ที่ใช้หรือบริโภค จะเรียนรู้วิธีใช้หรือบริโภคได้ถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่
จึงไม่ได้เป็นเรื่องแปลก ที่เมล็ดเซียจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าเรารู้วิธีทานมันให้ถูกต้องเหมาะสม มันก็จะให้ประโยชน์มากว่าโทษ
เห็นว่าคุณ จขกท จะลองไปรับประทานเม็ดแมงลักแทน ผมก็เลยอยากแนะนำให้ จขกท ศึกษาข้อดีและข้อเสียของเม็ดแมงลักด้วยแล้วกันนะครับ เผื่ออ่านๆ ดูแล้วอาจจะทานไม่ได้อีกก็ได้ จะได้หันไปทานอย่างอื่นแทน  

ด้วยความเคารพ
**********************************************************************
โทษของเม็ดแมงลัก
1. มีอาการแน่นท้องรู้สึกไม่สบายตัว เมื่อรับประทานเม็ดแมงลักในปริมาณมาก ๆ

2. การรับประทานเม็ดแมงลักในขณะที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ อาจจะเกิดการดูดน้ำจากกระเพาะอาหารทำให้เม็ดแมงลักจับตัวกันเป็นก้อนและอุดตันในลำไส้ ซึ่งอาจทำให้ท้องผูกได้เช่นกันถ้ารับประทานแบบผิดวิธี

3. ไม่ควรรับประทานเม็ดแมงลักพร้อมกับกับยาอื่น ๆ เพราะจะมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้ไม่ดีและน้อยลง ดังนั้นควรทานยาก่อนสักประมาณ 15-30 นาทีแล้วค่อยรับประทานเม็ดแมงลักตาม

4. สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก การรับประทานเม็ดแมงลักแทนมื้ออาหารหลักควรรับประทานเป็นบางมื้อ เพราะอาจจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ ได้

5. อีกสิ่งที่ต้องระวังไว้ก็คือ การเลือกซื้อ ควรเลือกซื้อเม็ดแมงลักที่มีความสะอาดได้มาตรฐานน่าเชื่อถือ อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดมิดชิด เก็บไว้ในที่เหมาะสม เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจมีเชื้อราหรือสารพิษอย่างอะฟลาทอกซินปนเปื้อนมาด้วยก็ได้ (สารอะฟลาทอกซิน เมื่อบริโภคจำนวนมากอาจทำให้อาการท้องเดิน อาเจียน และสะสมเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ)


ประโยชน์ของเม็ดแมงลัก
1. เม็ดแมงลัก ลดความอ้วน เพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เพราะมีสรรพคุณในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเป็นกรดน้ำดี และยังช่วยเพิ่มการขับออกของกรดน้ำดีด้วย ซึ่งจะไปลดเฉพาะคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) แต่ไม่มีผลใด ๆ กับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)

2. เม็ดแมงลัก ลดน้ําหนัก ตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนักและความอ้วน เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และมันสามารถพองตัวได้มากถึง 45 เท่า !! เมื่อนำมารับประทานเป็นอาหาร (ควรรับประทานแค่บางมื้อต่อวัน เพื่อป้องกันโรคขาดสารอาหาร) หรือจะรับประทานก่อนอาหารเพื่อทำให้กระเพาะไม่ว่างและรู้สึกอิ่มเป็นการช่วยควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานไปด้วยเป็นอย่างดี

3. เม็ดแมงลัก เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจได้อีกด้วย

4. เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะช่วยทำให้การดูดซึมของน้ำตาลลดลง เนื่องจากเม็ดแมงลักทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลงอยู่แล้ว

5. เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่รับประทานง่าย กลืนง่ายลื่นคอและเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานอาหารที่มีกากใยอย่างพวก ผักผลไม้

6. เม็ดแมงลัก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติและมีประสิทธิภาพ ขับถ่ายสะดวก เป็นยาระบายช่วยกระตุ้นการขับถ่ายด้วยการรับประทานเม็ดแมงลักก่อนเข้านอน

7. เม็ดแมงลัก สรรพคุณล้างลำไส้ ช่วยดีท็อกซ์แก้ปัญหาอุจจาระตกค้าง ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ ระบบย่อยอาหารผิดติ ระบบดูดซึมเสีย และขับถ่ายไม่เป็นเวลา (ช่วงเช้า 05.00 - 07.00 น.)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่