ตะลุยทริปคันไซ ตอนที่ 5 : One Day Trip in Kobe

ตอนที่ 1 Let’s go to Kansai : http://ppantip.com/topic/32914644

ตอนที่ 2 Arashiyama Area : http://ppantip.com/topic/32915035

ตอนที่ 3 Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple : http://ppantip.com/topic/32930122

ตอนที่ 4 Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion : http://ppantip.com/topic/33344724

ตอนที่ 5 One Day Trip in Kobe : http://ppantip.com/topic/33349966

มาถึงตอนที่ 5 ของทริปคันไซกันแล้ว ในตอนนี้เราจะเปลี่ยนบรรยากาศจากที่มีแต่วัดและใบไม้เปลี่ยนสีกันบ้าง เดี๋ยวจะเลี่ยนซะก่อน วันนี้เราจะไปเที่ยวเมืองโกเบกัน หลายคนฟังแล้วอาจจะรู้จักเมืองนี้แค่ชื่อของเนื้อชั้นดีเท่านั้น แต่ความเป็นจริงโกเบมีอะไรที่น่าค้นหากว่านี้มาก ถึงขนาดที่ว่าระหว่างที่กำลังแต่งภาพเมืองโกเบยังอยากจะซื้อตั๋วไปซ้ำอีกรอบกันเลยทีเดียว มาดูกันว่าเมืองท่าแห่งภูมิภาคคันไซมีอะไรที่จะทำให้เราประทับใจกันบ้าง ตามมาเลย

มาทำความรู้จักกับเมืองนี้กันสักหน่อย โกเบ เป็นชื่อเมืองหลวงของจังหวัดเฮียวโงะ อยู่ทางซ้ายของเมืองโอซาก้า เป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะการค้าขายกับชาวต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจอย่างมากมายจนทำให้เมืองโกเบได้รับวัฒนธรรมตะวันตกผสมผสานกันอย่างลงตัว ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจถ้าจะเห็นพวกบ้านเรือนต่างๆ หรืออาหารการกินดูละม้ายคล้ายคลึงกับสไตล์ยุโรป ซึ่งเมืองท่าอื่นๆ ในประเทศญี่ปุ่นอย่างนางาซากิหรือโยโกฮาม่าบรรยากาศก็จะเป็นแนวผสมกันทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าชาติไหนที่มาค้าขายด้วย

สำหรับการเดินทางไปยังโกเบนั้นง่ายมาก ให้เริ่มจากโอซาก้า สถานีอุเมดะ (Umeda) วิธีการคล้ายกับตอนที่ไปเกียวโตนั่นแหละ แต่ครั้งนี้ให้ขึ้นสาย Hankyu Kobe Line โดยใช้บัตร Kansai Thru Pass มาลงที่สถานี Hankyu Sannomiya ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง

ถึงสถานี Sannomiya แล้ว วันนี้ฟ้าสดใสมาก ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ให้เดินออกมาด้านนอกสถานีก่อนเลยเพราะเราจะไปนั่งรถรอบเมืองกัน

ในเมืองโกเบเองเราสามารถเดินทางไปยังสถานที่ได้ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งก็ต้องทำความเข้าใจเส้นทาง แต่ถ้าใครที่มีเวลาน้อยอย่างเช่นผมเองที่มาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับไม่ได้ค้างคืนก็ขอแนะนำให้ใช้บริการรถ City-Loop Bus เพราะรถคันนี้จะวิ่งรอบตัวเมืองโกเบและผ่านสถานที่เที่ยวสำคัญเกือบทุกแห่งในราคาเหมา 1 วัน จะขึ้นกี่รอบก็ได้แค่ 700 เยน สามารถซื้อตั๋วและขึ้นได้เลยที่สถานี Sannomiya ตัวรถจะวิ่งตั้งแต่ 9 โมงเช้า - 6 โมงเย็น ดังนั้นควรวางแผนแต่ละสถานที่ให้ดี หากเที่ยวเพลินตกรถขึ้นมาอาจจะต้องเสียค่าแท็กซี่แทน

สถานที่แรกที่ผมมาด้วยรถ City-Loop Bus คือย่านบ้านพักชาวต่างชาติ (Kitano Ijikan) ลงป้ายหมายเลข 10 ในอดีตชาวตะวันตกมักจะมาทำธุรกิจการค้าขายกับชาวญี่ปุ่นที่โกเบแห่งนี้เนื่องจากเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ดังนั้นจึงมีที่พักใกล้กับแถบท่าเรือ ต่อมาเมื่อมีการค้าขายมากขึ้น ชาวตะวันตกจึงมีการปลูกบ้านตามเนินเขาขยับขยายพื้นที่ซึ่งก็คือย่านคิตาโนะแห่งนี้

ลักษณะของการเดินเที่ยวย่านคิตาโนะจะแบ่งเป็นซอยต่างๆ ตามเนินเขา เวลาเดินจะชันนิดนึง แนะนำให้เดินทางด้านบนก่อน

อย่างที่บอกไปว่าทางเดินค่อนข้างชัน พอมาเจอจุดนี้แล้วรู้เลยว่าสร้างที่นั่งไว้ทำไม สำหรับคนสูงอายุที่ใครที่เหนื่อยง่ายถ้าเหนื่อยก็พัก ไม่ต้องรีบนะ

ตามทางเดินเราสามารถเห็นฝาท่อได้เป็นปกติแต่ที่ญี่ปุ่นมีความพิเศษตรงที่ลายฝาท่อจะมีลวดลายตามจังหวัดนั้นๆ คนที่ไปญี่ปุ่นบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะรู้ดีว่าต้องถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก

