สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
แชร์สิ่งที่ผมเข้าใจนะครับ
4 แบงค์ใหญ่ KBank SCB BBL KTB
แต่ละตัวมีแนวทางและความถนัดไม่เหมือนกัน
และทำให้หุ้นแต่ละตัวมีการให้ PE P/BV ไม่เหมือนกันด้วย ลองคิดดูนะครับ
แบงค์ทำธุรกิจมีรายได้สองทาง คือ ดอกเบี้ย และไม่ใช่ดอกเบี้ย(ค่าธรรมเนียม)
คราวนี้ถ้ามามองทางรายได้ดอกเบี้ยก่อน ต้นทุนของสินค้าคือดอกเบี้ยเงินฝาก ส่วนราคาขายคือดอกเบี้ยเงินกู้
ครั้งแรกที่มองแบงค์คิดว่าแต่ละแบงค์ไม่น่ามีต้นทุนสินค้าที่แตกต่างกัน คือมองเผินๆ คิดว่าแบงค์ไม่ใช่ธุรกิจผูกขาด
แบงค์ไหนอยากจะได้เงินมาฝากก็ต้องให้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงดังนั้นไม่ควรมีความแตกต่างกัน ก็ต้องมีการแข่งขันกัน
แต่จริงๆไม่ใช่ เนื่องจากต้นทุนเงินฝากที่ถูกที่สุดคือ บัญชีCASA (คือบัญชีฝากออมทรัพย์และกระแสเงินสด)
เพราะออมทรัพย์ดอกเบี้ยต่ำและกระแสรายวันไม่เสียดอกเบี้ย
ดังนั้นธนาคารไหนที่มีบัญชีพวกนี้เยอะก็จะมีต้นทุนทางการเงินต่ำ
เท่าที่จำได้นะครับโดยประมาณ Kbank CASA 60% SCB 50% KTB 40% BBL 30% ตัวเลขอาจต้องไปดูรายละเอียดอีกทีนะครับ
แปลว่าถ้ามองในเชิงต้นทุนสินค้า Kbank ดีกว่า SCB ดีกว่า KTB ดีกว่า BBL
ถามว่าทำไมมันจึงเป็นแบบนี้
Kbank เน้น SME พวกนี้ต้องเปิดออมทรัพย์กับกระแสรายวัน
SCB เน้น สินเชื่อบ้านส่วนใหญ่+อยู่ในมหาวิทยาลัย เปิดออมทรัพย์ เลยมี CASA เยอะ
KTB เน้นภาครัฐ ได้ลูกค้าพวกข้าราชการกับตจว ก็เลยมี CASA อยู่พอสมควร
BBL เน้น Corporate มี CASA น้อยสุด เพราะเน้นเป็น Corporate
คราวนี้เวลาปล่อยกู้ราคาขาย
Kbank ขาย SME ดอกเบี้ยโอเค
SCB ขาย รายย่อย ดอกเบี้ยโอเค
KTB ขายรัฐ ดอกอาจโดนกด แต่ได้แบบซื้อเยอะ
BBL ขายบริษัท ได้ยอดเยอะแต่ดอกได้ต่ำ
ดังนั้นเราจะเห็นว่า NIM หรือ net interest margin Kbank สูงกว่าใครเพื่อน เนื่องจากทุนต่ำและขายได้แพง
คือ NIM มันก็คล้ายกับ Gross margin นั่นเอง
ส่วน BBL จะต่ำกว่าคนอื่น
แต่ SCB กับทำกำไรได้มากกว่าคนอื่นทั้งที่รายได้น้อยกว่า Kbank แปลว่า SCB บริหารจัดการได้ดีกว่า คือค่าใช้จ่ายน้อยกว่า Kbank
และส่วนตัวคิดว่า SCB มีดีตรงที่ถือหุ้น SCBlif ในอัตราส่วนที่สูงถึง90% และกลุ่มประกันโตดี
คิดว่าส่วนหนึ่ง Kbank เน้นจัดกิจกรรมทางการตลาดสูงกว่าและรองรับการขยายงานเยอะกว่า
ส่วน BBL นั้นไม่ต้องพูดถึงคือ ลงทุนแต่ละปีต่ำ ทำให้เงินสดเหลือเยอะกว่า จึงปันผลได้มากกว่า
