กลับเข้ามาสู่ตอนที่ 4 อีกครั้งของทริปเกียวโต ช่วงก่อนผมติดภารกิจหลายอย่างจึงไม่สามารถอัพต่อได้ อาจจะทำให้ขาดตอนไปบ้างต้องขออภัยด้วยครับ แต่เรื่องราวการเดินทางในทริปนี้ของเรายังเหลืออีก 3 ตอนผมขอเล่าต่อจากตอนที่แล้วกันเลย
ตอนที่ 1 Let’s go to Kansai :
http://ppantip.com/topic/32914644
ตอนที่ 2 Arashiyama Area :
http://ppantip.com/topic/32915035
ตอนที่ 3 Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple :
http://ppantip.com/topic/32930122
ตอนที่ 4 Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion :
http://ppantip.com/topic/33344724
ตอนที่ 5 One Day Trip in Kobe :
http://ppantip.com/topic/33349966
หลังจากผ่านไปสองวันอาการล้าของสมาชิกก็เริ่มมีให้เห็น ดังนั้นวันนี้เราเลยมาเที่ยวแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบเร่งมาก ซึ่งจุดหมายแรกที่น่าจะทำให้ทุกคนคลายความล้าไปได้ก็คือการไปเดินช้อปนั่นเอง โดยเรากลับมาในตรอกข้างวัดน้ำใสอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะแบรนด์ที่ชื่อว่า โยจิยะ ที่ทำให้เราต้องกลับมาอีกครั้ง จริงๆ แบรนด์นี้มีหลายสาขาในเกียวโต แต่วันที่ผ่านๆ มากลับหากันไม่เจอสักที แต่บังเอิญว่าเมื่อวานที่ไปรอถ่าย Light Up วัดน้ำใส ไปเจอร้านนี้เข้า วันนี้เลยต้องพาสมาชิกไปซื้อของที่โยจิยะ
โยจิยะ เปรียบได้กับการเป็นร้านโอท็อประดับห้าดาวประจำเมืองเกียวโต ด้วยโลโก้รูปผู้หญิงหน้าขาวดูโดดเด่นที่ใครเห็นก็ต้องจำได้ มีประวัติมาอย่างยาวนานในเรื่องของการขายเครื่องสำอางตั้งแต่ยุคเมจินู่น (ค.ศ.1904) โดยในสมัยนั้นยังเปิดเป็นเพียงรถเข็นเล็กๆ จากนั้นก็ขยับขยายมาเป็นร้านใหญ่และพัฒนากลายมาเป็นหลายสาขาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับของลูกค้าที่การันตีว่าระดับเทพก็คือ กระดาษซับมัน นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้าอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ เรียกว่าเป็นจุดหลุมดำอีกแห่งสำหรับสาวๆ ก็ว่าได้ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องสำอางเท่าไหร่เลยไม่ได้ซื้อมาใช้ แถมสินค้าในร้านไม่ให้ถ่ายรูปอีกด้วย เอาเป็นว่าไปดูสินค้าได้ตามเว็บของเขาเลยละกัน >>
http://www.yojiya.co.jp/english/
นอกจากผลิตภัณฑ์ของคุณผู้หญิงแล้ว ปัจจุบันโยจิยะยังเปิดร้านคาเฟ่อีกด้วย หาทานได้เฉพาะในเกียวโตกับโตเกียว ในเกียวโตมีอยู่สี่สาขา อีกสองสาขาอยู่ที่สนามบินฮาเนดะกับชิบูย่า และเมนูซิกเนเจอร์ของร้านที่ต้องไม่พลาดก็คือชาเขียวลาเต้ที่มีการตกแต่งเป็นรูปโลโก้โยจิยะแบบการ์ตูน น่ารักจนดื่มไม่ลงกันเลยทีเดียว
พวกของหวานก็อร่อยมากๆ จานนี้เป็นเหมือนเค้กชาเขียวแต่ตัวครีมทำจากเต้าหู้ เนื้อเบาบาง รสชาติกลมกล่อม แต่พอไปแอบชิมเค้กช็อคโกแลตของพี่ที่มาด้วยกันอีกคน ทำซะจานผมจืดสนิทไปเลย
