- Day 1 : Kinosaki - แช่ออนเซ็นท่ามกลางหิมะ -
http://ppantip.com/topic/34196389
- Day 2 : Izushi - เสาโทริ & เส้นโซบะ -
http://ppantip.com/topic/34198470
- Day 3 : Kobe - มีอะไรมากกว่าเเค่สเต็ก -
http://ppantip.com/topic/34201976
- Day 4 : Osaka - พุงป่อง กระเป๋าเเฟ่บ -
http://ppantip.com/topic/34214910
- Day 5 : Kyoto - ย้อนเวลาในชุด กิโมโน -
http://ppantip.com/topic/34227536
ตื่นมาพร้อมกับท้องฟ้าสดใส หิมะที่ตกหนักก็เริ่มเบาลง เหลือเพียงเจ้าหิมะก้อนกลมๆ ที่เกาะอยู่บนต้นไม้ และกองอยู่บนพื้น เราออกเดินทางกันแต่เช้า ฟ้ายังไม่สว่างดีเลย ได้ภาพท้องฟ้าสีชมพูสวย ตัดกับหิมะสีขาว
Goodbye Kinosaki!
เดินทางไป Kobe กัน โกเบ เมืองแห่งสเต็ค (คิดเรื่องกินก่อนเรื่องอื่นเสมอ) ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเราก็มาถึงโกเบ มองออกไปดูทัศนียภาพด้านนอก ก็รู้สึกแปลกนิดๆ เมื่อ 2-3 ชั่วโมงที่แล้วยังอยู่บนเขา ที่มีแต่หิมะอยู่เลย แป๊บเดียวเราก็มาอยู่ริมทะเล แดดจ้าสดใสแล้ว
Akashi Kaikyo Bridge - สะพานเเขวนที่ยาวที่สุดในโลก
จุดหมายเราก็คือสถานี Sannomiya ซึ่งเป็นสถานีหลัก ที่อยู่ใจกลางเมืองโกเบ จากสถานีรถไฟเดินไปนิดเดียวก็ถึงโรงแรม ที่เราจะพักคืนนี้และ คืนนี้เราพักโรงแรม ชื่อ The B Kobe โรงแรมนี้ค่อนข้างใหม่และ Modern อยู่กลางเมืองเลยด้วย ที่ Lobby ของโรงแรม จะมีเครื่องทำกาแฟสด เราสามารถไปทำกินเองได้เลย (ถูกใจก็ตรงนี้แหละ) ราคาคืนละ 8,100 เยน (ประมาณ 2,400 บาท)
จากสถานี Sannomiya ไป รร The B Kobe
Credit Photo: Google Map
The B Kobe
Credit Photo:
www.booking.com
เก็บกระเป๋าเสร็จ เราก็ออกสำรวจเมืองกันเลย เราขอแผนที่เมือง Kobe จากทางโรงแรม มาดูด้วย ดูจากแผนที่ก็เห็นว่าหลังโรงแรม มีศาลเจ้าเล็กๆชื่อ Ikuta Shrine เราก็เลยดินแวะไปถ่ายรูปสักหน่อย
Ikuta Shrine
กำลังชื่นชมความจี๊ดของรองเท้าตัวเองอยู่
เดินไปทางซ้ายของศาลเจ้า ตรงไปนิดหน่อยก็จะเจอถนนเส้นหลัก เราก็เดินข้ามไป แล้วเดินไปทางขวาเรื่อยๆ ตอนนี้สายตาเราเริ่มสอดส่องหาของหวานๆ กินและ ... เดินมาสักพักก็มาสะดุดกับร้านนี้
Nishimura's Coffee
(ในรูปนั่นเรา เดินดุ่มๆ ด้วยความหิว ไม่รอคุณแฟนเลย)
ที่สะดุด เพราะตึกของร้านมันสวยนี่แหละ แถมมีรูปเครื่องบดกาแฟโบราณเป็น logo ร้านอีกด้วย เราก็มโนเอาว่ามันต้องดีแน่ร้านนี้ .. เลี้ยวเข้าไปกันเลย
ร้านมีชื่อว่า Nishimura's Coffee เราเข้าไปปุ๊บก็สั่งกาแฟทันที (ตอนเช้าถ้าไม่ได้กินกาแฟ เหมือนคนไม่มีวิญญาณ โลกก็ไม่สดใส แถมคนข้างๆพูดอะไรก็ไม่เข้าหู..อาการเดียวกะคนโมโหหิวนั่นเอง)