ระหว่างเดินอยู่เห็นของหวานประจำถิ่นอย่างคิทแคทรสโกเบพุดดิ้ง และพุดดิ้งราดคาราเมล ใครที่ยังไม่เคยลองก็ซื้อมาชิมกันได้

เดินมาสักพักก็เจอกับพิพิธภัณฑ์แล้ว สำหรับย่านคิตาโนะแห่งนี้มีพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดอยู่ 9 แห่ง การจะเข้าไปชมแต่ละแห่งก็ต้องซื้อตั๋วเข้าชมหรือซื้อแบบเหมาโดยคิดราคา 4 แบบด้วยกันคือ

เข้า 3 แห่ง ราคา 1,300 เยน

เข้า 4 แห่ง ราคา 2,000 เยน

เข้า 5 แห่ง ราคา 2,200 เยน

เข้า 9 แห่ง ราคา 3,500 เยน

ด้วยเวลาที่จำกัดผมเลยซื้อแบบเข้า 5 แห่ง โดยเริ่มที่แรกคือ Uroko Museum

Uroko Museum เป็นคฤหาสต์ทรงยุโรปที่มีจุดเด่นคือป้อมแฝดโดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางพื้นที่เป็นสวนกว้างที่จะเห็นรูปปั้นรูปหมูป่าตั้งอยู่ หมูป่าตัวนี้ชื่อ Porcellino มีความเชื่อว่าหากใครลูกจมูกจะได้รับพรแห่งความโชคดี

ผนังลายเกล็ดปลา เอกลักษณ์ภายนอกที่สะดุดตาต่อนักท่องเที่ยวทุกคน

ด้านในมีการจำลองห้องทำงานต่างๆ เอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างก็ยังเป็นของเดิมๆ ทำให้เราได้เห็นถึงกลิ่นอายการอยู่พักอาศัยของชาวตะวันตกได้อย่างชัดเจน

กิจกรรมยอดฮิตเวลานักท่องเที่ยวมาคือการใส่ชุดสไตล์ยุโรปถ่ายคู่กับอาคารราวกับอยู่ต่างประเทศ

หลังต่อมาคือ Yamate Hachibankan เป็นคฤหาสน์สไตล์ทิวดอร์ที่สร้างขึ้นในช่วงปลายยุคเมจิ จัดแสดงพวกประติมากรรมและงานศิลปะหลายชนชาติเอาไว้

โดยหนึ่งในศิลปะที่เราคุ้นเคยนำมาจัดแสดงก็คือพระพุทธรูป

ห้องนอนจำลองสุดหรูหราอลังการ

อดีตกงสุลจีน (Former Chinese Consulate) สำหรับหลังนี้ถึงไม่บอกว่าจากประเทศไหนก็เดาได้ไม่ยากเพราะพวกเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งบอกกลิ่นอายความเป็นจีนได้เป็นอย่างดี

ฝาท่ออีกแบบ คราวนี้มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยม มีรูปแลนด์มาร์คอย่างโกเบพอร์ททาวเวอร์ชัดเจน

Weather Cock House คฤหาสน์ทรงโกธิคสร้างจากอิฐสีแดงพร้อมกับตราไก่บนยอดหลังคา เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สำคัญอีกแห่งของย่านนี้ก็ว่าได้

อีกหนึ่งมุมมหาชนของนักท่องเที่ยวคือการถ่ายภาพ Weather Cock House หันออกไปเห็นเมืองโกเบระยะไกล ให้เดินขึ้นไปทางที่เป็นศาลเจ้า ด้านบนสุดจะเห็นมุมนี้เลย

รูปปั้นชาวต่างชาติในอิริยาบถต่างๆ เห็นได้ทั่วไปแถวๆ Weather Cock House

ที่ลานนี้คล้ายกับลานกิจกรรมที่ให้คนมาทำอะไรก็ได้ อย่างตอนที่ผมไปมีแสดงมายากลจากลิง น่ารักดี ใครชอบก็ให้เงินเป็นสินน้ำใจ ส่วนที่เห็นในภาพไกลๆ ก็มีพวกศิลปินวาดภาพเหมือนเยอะเหมือนกัน

ถ้าพูดถึงขนมแล้วก็ต้องยกให้ชีสเค้กเป็นอันดับหนึ่งเลย ในย่านนี้มีชีสเค้กรสชาติดีให้เราเลือกซื้ออยู่หลายร้าน อย่างร้านนี้ราคา 1,400 เยน แต่ได้ทั้งบาร์เลย รสชาติกลมกล่อมหอมกลิ่นนมและชีสสุดๆ แถมยังได้ปริมาณเยอะมาก กินกัน 5 คน ได้สบายๆ สาวกชีสเค้กทั้งหลายไม่ควรพลาด

ไม่มีใครไม่รู้จักกาแฟแบรนด์ที่ชื่อว่า สตาร์บัคส์ โดยเฉพาะคนไทยที่ไม่รู้ว่าชอบดื่มที่รสชาติหรือเป็นแฟชั่นกันแน่ แต่แบบไหนก็ช่างที่โกเบก็มีร้านไว้บริการเป็นที่เรียบร้อย รับรองว่าด้วยบรรยากาศและการตกแต่งของร้านยิ่งทำให้นักดื่มกาแฟตัวยงทั้งหลายต่างหลงรักมากขึ้นเป็นกอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่