อิ่มท้องกันไปแล้ว ช่วงบ่ายวันนี้เราจะไปกันต่อที่ที่ใครก็เรียกกันว่า วัดเสาแดงร้อยต้น แต่จริงๆ แล้วชื่อเรียกที่ถูกต้องก็คือ ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ นั่นเอง สำหรับการเดินทางไม่ว่าเราจะอยู่จุดไหนก็ช่างให้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Keihan Line มาลงที่สถานี Fushimi-Inari (ใช้บัตร Kansai Thru Pass ได้) หรือรถไฟ JR สถานี Inari
ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ หรือ ศาลเจ้าจิ้งจอกขาว เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของประเทศญี่ปุ่นและเป็นศาลเจ้าชินโตของเทพอินาริ อันเป็นเทพแห่งกสิกรรม ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่บนพื้นที่เชิงเขาที่ระดับความสูง 233 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งภูเขาก็มีชื่ออินาริเหมือนกัน โดยรอบๆ เชิงเขายังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเล็กๆ อีกมากมายตลอดระยะทาง 4 กิโลเมตร สามารถเดินเยี่ยมชมได้แต่ถ้าจะให้ครบทั้งหมดอาจใช้ระยะเวลาราวๆ 2 ชั่วโมง
อย่างที่บอกไปว่าฟูชิมิ อินาริ มีอีกชื่อหนึ่ง คือ ศาลเจ้าจิ้งจอกขาว ดังนั้นพื้นที่โดยรอบของศาลเจ้าเราจะเห็นรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกเต็มไปหมด ซึ่งสุนัขจิ้งจอกถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ แถมยังมีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกลายเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย พลังแปลงกายนี้คงเหมือนกับที่เรามักจะเห็นในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นบ่อยๆ จำได้อย่างในเรื่องไยบะเป็นต้น (ชื่อเรื่องฟ้องอายุมาก ><)
พวกป้ายขอพรทั้งหลายเห็นได้อยู่หลายจุดตามศาลเจ้า มีการออกแบบเป็นเอกลักษณ์ให้เข้ากับสถานที่ทำให้ตามนิสัยของคนญี่ปุ่นทำให้เราอยากมีส่วนร่วมเสมอ
อันนี้ผมชอบเป็นพิเศษ เป็นป้ายแขวนขอพรทำเป็นรูปหน้าสุนัขจิ้งจอก ซื้อได้ในราคา 500 เยน แต่เท่าที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนเขียนขอพรเป็นตัวหนังสือเท่าไหร่นะ ส่วนใหญ่จะวาดภาพเป็นหน้าตาตัวละครการ์ตูนมากกว่า ชอบหน้าซากุรางิจากสแลมดั้งมาก วาดเหมือนสุดๆ
เดินวนเวียนแถวนั้นอยู่ไม่นานก็เจอกับทางเข้าเสาร้อยต้นแล้ว เสาแบบนี้เรียกว่า เสาโทริอิ หรือซุ้มประตูแบบญี่ปุ่น พบเห็นได้ตามศาลเจ้านิกายชินโตรวมไปถึงวัดพุทธบางแห่งในประเทศญี่ปุ่น การที่มีเสาโทริอิตั้งไว้แบบนี้มีความหมายถึงการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า
ปกติแล้วเสาโทะริอิแบบดั้งเดิมถูกสร้างด้วยไม้หรือหิน แต่ในปัจจุบัน เสาโทะริอิบางต้นอาจถูกสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก มีทั้งแบบทาสีและไม่ทาสี หากทาสีจะทาสีชาดที่ลำต้นและคานด้านบนสุดจะทาด้วยสีดำ สำหรับเสาโทริอิที่ฟูชิมิอินาริจะมีรายชื่อตามเสาของคนที่มาบริจาคเอาไว้ทุกๆ ต้น
ถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นทางขึ้นเขาซึ่งผมก็ไม่เคยเห็นใครเดินขึ้นไปถึงยอดสุดสักที ด้วยเวลาที่ไม่คอยท่าเพราะเย็นนี้เรามีนัดกันที่กิออนต่อก็ขอหยุดไว้ที่ภาพสองสาวกิโมโนยืนเป็นแบบให้ผมถ่ายจนภาพมีเรื่องราวสุดๆ (จริงๆ แล้วเป็นคนไทยที่เช่าชุด ต้องขอบคุณเขาสำหรับภาพนี้ครับ)