และแล้ว Hot Latte ของเราก็มาเสิร์ฟ มีวิปครีมนุ่มๆข้างบน แถมมีแท่ง Cinnamon มาให้ใช้คนอีกด้วย ยิ่งคนก็ยิ่งหอมมม กลิ่นซินนามอน ไม่ผิดหวังจริงๆ ร้านนี้
บรรยากาศในร้านก็ดูหรูหรา เหมือนอยู่ในยุโรป ร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ สีโทนอบอุ่น
เมนูของร้าน
Hot Latte เพิ่มความเก๋ด้วยแท่ง Cinnamon เอาไว้ให้คน
อีกเมนูคือของคุณแฟน อันนี้ขอสารภาพว่าจำชื่อไม่ได้จริงๆ เป็นน้ำแข็งใส เสิร์ฟมาพร้อมกับไอติมวนิลาหนึ่งก้อน รสชาติดีไม่แพ้กาแฟ แถมหน้าตายังดีอีกต่างหาก
กินของหวานๆเสร็จ นางมารก็แปลงร่างกลับมาเป็นนางฟ้าเหมือนเดิม
คนข้างๆ ก็รอดตัวไป กลับมาเดิน Happy ดีด๊าโพสท่าถ่ายรูปต่อได้
เป้าหมายต่อไปของเราคือโซนหมู่บ้านฝรั่ง คือเป็นที่ๆฝรั่งที่มาค้าขายที่ญี่ปุ่นสมัยก่อนมาสร้างบ้านไว้ โดยจะสร้างไว้บนเนินเขา ละแวกนี้เรียกว่า Kitano Ijikan ตลอดสองข้างทางนอกจากจะมีบ้านสไตล์ฝรั่งแล้ว ก็ยังมีร้านอาหารฝรั่งเยอะแยะไปหมด
เดินไปสักพักก็มาเจอร้านหน้าตาคุ้นๆ เมืองไทยก็มี...Starbuck นั่นเอง ร้านตกแต่งได้เข้ากับบ้านในละแวกนี้มาก
ของอีกอย่างที่พลาดไม่ได้เมื่อมา Kobe ก็คือ พุดดิ้ง เรียกว่าเป็นของประจำเมืองของเค้าเลยก็ได้ มีรสให้เลือกมากมายตั้งแต่เบสิคอย่าง วานิลลา สตรอเบอรี่ ช็อคโกแลต ยันรสชาติแปลกๆ เช่น ชีส มันเทศ มะม่วง เราเดินไป กินไป เดินไป กินไป (ไม่ได้เผลอเขียนซ้ำนะ 5555 เดินไป กินไป ตลอดทางจริงๆ) แล้วก็... ลืมถ่ายรูป!!!! มัวแต่กิน
ถึงทางจะชัน แต่เพราะสองข้างทางมีร้านน่าสนใจตลอด แป๊บเดียวเราก็มาถึงจุดศูนย์กลางของหมู่บ้านฝรั่ง
จุดแรกที่ผู้คนมักจะมาก็คือที่ลานหน้าบ้าน Weather Cock House เป็นบ้านที่มีเจ้าไก่หมุนๆอยู่ข้างบน (Weather cock ภาษาไทยเรียกอะไรเราไม่รู้อะ ไอไก่ที่มันหมุนๆ เวลาโดนลมพัดอะ) ที่นี่นอกจากจะถ่ายรูปสวยแล้ว ยังมักจะมีการแสดงมาเล่นให้นักท่องเที่ยวชมฟรีๆ กันอีกด้วย
น้องหมาตัวนี้ก็มานั่งดูการแสดงด้วย
Weather Cock House เห็นไก่อยู่ด้านบนมั้ย
ข้างๆ Weather cock House เป็นบ้านสีเขียวอ่อนๆ ชื่อ Moegi House สีเขียวอ่อนสวย เข้ากับต้นไม้ที่ปลูกไว้รอบบริเวณบ้าน
Moegi House
ท่ามกลางหมู่บ้านฝรั่งนี้ มีสิ่งแปลกแยกอยู่อันนึง นั่นก็คือ มีศาลเจ้าญี่ปุ่นตั้งเด่นอยู่บนเนินเขา หลัง Weather cock House เลย และนี่ก็เป็นหนึ่งในที่ๆเราอยากไป ถือว่าเป็น "A Must" ของเมืองนี้สำหรับเราเลยก็ได้ เพราะ ที่นี่คือศาลเจ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความรักนั่นเอง!!! จะไม่แวะได้ไง