ส่วน KTB กำไรดูสวิงๆคิดว่า ถ้าบางปีได้ภาครัฐก็กำไรดี ถ้าไม่ได้ก็กำไรน้อย
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมก็ง่ายๆเลย
ถ้าแบงค์ไหนรายย่อยมาก Tansaction เยอะ ก็ค่าธรรมเนียมมาก ดังนั้น KBank/SCB ได้เปรียบ
ถ้ากองทุนใหญ่(Kbank ใหญ่สุด) ก็ค่าธรรมเนียมมาก และค่าธรรมเนียมมาทุกปีและเก็บแพงด้วย (recurring income)
ขายประกัน Kbank ใหญ่สุด เมืองไทยประกันชีวิต SCB ก็โอเคไม่แพ้กันและSCB ยังถือ SCBlif เยอะด้วย
คือยิ่งมีลูกค้ารายย่อยมากโอกาสขายก็มีมากขึ้น
ส่วนพวก Factoring คือซื้อหนี้มาบริหารอันนี้ไม่รู้ว่าใครชำนาญกว่าใคร
ธุรกิจต่างประเทศ คงต้องยกให้ BBL
แบงค์ที่ดีคือแบงค์ที่รายได้ค่าธรรมเนียมสูงๆ และเติบโตในระยะยาว
4 แบงค์ใหญ่ KBank SCB BBL KTB
แต่ละตัวมีแนวทางและความถนัดไม่เหมือนกัน
และทำให้หุ้นแต่ละตัวมีการให้ PE P/BV ไม่เหมือนกันด้วย ลองคิดดูนะครับ
แบงค์ทำธุรกิจมีรายได้สองทาง คือ ดอกเบี้ย และไม่ใช่ดอกเบี้ย(ค่าธรรมเนียม)
คราวนี้ถ้ามามองทางรายได้ดอกเบี้ยก่อน ต้นทุนของสินค้าคือดอกเบี้ยเงินฝาก ส่วนราคาขายคือดอกเบี้ยเงินกู้
ครั้งแรกที่มองแบงค์คิดว่าแต่ละแบงค์ไม่น่ามีต้นทุนสินค้าที่แตกต่างกัน คือมองเผินๆ คิดว่าแบงค์ไม่ใช่ธุรกิจผูกขาด
แบงค์ไหนอยากจะได้เงินมาฝากก็ต้องให้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงดังนั้นไม่ควรมีความแตกต่างกัน ก็ต้องมีการแข่งขันกัน
แต่จริงๆไม่ใช่ เนื่องจากต้นทุนเงินฝากที่ถูกที่สุดคือ บัญชีCASA (คือบัญชีฝากออมทรัพย์และกระแสเงินสด)
เพราะออมทรัพย์ดอกเบี้ยต่ำและกระแสรายวันไม่เสียดอกเบี้ย
ดังนั้นธนาคารไหนที่มีบัญชีพวกนี้เยอะก็จะมีต้นทุนทางการเงินต่ำ
เท่าที่จำได้นะครับโดยประมาณ Kbank CASA 60% SCB 50% KTB 40% BBL 30% ตัวเลขอาจต้องไปดูรายละเอียดอีกทีนะครับ
แปลว่าถ้ามองในเชิงต้นทุนสินค้า Kbank ดีกว่า SCB ดีกว่า KTB ดีกว่า BBL
ถามว่าทำไมมันจึงเป็นแบบนี้
Kbank เน้น SME พวกนี้ต้องเปิดออมทรัพย์กับกระแสรายวัน
SCB เน้น สินเชื่อบ้านส่วนใหญ่+อยู่ในมหาวิทยาลัย เปิดออมทรัพย์ เลยมี CASA เยอะ
KTB เน้นภาครัฐ ได้ลูกค้าพวกข้าราชการกับตจว ก็เลยมี CASA อยู่พอสมควร
BBL เน้น Corporate มี CASA น้อยสุด เพราะเน้นเป็น Corporate
คราวนี้เวลาปล่อยกู้ราคาขาย
Kbank ขาย SME ดอกเบี้ยโอเค
SCB ขาย รายย่อย ดอกเบี้ยโอเค
KTB ขายรัฐ ดอกอาจโดนกด แต่ได้แบบซื้อเยอะ