ไปกันต่อ ตอนที่แล้วเราไปวัดเงินมาแล้วใช่มั้ย วันนี้เราจะไปวัดทองกันบ้าง การเดินทางไปยังวัดทอง ให้เลือกนั่งรถเมล์สาย 2, 59, 101, 102, 204, 205 ลงสถานี Kinkakuji-Michi โดยในภาพผมอยู่ที่ย่านกิออน และย่านนี้สามารถขึ้นสาย 12 เพื่อเดินทางไปยังวัดทองได้เลย
ใช้เวลาสักพักก็ถึงวัดทองแล้ว ฟ้าดันปิดซะงั้น ในช่วงทางเดินก่อนเข้าหน้าวัดมีพวกใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นนิดหน่อย สำหรับค่าเข้าชมวัดอยู่ที่ 400 เยน และเหมือนเดิมก็คือไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องได้นะครับ
เข้ามาด้านในแล้วก็จะเห็นปราสาททองก่อนเลย เป็นมุมมหาชนที่ใครมาก็ต้องมาถ่าย จะบอกว่าปราสาททองนี้ไม่ใช่วัดทองนะ หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นวัดทอง ซึ่งปราสาททองนั้นแค่ตั้งอยู่ในเขตวัดเท่านั้น แต่ด้วยความสวยงามจากสีทองอร่ามทั้งหลังจึงทำให้คนเข้าใจว่านี่แหละคือวัดทอง
ปราสาททอง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1940 ตั้งอยู่กลางสระน้ำขนาดใหญ่ เป็นศาลาอาคาร 3 ชั้น ในอดีตใช้เป็นที่พักของโชกุนอะชิกะงะ โยะชิมิสึ ต่อมาผู้เป็นบุตรชายได้เปลี่ยนแปลงให้เป็นวัดนิกายเซนสายรินไซ วัดถูกเผาทำลายหลายครั้งในระหว่างสงครามโอนิง แต่ก็ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ตลอดจนถึงปัจจุบัน
เดินมาถ้าเห็นเก้าอี้ยาวปูด้วยผ้าสีแดงสดแบบนี้แสดงว่าใกล้บริเวณทางออกแล้ว โต๊ะนี้เป็นหนึ่งในร้านขายชาเขียวให้นักท่องเที่ยวมานั่งชิวๆ
เสร็จจากวัดเงินก็รีบมาย่านกิออนกันต่อ กิออนเป็นย่านเที่ยวกลางคืนยอดนิยมของเกียวโตใกล้กับศาลเจ้ายาซากะ เดินทางได้ทั้งรถเมล์สาย 100 หรือ 206 และรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี Gion Shijo สาย Keihan Line ซึ่งจะคับคั่งในช่วงเย็นของทุกวัน
ที่กิออนถ้าเรามาถึงแล้วลักษณะจะเป็นถนนเส้นยาวๆ เต็มไปด้วยร้านค้า แต่มีอยู่ซอยหนึ่งที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนคือซอย ฮานามิ โคจิ โดยซอยนี้มีระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตร ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรแต่ไฮไลท์อยู่ตรงที่หลายร้านในย่านนี้มีเกอิชาและไมโกะ คอยต้อนรับแขกอยู่ ว่ากันว่าเกอิชาของจริงนั้นต้องมาดูที่เกียวโตแห่งเกียวเท่านั้น แต่การจะเห็นเกอิชาต้องอาศัยดวงล้วนๆ
เกอิชากับไมโกะ ต่างกันยังไง ต้องขอตอบว่าคล้ายกัน ไมโกะคือเกอิชาฝึกหัดโดยเรียนรู้ศิลปะที่ให้ความบันเทิงทุกอย่างตั้งแต่การชงชาไปจนถึงการร่ายรำที่สวยงาม เมื่อฝึกฝนจนชำนาญมากขึ้นจึงมาเป็นเกอิชาและสอนให้กับไมโกะรุ่นต่อๆ ไป แต่ถ้าเราเห็นเกอิชาหรือไมโกะเดินตามถนนจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นใคร สังเกตง่ายๆ ตรงที่ไมโกะจะเกล้าด้วยผมจริงและทาปากเฉพาะริมฝีปากล่าง ส่วนเกอิชาจะใส่วิกผมและทาปากทั้งหมด
พระอาทิตย์เริ่มตก นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องเห็นเกอิชาของจริงให้ได้ พอเห็นใครใส่ชุดกิโมโนก็คิดว่าเป็นเกอิชาร่ำไป