แต่กว่าจะได้ขึ้นไปขอพรเรื่องความรัก ก็ตั้งฟันฝ่าอุปสรรคกันสักหน่อย (ก็เหมือนทุก Relationship อะเนอะ มันต้องมีอุปสรรคบ้าง) อุปสรรคในที่นี้ก็คือ บันไดสูงชันที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั่นเอง
บันไดทางขึ้น สองข้างทางจะมีโคมไฟแขวนอยู่ตลอด
ขึ้นไปถึงก็จะได้เห็นวิวสวยๆ บริเวณ เป็นรางวัล
ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อว่า Kitano Tenman สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1180 บรรยากาศข้งในเงียบสงบ เหมาะแก่การมานั่งพักหลบหนีความวุ่นวาย
พักชมวิวจนหายเหนื่อยแล้ว สายตาเราก็สอดส่องหา "Item"ที่เรา ต้องการทันที ... สิ่งที่เราตามหาคือ แผ่นป้ายขอพรรูปหัวใจนั่นเอง
ป้ายขอพรรูปหัวใจนี่แหละ คือ Sweet Gimmick เคล็ดลับเพิ่มความหวาน อย่างแรกของเมืองโกเบ... การได้มานั่งเขียนข้อความขอพรเรื่องความรักด้วยกัน มันก็เหมือนการให้สัญญากัน บอกสิ่งที่คน 2 คนต้องการ และตั้งใจจะทำให้เป็นจริงในอนาคต (แค่นี้ก็รู้สึกซึ้งแล้วเนอะ) ... ว่าแล้วก็ซื้อมาเขียนสิ่งที่อยากให้เทพเจ้าช่วยเหลือลงไป
จริงๆอยากลงรายละเอียดเยอะนะ (จงรัก จงหลง จงมาขอชั้นแต่งงานเร็วๆ ....
)
แต่แผ่นมันเล็กนิดเดียวเอง เลยขอสั้นๆละกัน เขียนเสร็จก็เอาไปแขวนไว้
ไม่ได้เอากลับบ้าน ก็ขอแค่ให้ได้ถ่ายรูปกลับมาเป็นที่ระลึกละกันเนอะ ถ้าใครได้ไปโกเบอย่าลืมแวะไปนะ คนโสดก็ไปขอให้มีคู่ได้เหมือนกัน
เอาหละ เล่นของเสร็จละ รู้สึกถึงพลังขึ้นมาทันที เดินลุยขึ้นเนิน เที่ยวบ้านฝรั่งกันต่อไป ยิ่งเดินก็ยิ่งชัน จึงอยากจะแนะนำสาวๆทั้งหลายว่า ควรใส่รองเท้าที่เดินง่ายๆ ส้นสูงนี่ ไม่ควร พูดจากประสบการณ์ตรงเลยอันนี้ เพราะเราใส่ไปสูงปรี๊ด
ใครชอบความสะดวกสบายอย่าเอาเป็นตัวอย่าง แต่ถ้าใครถือคติ "อยากสวยต้องทน" ก็จัดไป แต่เดินกันระวังๆนะ มันชันจริงๆ
ส้นสูง "อยากสวยต้องทน" จริงๆ
เดินไปไม่นานก็ถึงจุดหมายถัดไป คือ Dutch Museum ที่นี่เป็นบ้านที่ทำเป็น พิพิธภัณฑ์น้ำหอม นอกจากจะมีขวดน้ำหอมตั้งโชว์แล้ว เค้ายังโฆษณาว่าเราสามารถเข้าไป ปรุงน้ำหอมกลิ่นของเราเองได้อีกด้วย คนที่ชอบอะไรแนว DIY และ customize อย่างเราไม่พลาดอยู่แล้ว
จุดขายตั๋ว ค่าเข้า 700 เยน
ข้างในจะมีการจัดแสดงโชว์ของแต่งบ้าน และรูปภาพศิลปะ
ของตกแต่งภายใน Dutch Museum
รวมถึงเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของคนที่เคยอาศัยที่นี่
ชุดแต่งงานวางโชว์บนเตียง แอบหลอน
เดินดูไปได้สักพัก ก็ถึงโซนที่เค้าจัดให้เราเข้าไปทำน้ำหอม แต่ปรากฎว่า ไม่มีภาษาอังกฤษเลย !!
