สำนักข่าวอาร์ที ของรัสเซียรายงานว่า ครูสอนศาสนาอิสลามชาวคูเวตได้เรียกร้องให้ชาวมุสลิมทำลายสฟิงซ์และพีระมิดของอียิปต์ โดยอ้างว่าถึงเวลาแล้วที่ชาวมุสลิมต้องทำลายมรดกของพวกฟาโรห์ที่อ้างตัวเป็นเทพเจ้า ซึ่งคำเรียกร้องนี้มีขึ้นไม่นานหลังจากกลุ่มไอเอสทำลายโบราณสถานอายุกว่าพันปีไปหลายแห่ง
http://www.matichon.co.th/online/2015/03/14259874351425987470l.jpg
ทางด้านสำนักข่าวอัล-วาทันของประเทศโอมาน รายงานคำกล่าวของนายอิบราฮิม อัล-คันดารี ครูสอนศาสนาชาวคูเวตว่า แม้อนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์โบราณต่างๆ จะมิได้สร้างขึ้นด้วยเหตุผลทางศาสนา แต่เป็นเหตุผลทางจารีตและปัจจุบันถือเป็นอุทยานทางประวัติศาสตร์ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของชาวมุสลิม เพื่อยุติการกราบไหว้รูปภาพ หรือรูปปั้นต่างๆ
นายอัล-คันดารีกล่าวด้วยว่า "แม้ชาวมุสลิมกลุ่มแรกซึ่งเป็นศิษยานุศิษย์ของศาสดามูฮัมหมัด จะมิได้ทำลายอนุสรณ์สถานของฟาโรห์เมื่อครั้งเดินทางไปอียิปต์ แต่นั่นมิใช่สาเหตุที่เราจะไม่ทำลายสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ในยุคของเรา"
การเรียกร้องให้ทำลายสัญลักษณ์ของอียิปต์ยังมาจากฝั่งของกลุ่มไอเอสเช่นกัน โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีรายงานข่าวจากสำนักข่าวอัล-อาลามของอิหร่านว่า ผู้นำกลุ่มไอเอสนายอาบูบักร์ อัล-บัฆดาดี ยืนยันว่าการทำลายรูปเคารพและอนุสรณ์สถานในประวัติศาสตร์ เป็นหน้าที่ผูกพันทางศาสนาของชาวมุสลิม ทั้งนี้ ไอเอสตีความอย่างสุดโต่งว่าไม่ควรมีวัตถุใดๆถูกสร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าทั้งในแง่ของการยกย่องหรือบูชา
มีรายงานด้วยว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลุ่มไอเอสได้ทำลายโบราณสถานของอารยธรรมอัสซีเรียนโบราณทางตอนเหนือของซีเรีย, ทำลายซากเมืองฮาทราซึ่งเป็นเมืองมรดกโลกในทำเนียบของยูเนสโก และทำลายโบราณสถานในเมืองนิมรุดใกล้เมืองโมซุลในอิรัก สร้างความกังวลไปทั่วโลกต่อความปลอดภัยของโบราณสถานในภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้นำทางศาสนาของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธอิสลาม เรียกร้องให้มีการทำลายโบราณสถาน และโบราณวัตถุของอารยธรรมอียิปต์โบราณ แม้แต่ครูสอนศาสนาของอียิปต์เองก็เคยเรียกร้องในปี 2012 ให้ทำลายวัตถุเหล่านี้ สมาชิกขบวนการซาลาฟีย์ซึ่งเป็นองค์กรทางศาสนาหัวรุนแรงกล่าวว่าพวกเขาต้องการทำลายวัตถุเคารพเหล่านี้ เช่นเดียวกับที่ศาสดามูฮัมหมัดเคยทำในเมืองเมกกะ และยังเรียกร้องให้ยุบกระทรวงการท่องเที่ยว ซึ่งพวกเขากล่าวว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่ชั่วร้ายไม่ต่างจากการค้าประเวณีและการประพฤติผิดในกาม
เจ้าหน้าที่อียิปต์ได้เคยออกมาประณามการแสดงความเห็นของบรรดากลุ่มเคร่งศาสนาเหล่านี้ และอ้างว่าโบราณสถานตลอดจนโบราณวัตถุต่างๆ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำชาติมิใช่วัตถุทางศาสนา
เชื่อกันว่าการทำลายจมูกสฟิงซ์ เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน และแม้จะมีหลายทฤษฎีกล่าวถึงสาเหตุของความเสียหาย รวมถึงการใช้ปืนใหญ่เข้าทำลายโดยฝีมือของกองทหารนโปเลียนซึ่งเป็นทฤษฎีที่หลายคนให้การสนับสนุน นักประวัติศาสตร์จำนวนมากก็เชื่อว่าจมูกสฟิงซ์ ถูกทำลายโดยชาวมุสลิมนิกายซูฟีย์ชื่อ มูฮัมหมัด ซา′อิม อัล-ดาห์ร ในยุคศตวรรษที่ 14 หลังจากที่เขาเห็นคนท้องถิ่นนำสิ่งของต่างๆ มาถวายสฟิงซ์เพื่อวิงวอนให้ได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์