ใช้เวลาเดินไปมาไม่หยุดประมาณหนึ่งชั่วโมง เริ่มปวดขาและเริ่มท้อใจอยากจะกลับแล้ว ทันใดนั้นก็...ป๊าดดดด!! ได้เจอเกอิชาแล้ว กำลังเดินออกมาจากร้านพอดีและกำลังจะไปขึ้นแท็กซี่ ตอนนั้นไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว ดัน ISO แล้วกดรัวๆ ก็พอ
ผมเชื่อว่าคนที่มากิออนทุกคนก็อยากจะเห็นเกอิชาตัวจริง และสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตแล้วอยากจะชื่นชมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาก็คือทุกคนให้ความเคารพกับเกอิชามากๆ ในตอนที่เกอิชาเดินมา ไม่มีใครตะโกนเสียงดังหรือเข้าไปถ่ายภาพแบบรบกวนเลย ทุกคนคอยถ่ายอย่างเงียบๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรียกว่าทุกอย่างดำเนินไปแบบลื่นไหลมาก ลองคิดว่าเป็นเมืองไทยนะรับรองไทยมุงกันกระจาย
เสียงชัตเตอร์กดไม่ยั้งตั้งแต่เกอิชาเดินขึ้นรถจนรถออก ภาพอาจไม่คมชัดแต่อารมณ์มันได้ แต่ผมกลับชอบภาพนี้เป็นพิเศษ บอกเลยว่าวันนี้ได้เห็นเกอิชาตัวจริงก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการมาย่านกิออนแล้วเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็น แต่ต้องขึ้นอยู่กับดวงล้วนๆ พอได้ภาพนี้ปุ๊บผมเก็บกล้องกลับเลย ไม่ถ่ายไฟกลางคืนมันละ เพราะตอนเดินหาเกอิชายอมรับว่าเมื่อยขาสุดๆ แถมวันนี้ต้องเช็คเอาท์โรงแรมเพื่อกลับไปยังโอซาก้ากันด้วย
ตอนหน้าต้องโบกมือลาเกียวโตกันแล้ว แต่ผมจะยังไม่เที่ยวในโอซาก้าหรอก เพราะเราจะไปเที่ยวกับเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีเนื้ออร่อยที่สุดในโลกอยู่อย่าง โกเบ กันครับ ใครที่ชอบทานเนื้อเป็นพิเศษต้องอยากตามรอยไปแน่ๆ
ตะลุยทริปคันไซ ตอนที่ 4 : Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion
ตอนที่ 1 Let’s go to Kansai : http://ppantip.com/topic/32914644
ตอนที่ 2 Arashiyama Area : http://ppantip.com/topic/32915035
ตอนที่ 3 Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple : http://ppantip.com/topic/32930122
ตอนที่ 4 Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion : http://ppantip.com/topic/33344724
ตอนที่ 5 One Day Trip in Kobe : http://ppantip.com/topic/33349966
หลังจากผ่านไปสองวันอาการล้าของสมาชิกก็เริ่มมีให้เห็น ดังนั้นวันนี้เราเลยมาเที่ยวแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบเร่งมาก ซึ่งจุดหมายแรกที่น่าจะทำให้ทุกคนคลายความล้าไปได้ก็คือการไปเดินช้อปนั่นเอง โดยเรากลับมาในตรอกข้างวัดน้ำใสอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะแบรนด์ที่ชื่อว่า โยจิยะ ที่ทำให้เราต้องกลับมาอีกครั้ง จริงๆ แบรนด์นี้มีหลายสาขาในเกียวโต แต่วันที่ผ่านๆ มากลับหากันไม่เจอสักที แต่บังเอิญว่าเมื่อวานที่ไปรอถ่าย Light Up วัดน้ำใส ไปเจอร้านนี้เข้า วันนี้เลยต้องพาสมาชิกไปซื้อของที่โยจิยะ