BBL ขายบริษัท ได้ยอดเยอะแต่ดอกได้ต่ำ
ดังนั้นเราจะเห็นว่า NIM หรือ net interest margin Kbank สูงกว่าใครเพื่อน เนื่องจากทุนต่ำและขายได้แพง
คือ NIM มันก็คล้ายกับ Gross margin นั่นเอง
ส่วน BBL จะต่ำกว่าคนอื่น
แต่ SCB กับทำกำไรได้มากกว่าคนอื่นทั้งที่รายได้น้อยกว่า Kbank แปลว่า SCB บริหารจัดการได้ดีกว่า คือค่าใช้จ่ายน้อยกว่า Kbank
และส่วนตัวคิดว่า SCB มีดีตรงที่ถือหุ้น SCBlif ในอัตราส่วนที่สูงถึง90% และกลุ่มประกันโตดี
คิดว่าส่วนหนึ่ง Kbank เน้นจัดกิจกรรมทางการตลาดสูงกว่าและรองรับการขยายงานเยอะกว่า
ส่วน BBL นั้นไม่ต้องพูดถึงคือ ลงทุนแต่ละปีต่ำ ทำให้เงินสดเหลือเยอะกว่า จึงปันผลได้มากกว่า
ส่วน KTB กำไรดูสวิงๆคิดว่า ถ้าบางปีได้ภาครัฐก็กำไรดี ถ้าไม่ได้ก็กำไรน้อย
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมก็ง่ายๆเลย
ถ้าแบงค์ไหนรายย่อยมาก Tansaction เยอะ ก็ค่าธรรมเนียมมาก ดังนั้น KBank/SCB ได้เปรียบ
ถ้ากองทุนใหญ่(Kbank ใหญ่สุด) ก็ค่าธรรมเนียมมาก และค่าธรรมเนียมมาทุกปีและเก็บแพงด้วย (recurring income)
ขายประกัน Kbank ใหญ่สุด เมืองไทยประกันชีวิต SCB ก็โอเคไม่แพ้กันและSCB ยังถือ SCBlif เยอะด้วย
คือยิ่งมีลูกค้ารายย่อยมากโอกาสขายก็มีมากขึ้น
ส่วนพวก Factoring คือซื้อหนี้มาบริหารอันนี้ไม่รู้ว่าใครชำนาญกว่าใคร
ธุรกิจต่างประเทศ คงต้องยกให้ BBL
แบงค์ที่ดีคือแบงค์ที่รายได้ค่าธรรมเนียมสูงๆ และเติบโตในระยะยาว
ความคิดเห็นที่ 4
มาดูราคาและการลงทุนกัน
Kbank PE 12
SCB PE 12
KTB PE 8-9
BBL PE 10
ถ้ามองแต่ PE ต้องเลือก KTB > BBL > SCB > Kbank
แต่ถ้ามอง Growth KBank/SCB 8-10%
BBL 3-5 %
KTB ไม่รู้ประเมินยาก
ปันผล BBL 3.5 KTB 3.8 SCB/Kbank1.5%
ดังนั้นถ้ามองในแง่การเติบโตของกำไร ซื้อแค่ Kbank/SCB
แต่ถ้า Conservative เน้นมั่นคง เลือก BBL เพราะ P/BV มันแค่ 1.1 เท่า เท่านั้นเอง
ราคาอนาคตจะเป็นเช่นนี้
Kbank/SCB เทรดตาม PE เพราะ ROE มันสูงถึง 20 %
ส่วน BBL เทรดตาม P/BV
สมมุตินะ ถ้าโต 10%(และรักษา ROE 20% ไว้ได้) คิดเล่นๆ
2015 Kbank E = 21.8
2016 KBank E = 24
2017 Kbank E = 26.5
ดังนั้น Kbank อีกสามปี 312 บาท
ถ้าซื้อวันนี้ที่ 227 คิดเป็นกำไร 12% ต่อปี
BBL
BV 167 อีกสามปีกำไร 20+21+22 ดังนั้น BV 227
เทรดที่ 1.1 เท่า BV ราคา 249(รวมปันผลแล้วนะ) และจากสถิติย้อนหลัง BBL ไม่เคยเทรดต่ำกว่า P/BV 1.1 เท่า ยกเว้น Subprime