เจ้าหน้าที่กำลังอธิบายเกี่ยวกับการทำน้ำหอม
สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง บวกกับคนมุงอยู่กันตรงนี้ค่อนข้างเยอะ เราเลยตัดใจ ขอเซฟเวลาไปถ่ายรูปข้างนอกดีกว่า เพราะข้างนอกบ้านก็มีการจัดตกแต่งน่ารักๆ หลายมุม
ถ่ายรูปกับบ้านฝรั่งจนถึงประมาณเที่ยง ท้องเราก็เริ่มร้องโวยวายอีกแล้ว ครั้งนี้ร้องแบบเฉพาะเจาะจงด้วย มันร้องอยากกินสเต็กเนื้อโกเบ ก่อนมาเราก็ได้หาร้านเด็ดเอาไว้แล้ว ก็เลยเริ่มเดินลงเนิน มุ่งตรงไปยังร้านสเต็กทันที
ร้านนี้ชื่อร้าน Wakkoqu (
http://www.wakkoqu.com/english/food.html)
ร้านตั้งอยู่ในตึก ANA Crown Plaza ชั้น 3 จากแถวโซนบ้านฝรั่งไปค่อนข้างไกล แต่สามารถเดินไปได้ ใครที่เดินไม่ไหวสามารถนั่งรถบัส หรือ Taxi ไปได้เลย แต่เราก็บ้าพลังอีกตามเคย... เดิน ! กะว่าจะไปแบบหิวโหย ได้จัดหนักแบบไม่รู้สึกผิด ไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะชั้นเดินเผาผลาญมาแล้ว
ไปถึงร้านก็ต้องช็อค
เพราะทางร้านบอกว่าตอนเที่ยงเต็มหมดแล้ว ต้องรอตอนบ่ายครึ่ง จะรอมั้ย? โห มาขนาดนี้แล้ว เราก็รอหนะสิ เลยไปเดินเล่นในตึกนั้นก่อน
เดินไปสักพักก็ไปเจอกับ Game Arcade เลยเข้าไปเล่นฆ่าเวลาสักหน่อย
นั่งไทม์แมชชีน ไปอนาคตอีก 1 ขม. จะได้กินสเต็คเลย!
[CR] รีวิวเที่ยวฉบับคู่รัก - Winter in Kansai - Day3: Kobe มีอะไรมากกว่าเเค่สเต็ก
- Day 1 : Kinosaki - แช่ออนเซ็นท่ามกลางหิมะ - http://ppantip.com/topic/34196389
- Day 2 : Izushi - เสาโทริ & เส้นโซบะ - http://ppantip.com/topic/34198470
- Day 3 : Kobe - มีอะไรมากกว่าเเค่สเต็ก - http://ppantip.com/topic/34201976
- Day 4 : Osaka - พุงป่อง กระเป๋าเเฟ่บ - http://ppantip.com/topic/34214910
- Day 5 : Kyoto - ย้อนเวลาในชุด กิโมโน - http://ppantip.com/topic/34227536
ตื่นมาพร้อมกับท้องฟ้าสดใส หิมะที่ตกหนักก็เริ่มเบาลง เหลือเพียงเจ้าหิมะก้อนกลมๆ ที่เกาะอยู่บนต้นไม้ และกองอยู่บนพื้น เราออกเดินทางกันแต่เช้า ฟ้ายังไม่สว่างดีเลย ได้ภาพท้องฟ้าสีชมพูสวย ตัดกับหิมะสีขาว
Goodbye Kinosaki!