โยจิยะ เปรียบได้กับการเป็นร้านโอท็อประดับห้าดาวประจำเมืองเกียวโต ด้วยโลโก้รูปผู้หญิงหน้าขาวดูโดดเด่นที่ใครเห็นก็ต้องจำได้ มีประวัติมาอย่างยาวนานในเรื่องของการขายเครื่องสำอางตั้งแต่ยุคเมจินู่น (ค.ศ.1904) โดยในสมัยนั้นยังเปิดเป็นเพียงรถเข็นเล็กๆ จากนั้นก็ขยับขยายมาเป็นร้านใหญ่และพัฒนากลายมาเป็นหลายสาขาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับของลูกค้าที่การันตีว่าระดับเทพก็คือ กระดาษซับมัน นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้าอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ เรียกว่าเป็นจุดหลุมดำอีกแห่งสำหรับสาวๆ ก็ว่าได้ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องสำอางเท่าไหร่เลยไม่ได้ซื้อมาใช้ แถมสินค้าในร้านไม่ให้ถ่ายรูปอีกด้วย เอาเป็นว่าไปดูสินค้าได้ตามเว็บของเขาเลยละกัน >> http://www.yojiya.co.jp/english/
นอกจากผลิตภัณฑ์ของคุณผู้หญิงแล้ว ปัจจุบันโยจิยะยังเปิดร้านคาเฟ่อีกด้วย หาทานได้เฉพาะในเกียวโตกับโตเกียว ในเกียวโตมีอยู่สี่สาขา อีกสองสาขาอยู่ที่สนามบินฮาเนดะกับชิบูย่า และเมนูซิกเนเจอร์ของร้านที่ต้องไม่พลาดก็คือชาเขียวลาเต้ที่มีการตกแต่งเป็นรูปโลโก้โยจิยะแบบการ์ตูน น่ารักจนดื่มไม่ลงกันเลยทีเดียว
พวกของหวานก็อร่อยมากๆ จานนี้เป็นเหมือนเค้กชาเขียวแต่ตัวครีมทำจากเต้าหู้ เนื้อเบาบาง รสชาติกลมกล่อม แต่พอไปแอบชิมเค้กช็อคโกแลตของพี่ที่มาด้วยกันอีกคน ทำซะจานผมจืดสนิทไปเลย
อิ่มท้องกันไปแล้ว ช่วงบ่ายวันนี้เราจะไปกันต่อที่ที่ใครก็เรียกกันว่า วัดเสาแดงร้อยต้น แต่จริงๆ แล้วชื่อเรียกที่ถูกต้องก็คือ ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ นั่นเอง สำหรับการเดินทางไม่ว่าเราจะอยู่จุดไหนก็ช่างให้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Keihan Line มาลงที่สถานี Fushimi-Inari (ใช้บัตร Kansai Thru Pass ได้) หรือรถไฟ JR สถานี Inari
ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ หรือ ศาลเจ้าจิ้งจอกขาว เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของประเทศญี่ปุ่นและเป็นศาลเจ้าชินโตของเทพอินาริ อันเป็นเทพแห่งกสิกรรม ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่บนพื้นที่เชิงเขาที่ระดับความสูง 233 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งภูเขาก็มีชื่ออินาริเหมือนกัน โดยรอบๆ เชิงเขายังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเล็กๆ อีกมากมายตลอดระยะทาง 4 กิโลเมตร สามารถเดินเยี่ยมชมได้แต่ถ้าจะให้ครบทั้งหมดอาจใช้ระยะเวลาราวๆ 2 ชั่วโมง
อย่างที่บอกไปว่าฟูชิมิ อินาริ มีอีกชื่อหนึ่ง คือ ศาลเจ้าจิ้งจอกขาว ดังนั้นพื้นที่โดยรอบของศาลเจ้าเราจะเห็นรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกเต็มไปหมด ซึ่งสุนัขจิ้งจอกถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ แถมยังมีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกลายเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย พลังแปลงกายนี้คงเหมือนกับที่เรามักจะเห็นในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นบ่อยๆ จำได้อย่างในเรื่องไยบะเป็นต้น (ชื่อเรื่องฟ้องอายุมาก ><)
พวกป้ายขอพรทั้งหลายเห็นได้อยู่หลายจุดตามศาลเจ้า มีการออกแบบเป็นเอกลักษณ์ให้เข้ากับสถานที่ทำให้ตามนิสัยของคนญี่ปุ่นทำให้เราอยากมีส่วนร่วมเสมอ