ถ่าซื้อวันนี้ที่ 185 คิดเป็นกำไร 11% ต่อปี
จะเห็นว่า Kbank ดีกว่า
แต่ถ้า BBL หันมาเน้น SME/รายย่อย แล้วล่ะก็ ก็อาจจะได้ผลตอบแทนดีขึ้น
แต่ BBL มันดูแบบคนแก่อะ ไม่เข้ากับเด็กยุคใหม่
ส่วนตัวให้ Kbank เหนือกว่า
ถ้าให้เลือกตัวเดียวคงเลือก Kbank
แต่ชีวิตจริงเลือกหลายตัวได้
ก็จะเลือก
KBANK 60-70% เพราะดูศักยภาพในการแข่งขันสูง วิสัยทัศน์ผบหเยี่ยมยอด และตอบรับกับกระแสคนรุ่นใหม่ชัดเจนเช่น Mobile banking
SCB 10-20 % กระจายความเสี่ยงได้ SCBlif
BBL 20 % คือมันถูกในแง่ P/BV 1.1 เท่า และมีปันผลหล่อเลี้ยงระหว่างทางทำให้ราคาหุ้นจะผันผวนน้อยกว่าตัวอื่น
ราคาที่ลงทุนได้คิดมั่วๆน่าจะ
BBL < 185
Kbank < 225
ถิอว่าแชร์ไอเดียนะครับ
Kbank PE 12
SCB PE 12
KTB PE 8-9
BBL PE 10
ถ้ามองแต่ PE ต้องเลือก KTB > BBL > SCB > Kbank
แต่ถ้ามอง Growth KBank/SCB 8-10%
BBL 3-5 %
KTB ไม่รู้ประเมินยาก
ปันผล BBL 3.5 KTB 3.8 SCB/Kbank1.5%
ดังนั้นถ้ามองในแง่การเติบโตของกำไร ซื้อแค่ Kbank/SCB
แต่ถ้า Conservative เน้นมั่นคง เลือก BBL เพราะ P/BV มันแค่ 1.1 เท่า เท่านั้นเอง
ราคาอนาคตจะเป็นเช่นนี้
Kbank/SCB เทรดตาม PE เพราะ ROE มันสูงถึง 20 %
ส่วน BBL เทรดตาม P/BV
สมมุตินะ ถ้าโต 10%(และรักษา ROE 20% ไว้ได้) คิดเล่นๆ
2015 Kbank E = 21.8
2016 KBank E = 24
2017 Kbank E = 26.5
ดังนั้น Kbank อีกสามปี 312 บาท
ถ้าซื้อวันนี้ที่ 227 คิดเป็นกำไร 12% ต่อปี
BBL
BV 167 อีกสามปีกำไร 20+21+22 ดังนั้น BV 227
เทรดที่ 1.1 เท่า BV ราคา 249(รวมปันผลแล้วนะ) และจากสถิติย้อนหลัง BBL ไม่เคยเทรดต่ำกว่า P/BV 1.1 เท่า ยกเว้น Subprime
ถ่าซื้อวันนี้ที่ 185 คิดเป็นกำไร 11% ต่อปี
จะเห็นว่า Kbank ดีกว่า
แต่ถ้า BBL หันมาเน้น SME/รายย่อย แล้วล่ะก็ ก็อาจจะได้ผลตอบแทนดีขึ้น
แต่ BBL มันดูแบบคนแก่อะ ไม่เข้ากับเด็กยุคใหม่
ส่วนตัวให้ Kbank เหนือกว่า
ถ้าให้เลือกตัวเดียวคงเลือก Kbank
แต่ชีวิตจริงเลือกหลายตัวได้
ก็จะเลือก
KBANK 60-70% เพราะดูศักยภาพในการแข่งขันสูง วิสัยทัศน์ผบหเยี่ยมยอด และตอบรับกับกระแสคนรุ่นใหม่ชัดเจนเช่น Mobile banking
SCB 10-20 % กระจายความเสี่ยงได้ SCBlif
BBL 20 % คือมันถูกในแง่ P/BV 1.1 เท่า และมีปันผลหล่อเลี้ยงระหว่างทางทำให้ราคาหุ้นจะผันผวนน้อยกว่าตัวอื่น
ราคาที่ลงทุนได้คิดมั่วๆน่าจะ
BBL < 185
Kbank < 225
ถิอว่าแชร์ไอเดียนะครับ
แสดงความคิดเห็น
วิเคราะห์หุ้นธนาคารควรดูอะไรครับ