เดินทางไป Kobe กัน โกเบ เมืองแห่งสเต็ค (คิดเรื่องกินก่อนเรื่องอื่นเสมอ) ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเราก็มาถึงโกเบ มองออกไปดูทัศนียภาพด้านนอก ก็รู้สึกแปลกนิดๆ เมื่อ 2-3 ชั่วโมงที่แล้วยังอยู่บนเขา ที่มีแต่หิมะอยู่เลย แป๊บเดียวเราก็มาอยู่ริมทะเล แดดจ้าสดใสแล้ว
จุดหมายเราก็คือสถานี Sannomiya ซึ่งเป็นสถานีหลัก ที่อยู่ใจกลางเมืองโกเบ จากสถานีรถไฟเดินไปนิดเดียวก็ถึงโรงแรม ที่เราจะพักคืนนี้และ คืนนี้เราพักโรงแรม ชื่อ The B Kobe โรงแรมนี้ค่อนข้างใหม่และ Modern อยู่กลางเมืองเลยด้วย ที่ Lobby ของโรงแรม จะมีเครื่องทำกาแฟสด เราสามารถไปทำกินเองได้เลย (ถูกใจก็ตรงนี้แหละ) ราคาคืนละ 8,100 เยน (ประมาณ 2,400 บาท)
จากสถานี Sannomiya ไป รร The B Kobe
Credit Photo: Google Map
The B Kobe
Credit Photo: www.booking.com
เก็บกระเป๋าเสร็จ เราก็ออกสำรวจเมืองกันเลย เราขอแผนที่เมือง Kobe จากทางโรงแรม มาดูด้วย ดูจากแผนที่ก็เห็นว่าหลังโรงแรม มีศาลเจ้าเล็กๆชื่อ Ikuta Shrine เราก็เลยดินแวะไปถ่ายรูปสักหน่อย
กำลังชื่นชมความจี๊ดของรองเท้าตัวเองอยู่
เดินไปทางซ้ายของศาลเจ้า ตรงไปนิดหน่อยก็จะเจอถนนเส้นหลัก เราก็เดินข้ามไป แล้วเดินไปทางขวาเรื่อยๆ ตอนนี้สายตาเราเริ่มสอดส่องหาของหวานๆ กินและ ... เดินมาสักพักก็มาสะดุดกับร้านนี้
Nishimura's Coffee
(ในรูปนั่นเรา เดินดุ่มๆ ด้วยความหิว ไม่รอคุณแฟนเลย)
ที่สะดุด เพราะตึกของร้านมันสวยนี่แหละ แถมมีรูปเครื่องบดกาแฟโบราณเป็น logo ร้านอีกด้วย เราก็มโนเอาว่ามันต้องดีแน่ร้านนี้ .. เลี้ยวเข้าไปกันเลย
ร้านมีชื่อว่า Nishimura's Coffee เราเข้าไปปุ๊บก็สั่งกาแฟทันที (ตอนเช้าถ้าไม่ได้กินกาแฟ เหมือนคนไม่มีวิญญาณ โลกก็ไม่สดใส แถมคนข้างๆพูดอะไรก็ไม่เข้าหู..อาการเดียวกะคนโมโหหิวนั่นเอง)
และแล้ว Hot Latte ของเราก็มาเสิร์ฟ มีวิปครีมนุ่มๆข้างบน แถมมีแท่ง Cinnamon มาให้ใช้คนอีกด้วย ยิ่งคนก็ยิ่งหอมมม กลิ่นซินนามอน ไม่ผิดหวังจริงๆ ร้านนี้
บรรยากาศในร้านก็ดูหรูหรา เหมือนอยู่ในยุโรป ร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ สีโทนอบอุ่น
เมนูของร้าน
Hot Latte เพิ่มความเก๋ด้วยแท่ง Cinnamon เอาไว้ให้คน
อีกเมนูคือของคุณแฟน อันนี้ขอสารภาพว่าจำชื่อไม่ได้จริงๆ เป็นน้ำแข็งใส เสิร์ฟมาพร้อมกับไอติมวนิลาหนึ่งก้อน รสชาติดีไม่แพ้กาแฟ แถมหน้าตายังดีอีกต่างหาก
กินของหวานๆเสร็จ นางมารก็แปลงร่างกลับมาเป็นนางฟ้าเหมือนเดิม
คนข้างๆ ก็รอดตัวไป กลับมาเดิน Happy ดีด๊าโพสท่าถ่ายรูปต่อได้
เป้าหมายต่อไปของเราคือโซนหมู่บ้านฝรั่ง คือเป็นที่ๆฝรั่งที่มาค้าขายที่ญี่ปุ่นสมัยก่อนมาสร้างบ้านไว้ โดยจะสร้างไว้บนเนินเขา ละแวกนี้เรียกว่า Kitano Ijikan ตลอดสองข้างทางนอกจากจะมีบ้านสไตล์ฝรั่งแล้ว ก็ยังมีร้านอาหารฝรั่งเยอะแยะไปหมด