อันนี้ผมชอบเป็นพิเศษ เป็นป้ายแขวนขอพรทำเป็นรูปหน้าสุนัขจิ้งจอก ซื้อได้ในราคา 500 เยน แต่เท่าที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนเขียนขอพรเป็นตัวหนังสือเท่าไหร่นะ ส่วนใหญ่จะวาดภาพเป็นหน้าตาตัวละครการ์ตูนมากกว่า ชอบหน้าซากุรางิจากสแลมดั้งมาก วาดเหมือนสุดๆ
เดินวนเวียนแถวนั้นอยู่ไม่นานก็เจอกับทางเข้าเสาร้อยต้นแล้ว เสาแบบนี้เรียกว่า เสาโทริอิ หรือซุ้มประตูแบบญี่ปุ่น พบเห็นได้ตามศาลเจ้านิกายชินโตรวมไปถึงวัดพุทธบางแห่งในประเทศญี่ปุ่น การที่มีเสาโทริอิตั้งไว้แบบนี้มีความหมายถึงการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า
ปกติแล้วเสาโทะริอิแบบดั้งเดิมถูกสร้างด้วยไม้หรือหิน แต่ในปัจจุบัน เสาโทะริอิบางต้นอาจถูกสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก มีทั้งแบบทาสีและไม่ทาสี หากทาสีจะทาสีชาดที่ลำต้นและคานด้านบนสุดจะทาด้วยสีดำ สำหรับเสาโทริอิที่ฟูชิมิอินาริจะมีรายชื่อตามเสาของคนที่มาบริจาคเอาไว้ทุกๆ ต้น
ถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นทางขึ้นเขาซึ่งผมก็ไม่เคยเห็นใครเดินขึ้นไปถึงยอดสุดสักที ด้วยเวลาที่ไม่คอยท่าเพราะเย็นนี้เรามีนัดกันที่กิออนต่อก็ขอหยุดไว้ที่ภาพสองสาวกิโมโนยืนเป็นแบบให้ผมถ่ายจนภาพมีเรื่องราวสุดๆ (จริงๆ แล้วเป็นคนไทยที่เช่าชุด ต้องขอบคุณเขาสำหรับภาพนี้ครับ)
ไปกันต่อ ตอนที่แล้วเราไปวัดเงินมาแล้วใช่มั้ย วันนี้เราจะไปวัดทองกันบ้าง การเดินทางไปยังวัดทอง ให้เลือกนั่งรถเมล์สาย 2, 59, 101, 102, 204, 205 ลงสถานี Kinkakuji-Michi โดยในภาพผมอยู่ที่ย่านกิออน และย่านนี้สามารถขึ้นสาย 12 เพื่อเดินทางไปยังวัดทองได้เลย
ใช้เวลาสักพักก็ถึงวัดทองแล้ว ฟ้าดันปิดซะงั้น ในช่วงทางเดินก่อนเข้าหน้าวัดมีพวกใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นนิดหน่อย สำหรับค่าเข้าชมวัดอยู่ที่ 400 เยน และเหมือนเดิมก็คือไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องได้นะครับ
เข้ามาด้านในแล้วก็จะเห็นปราสาททองก่อนเลย เป็นมุมมหาชนที่ใครมาก็ต้องมาถ่าย จะบอกว่าปราสาททองนี้ไม่ใช่วัดทองนะ หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นวัดทอง ซึ่งปราสาททองนั้นแค่ตั้งอยู่ในเขตวัดเท่านั้น แต่ด้วยความสวยงามจากสีทองอร่ามทั้งหลังจึงทำให้คนเข้าใจว่านี่แหละคือวัดทอง
ปราสาททอง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1940 ตั้งอยู่กลางสระน้ำขนาดใหญ่ เป็นศาลาอาคาร 3 ชั้น ในอดีตใช้เป็นที่พักของโชกุนอะชิกะงะ โยะชิมิสึ ต่อมาผู้เป็นบุตรชายได้เปลี่ยนแปลงให้เป็นวัดนิกายเซนสายรินไซ วัดถูกเผาทำลายหลายครั้งในระหว่างสงครามโอนิง แต่ก็ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ตลอดจนถึงปัจจุบัน
เดินมาถ้าเห็นเก้าอี้ยาวปูด้วยผ้าสีแดงสดแบบนี้แสดงว่าใกล้บริเวณทางออกแล้ว โต๊ะนี้เป็นหนึ่งในร้านขายชาเขียวให้นักท่องเที่ยวมานั่งชิวๆ