ต้านรูปเคารพ! ครูสอนศาสนาชาวคูเวต เห็นด้วย"ไอเอส"ทำลาย"สฟิงซ์-พีระมิด"อียิปต์
http://www.matichon.co.th/online/2015/03/14259874351425987470l.jpg
ทางด้านสำนักข่าวอัล-วาทันของประเทศโอมาน รายงานคำกล่าวของนายอิบราฮิม อัล-คันดารี ครูสอนศาสนาชาวคูเวตว่า แม้อนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์โบราณต่างๆ จะมิได้สร้างขึ้นด้วยเหตุผลทางศาสนา แต่เป็นเหตุผลทางจารีตและปัจจุบันถือเป็นอุทยานทางประวัติศาสตร์ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของชาวมุสลิม เพื่อยุติการกราบไหว้รูปภาพ หรือรูปปั้นต่างๆ
นายอัล-คันดารีกล่าวด้วยว่า "แม้ชาวมุสลิมกลุ่มแรกซึ่งเป็นศิษยานุศิษย์ของศาสดามูฮัมหมัด จะมิได้ทำลายอนุสรณ์สถานของฟาโรห์เมื่อครั้งเดินทางไปอียิปต์ แต่นั่นมิใช่สาเหตุที่เราจะไม่ทำลายสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ในยุคของเรา"
การเรียกร้องให้ทำลายสัญลักษณ์ของอียิปต์ยังมาจากฝั่งของกลุ่มไอเอสเช่นกัน โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีรายงานข่าวจากสำนักข่าวอัล-อาลามของอิหร่านว่า ผู้นำกลุ่มไอเอสนายอาบูบักร์ อัล-บัฆดาดี ยืนยันว่าการทำลายรูปเคารพและอนุสรณ์สถานในประวัติศาสตร์ เป็นหน้าที่ผูกพันทางศาสนาของชาวมุสลิม ทั้งนี้ ไอเอสตีความอย่างสุดโต่งว่าไม่ควรมีวัตถุใดๆถูกสร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าทั้งในแง่ของการยกย่องหรือบูชา
มีรายงานด้วยว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลุ่มไอเอสได้ทำลายโบราณสถานของอารยธรรมอัสซีเรียนโบราณทางตอนเหนือของซีเรีย, ทำลายซากเมืองฮาทราซึ่งเป็นเมืองมรดกโลกในทำเนียบของยูเนสโก และทำลายโบราณสถานในเมืองนิมรุดใกล้เมืองโมซุลในอิรัก สร้างความกังวลไปทั่วโลกต่อความปลอดภัยของโบราณสถานในภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้นำทางศาสนาของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธอิสลาม เรียกร้องให้มีการทำลายโบราณสถาน และโบราณวัตถุของอารยธรรมอียิปต์โบราณ แม้แต่ครูสอนศาสนาของอียิปต์เองก็เคยเรียกร้องในปี 2012 ให้ทำลายวัตถุเหล่านี้ สมาชิกขบวนการซาลาฟีย์ซึ่งเป็นองค์กรทางศาสนาหัวรุนแรงกล่าวว่าพวกเขาต้องการทำลายวัตถุเคารพเหล่านี้ เช่นเดียวกับที่ศาสดามูฮัมหมัดเคยทำในเมืองเมกกะ และยังเรียกร้องให้ยุบกระทรวงการท่องเที่ยว ซึ่งพวกเขากล่าวว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่ชั่วร้ายไม่ต่างจากการค้าประเวณีและการประพฤติผิดในกาม
เจ้าหน้าที่อียิปต์ได้เคยออกมาประณามการแสดงความเห็นของบรรดากลุ่มเคร่งศาสนาเหล่านี้ และอ้างว่าโบราณสถานตลอดจนโบราณวัตถุต่างๆ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำชาติมิใช่วัตถุทางศาสนา
เชื่อกันว่าการทำลายจมูกสฟิงซ์ เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน และแม้จะมีหลายทฤษฎีกล่าวถึงสาเหตุของความเสียหาย รวมถึงการใช้ปืนใหญ่เข้าทำลายโดยฝีมือของกองทหารนโปเลียนซึ่งเป็นทฤษฎีที่หลายคนให้การสนับสนุน นักประวัติศาสตร์จำนวนมากก็เชื่อว่าจมูกสฟิงซ์ ถูกทำลายโดยชาวมุสลิมนิกายซูฟีย์ชื่อ มูฮัมหมัด ซา′อิม อัล-ดาห์ร ในยุคศตวรรษที่ 14 หลังจากที่เขาเห็นคนท้องถิ่นนำสิ่งของต่างๆ มาถวายสฟิงซ์เพื่อวิงวอนให้ได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์