เดินไปสักพักก็มาเจอร้านหน้าตาคุ้นๆ เมืองไทยก็มี...Starbuck นั่นเอง ร้านตกแต่งได้เข้ากับบ้านในละแวกนี้มาก
ของอีกอย่างที่พลาดไม่ได้เมื่อมา Kobe ก็คือ พุดดิ้ง เรียกว่าเป็นของประจำเมืองของเค้าเลยก็ได้ มีรสให้เลือกมากมายตั้งแต่เบสิคอย่าง วานิลลา สตรอเบอรี่ ช็อคโกแลต ยันรสชาติแปลกๆ เช่น ชีส มันเทศ มะม่วง เราเดินไป กินไป เดินไป กินไป (ไม่ได้เผลอเขียนซ้ำนะ 5555 เดินไป กินไป ตลอดทางจริงๆ) แล้วก็... ลืมถ่ายรูป!!!! มัวแต่กิน
ถึงทางจะชัน แต่เพราะสองข้างทางมีร้านน่าสนใจตลอด แป๊บเดียวเราก็มาถึงจุดศูนย์กลางของหมู่บ้านฝรั่ง
จุดแรกที่ผู้คนมักจะมาก็คือที่ลานหน้าบ้าน Weather Cock House เป็นบ้านที่มีเจ้าไก่หมุนๆอยู่ข้างบน (Weather cock ภาษาไทยเรียกอะไรเราไม่รู้อะ ไอไก่ที่มันหมุนๆ เวลาโดนลมพัดอะ) ที่นี่นอกจากจะถ่ายรูปสวยแล้ว ยังมักจะมีการแสดงมาเล่นให้นักท่องเที่ยวชมฟรีๆ กันอีกด้วย
น้องหมาตัวนี้ก็มานั่งดูการแสดงด้วย
ข้างๆ Weather cock House เป็นบ้านสีเขียวอ่อนๆ ชื่อ Moegi House สีเขียวอ่อนสวย เข้ากับต้นไม้ที่ปลูกไว้รอบบริเวณบ้าน
Moegi House
ท่ามกลางหมู่บ้านฝรั่งนี้ มีสิ่งแปลกแยกอยู่อันนึง นั่นก็คือ มีศาลเจ้าญี่ปุ่นตั้งเด่นอยู่บนเนินเขา หลัง Weather cock House เลย และนี่ก็เป็นหนึ่งในที่ๆเราอยากไป ถือว่าเป็น "A Must" ของเมืองนี้สำหรับเราเลยก็ได้ เพราะ ที่นี่คือศาลเจ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความรักนั่นเอง!!! จะไม่แวะได้ไง
แต่กว่าจะได้ขึ้นไปขอพรเรื่องความรัก ก็ตั้งฟันฝ่าอุปสรรคกันสักหน่อย (ก็เหมือนทุก Relationship อะเนอะ มันต้องมีอุปสรรคบ้าง) อุปสรรคในที่นี้ก็คือ บันไดสูงชันที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั่นเอง
บันไดทางขึ้น สองข้างทางจะมีโคมไฟแขวนอยู่ตลอด
ขึ้นไปถึงก็จะได้เห็นวิวสวยๆ บริเวณ เป็นรางวัล
ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อว่า Kitano Tenman สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1180 บรรยากาศข้งในเงียบสงบ เหมาะแก่การมานั่งพักหลบหนีความวุ่นวาย
พักชมวิวจนหายเหนื่อยแล้ว สายตาเราก็สอดส่องหา "Item"ที่เรา ต้องการทันที ... สิ่งที่เราตามหาคือ แผ่นป้ายขอพรรูปหัวใจนั่นเอง
ป้ายขอพรรูปหัวใจนี่แหละ คือ Sweet Gimmick เคล็ดลับเพิ่มความหวาน อย่างแรกของเมืองโกเบ... การได้มานั่งเขียนข้อความขอพรเรื่องความรักด้วยกัน มันก็เหมือนการให้สัญญากัน บอกสิ่งที่คน 2 คนต้องการ และตั้งใจจะทำให้เป็นจริงในอนาคต (แค่นี้ก็รู้สึกซึ้งแล้วเนอะ) ... ว่าแล้วก็ซื้อมาเขียนสิ่งที่อยากให้เทพเจ้าช่วยเหลือลงไป
จริงๆอยากลงรายละเอียดเยอะนะ (จงรัก จงหลง จงมาขอชั้นแต่งงานเร็วๆ ....)