เสร็จจากวัดเงินก็รีบมาย่านกิออนกันต่อ กิออนเป็นย่านเที่ยวกลางคืนยอดนิยมของเกียวโตใกล้กับศาลเจ้ายาซากะ เดินทางได้ทั้งรถเมล์สาย 100 หรือ 206 และรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี Gion Shijo สาย Keihan Line ซึ่งจะคับคั่งในช่วงเย็นของทุกวัน
ที่กิออนถ้าเรามาถึงแล้วลักษณะจะเป็นถนนเส้นยาวๆ เต็มไปด้วยร้านค้า แต่มีอยู่ซอยหนึ่งที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนคือซอย ฮานามิ โคจิ โดยซอยนี้มีระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตร ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรแต่ไฮไลท์อยู่ตรงที่หลายร้านในย่านนี้มีเกอิชาและไมโกะ คอยต้อนรับแขกอยู่ ว่ากันว่าเกอิชาของจริงนั้นต้องมาดูที่เกียวโตแห่งเกียวเท่านั้น แต่การจะเห็นเกอิชาต้องอาศัยดวงล้วนๆ
เกอิชากับไมโกะ ต่างกันยังไง ต้องขอตอบว่าคล้ายกัน ไมโกะคือเกอิชาฝึกหัดโดยเรียนรู้ศิลปะที่ให้ความบันเทิงทุกอย่างตั้งแต่การชงชาไปจนถึงการร่ายรำที่สวยงาม เมื่อฝึกฝนจนชำนาญมากขึ้นจึงมาเป็นเกอิชาและสอนให้กับไมโกะรุ่นต่อๆ ไป แต่ถ้าเราเห็นเกอิชาหรือไมโกะเดินตามถนนจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นใคร สังเกตง่ายๆ ตรงที่ไมโกะจะเกล้าด้วยผมจริงและทาปากเฉพาะริมฝีปากล่าง ส่วนเกอิชาจะใส่วิกผมและทาปากทั้งหมด
พระอาทิตย์เริ่มตก นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องเห็นเกอิชาของจริงให้ได้ พอเห็นใครใส่ชุดกิโมโนก็คิดว่าเป็นเกอิชาร่ำไป
ใช้เวลาเดินไปมาไม่หยุดประมาณหนึ่งชั่วโมง เริ่มปวดขาและเริ่มท้อใจอยากจะกลับแล้ว ทันใดนั้นก็...ป๊าดดดด!! ได้เจอเกอิชาแล้ว กำลังเดินออกมาจากร้านพอดีและกำลังจะไปขึ้นแท็กซี่ ตอนนั้นไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว ดัน ISO แล้วกดรัวๆ ก็พอ
ผมเชื่อว่าคนที่มากิออนทุกคนก็อยากจะเห็นเกอิชาตัวจริง และสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตแล้วอยากจะชื่นชมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาก็คือทุกคนให้ความเคารพกับเกอิชามากๆ ในตอนที่เกอิชาเดินมา ไม่มีใครตะโกนเสียงดังหรือเข้าไปถ่ายภาพแบบรบกวนเลย ทุกคนคอยถ่ายอย่างเงียบๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรียกว่าทุกอย่างดำเนินไปแบบลื่นไหลมาก ลองคิดว่าเป็นเมืองไทยนะรับรองไทยมุงกันกระจาย
เสียงชัตเตอร์กดไม่ยั้งตั้งแต่เกอิชาเดินขึ้นรถจนรถออก ภาพอาจไม่คมชัดแต่อารมณ์มันได้ แต่ผมกลับชอบภาพนี้เป็นพิเศษ บอกเลยว่าวันนี้ได้เห็นเกอิชาตัวจริงก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการมาย่านกิออนแล้วเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็น แต่ต้องขึ้นอยู่กับดวงล้วนๆ พอได้ภาพนี้ปุ๊บผมเก็บกล้องกลับเลย ไม่ถ่ายไฟกลางคืนมันละ เพราะตอนเดินหาเกอิชายอมรับว่าเมื่อยขาสุดๆ แถมวันนี้ต้องเช็คเอาท์โรงแรมเพื่อกลับไปยังโอซาก้ากันด้วย
ตอนหน้าต้องโบกมือลาเกียวโตกันแล้ว แต่ผมจะยังไม่เที่ยวในโอซาก้าหรอก เพราะเราจะไปเที่ยวกับเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีเนื้ออร่อยที่สุดในโลกอยู่อย่าง โกเบ กันครับ ใครที่ชอบทานเนื้อเป็นพิเศษต้องอยากตามรอยไปแน่ๆ