แต่แผ่นมันเล็กนิดเดียวเอง เลยขอสั้นๆละกัน เขียนเสร็จก็เอาไปแขวนไว้
ไม่ได้เอากลับบ้าน ก็ขอแค่ให้ได้ถ่ายรูปกลับมาเป็นที่ระลึกละกันเนอะ ถ้าใครได้ไปโกเบอย่าลืมแวะไปนะ คนโสดก็ไปขอให้มีคู่ได้เหมือนกัน
เอาหละ เล่นของเสร็จละ รู้สึกถึงพลังขึ้นมาทันที เดินลุยขึ้นเนิน เที่ยวบ้านฝรั่งกันต่อไป ยิ่งเดินก็ยิ่งชัน จึงอยากจะแนะนำสาวๆทั้งหลายว่า ควรใส่รองเท้าที่เดินง่ายๆ ส้นสูงนี่ ไม่ควร พูดจากประสบการณ์ตรงเลยอันนี้ เพราะเราใส่ไปสูงปรี๊ด
ใครชอบความสะดวกสบายอย่าเอาเป็นตัวอย่าง แต่ถ้าใครถือคติ "อยากสวยต้องทน" ก็จัดไป แต่เดินกันระวังๆนะ มันชันจริงๆ
ส้นสูง "อยากสวยต้องทน" จริงๆ
เดินไปไม่นานก็ถึงจุดหมายถัดไป คือ Dutch Museum ที่นี่เป็นบ้านที่ทำเป็น พิพิธภัณฑ์น้ำหอม นอกจากจะมีขวดน้ำหอมตั้งโชว์แล้ว เค้ายังโฆษณาว่าเราสามารถเข้าไป ปรุงน้ำหอมกลิ่นของเราเองได้อีกด้วย คนที่ชอบอะไรแนว DIY และ customize อย่างเราไม่พลาดอยู่แล้ว
จุดขายตั๋ว ค่าเข้า 700 เยน
ข้างในจะมีการจัดแสดงโชว์ของแต่งบ้าน และรูปภาพศิลปะ
รวมถึงเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของคนที่เคยอาศัยที่นี่
ชุดแต่งงานวางโชว์บนเตียง แอบหลอน
เดินดูไปได้สักพัก ก็ถึงโซนที่เค้าจัดให้เราเข้าไปทำน้ำหอม แต่ปรากฎว่า ไม่มีภาษาอังกฤษเลย !!
เจ้าหน้าที่กำลังอธิบายเกี่ยวกับการทำน้ำหอม
สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง บวกกับคนมุงอยู่กันตรงนี้ค่อนข้างเยอะ เราเลยตัดใจ ขอเซฟเวลาไปถ่ายรูปข้างนอกดีกว่า เพราะข้างนอกบ้านก็มีการจัดตกแต่งน่ารักๆ หลายมุม
ถ่ายรูปกับบ้านฝรั่งจนถึงประมาณเที่ยง ท้องเราก็เริ่มร้องโวยวายอีกแล้ว ครั้งนี้ร้องแบบเฉพาะเจาะจงด้วย มันร้องอยากกินสเต็กเนื้อโกเบ ก่อนมาเราก็ได้หาร้านเด็ดเอาไว้แล้ว ก็เลยเริ่มเดินลงเนิน มุ่งตรงไปยังร้านสเต็กทันที
ร้านนี้ชื่อร้าน Wakkoqu (http://www.wakkoqu.com/english/food.html)
ร้านตั้งอยู่ในตึก ANA Crown Plaza ชั้น 3 จากแถวโซนบ้านฝรั่งไปค่อนข้างไกล แต่สามารถเดินไปได้ ใครที่เดินไม่ไหวสามารถนั่งรถบัส หรือ Taxi ไปได้เลย แต่เราก็บ้าพลังอีกตามเคย... เดิน ! กะว่าจะไปแบบหิวโหย ได้จัดหนักแบบไม่รู้สึกผิด ไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะชั้นเดินเผาผลาญมาแล้ว
ไปถึงร้านก็ต้องช็อค
เพราะทางร้านบอกว่าตอนเที่ยงเต็มหมดแล้ว ต้องรอตอนบ่ายครึ่ง จะรอมั้ย? โห มาขนาดนี้แล้ว เราก็รอหนะสิ เลยไปเดินเล่นในตึกนั้นก่อน
เดินไปสักพักก็ไปเจอกับ Game Arcade เลยเข้าไปเล่นฆ่าเวลาสักหน่อย
นั่งไทม์แมชชีน ไปอนาคตอีก 1 ขม. จะได้กินสเต็คเลย!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น