ตอนที่ 1 Let’s go to Kansai :
http://ppantip.com/topic/32914644
ตอนที่ 2 Arashiyama Area :
http://ppantip.com/topic/32915035
ตอนที่ 3 Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple :
http://ppantip.com/topic/32930122
ตอนที่ 4 Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion :
http://ppantip.com/topic/33344724
ตอนที่ 5 One Day Trip in Kobe :
http://ppantip.com/topic/33349966
ย้อนกลับไปเดือนเมษายนผมได้มีโอกาสไปสัมผัสกับช่วงฤดูซากุระเบ่งบานมาแล้ว และพูดถึงปลายปีแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เหล่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเหลือง ส้ม แดง ต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสอย่างตื่นตาตื่นใจ ใช่แล้วครับ ทริปนี้ผมจะพาทุกท่านไปสัมผัสกับใบไม้เปลี่ยนสีในภูมิภาคคันไซที่เต็มไปด้วยจังหวัดเด่นๆ อย่าง เกียวโต โกเบ โอซาก้า สามเมืองสามสไตล์ ว่าแล้วก็ไปลุยกันโลด
ทริปนี้เราเดินทางกันด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ใครใครก็บินได้ (อีกแล้ว) ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงสนามบินนานาชาติคันไซกันแล้ว
หลังจากลงเครื่องมาสิ่งแรกที่ทำการบ้านมาไว้แล้วก็คือการซื้อตั๋วรถครับ การเดินทางในภูมิภาคคันไซมีอยู่หลายแบบหลายประเภทเอามากๆ ยกตัวอย่างเช่นบัตร Kansai Thru Pass, JR Kansai Wide Area Pass, ICOCA เป็นต้น ซึ่งบัตรที่ยอดนิยมมากที่สุดของนักท่องเที่ยวและเป็นบัตรที่ผมจะใช้ในทริปนี้ก็คือบัตร Kansai Thru Pass โดยคุณสมบัติหลักๆ ของบัตรนี้คือ ไปได้ทุกที่ ทุกสถานีของรถไฟเอกชนที่ให้บริการในภูมิภาคคันไซ ประกอบไปด้วย Hanshin, Hankyu, Nankai และอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงรถเมล์สายต่างๆ ที่มีสติ๊กเกอร์แม่มด (เราจะได้เห็นในตอนต่อๆ ไป) แต่บัตรนี้ไม่สามารถใช้กับรถไฟสาย JR ได้นะครับ แต่การเดินทางตลอดทริปของเรานี้ก็แทบจะครอบคลุมทั้งหมดแล้ว รับรองว่าคุ้ม
ส่วนบัตร Kansai Thru Pass มีอยู่ 2 ราคาคือ แบบ 2 (3,800 เยน) และ 3 วัน (5,000 เยน) โดยเราไม่ต้องใช้วันติดต่อกันก็ได้ สะดวกวันไหนก็ใช้วันนั้น หลังบัตรจะมีบอกไว้ครับ หลังจากได้บัตรมาแล้วเราก็เดินทางกันเลย
ในวันแรกนี้พอมาถึงสนามบินนานาชาติคันไซแล้วเราจะนั่งรถเพื่อเข้าเกียวโตเลยครับ ด้วยการนั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินไปลงที่สถานีนัมบะ (Namba) เดินทางตอนเช้าคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
มาลงที่สถานีนัมบะก็แวะหาอะไรทานกันก่อนครับ ท้องฟ้าในโอซาก้าวันนี้ไม่ดีเอาเสียเลย
ในสถานีนัมบะมีร้านอาหารเต็มไปหมดครับ เลยตัดสินใจเลือกร้านราเม็ง รสชาติฝากท้องได้เลย จานที่ผมสั่งเป็นโซบะเย็นราดด้วยไข่ดิบ
พออิ่มท้องเรียบร้อยก็เดินทางจากสถานีนัมบะ (Namba) ไปยังสถานีอุเมดะ (Umeda) ครับ สถานีนี้เปรียบได้กับหมอชิตบ้านเรา เพราะทั้งเกียวโต โกเบ เองก็ขึ้นรถจากสhankyu kyoto lineถานีอุเมดะนี่แหละ ด้วยความไม่คล่องตัวเพราะต้องแบกกระเป๋าหลายใบผมเลยไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาพบรรยากาศสถานีเอาไว้เลย แต่เอาเป็นว่าเรานั่งสาย Hankyu Kyoto Line มาลงที่สถานี คาราซุมะ (Karasuma)
เมื่อมาถึงสถานีคาราซุมะแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการเช็คอินเข้าโรงแรมก่อนครับ เวลานี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงพอดี น่าจะเข้าไปได้แล้ว ที่พักในเกียวโตผมชื่อว่า Station Ryokan Seiki เป็นโรงแรมเล็กๆ ระดับ 2 ดาว ที่อยู่ใกล้สถานีเกียวโต
เดินมาจากาภาพมะกี้ประมาณ 5 นาทีก็ถึงที่พัก Station Ryokan Seiki แล้วครับ โชคดีที่ได้เช็คอินเข้าห้องได้เลย ภาพนี้เป็นบรรยากาศนอกหน้าต่างของโรงแรมครับ อากาศกำลังเย็นสบายอยู่ที่ 16 องศา
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางเลยคิดว่าวันนี้เที่ยวชิวๆ กันแถวที่พักกันก่อนครับ และที่ผมนึกถึงแรกๆ เลยก็คือหอคอยเกียวโตนี่แหละ ใกล้สุดแล้ว ค่าขึ้นหอคอยอยู่ที่ 770 เยน
บนหอคอยนี้มีความสูงถึง 100 เมตรสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ได้ 360 องศา โดยช่วงกลางคืนจะเห็นอาคารเปิดไฟสวยงามไม่น้อย อีกทั้งยังอนุญาติให้ใช้ขาตั้งกล้องได้ด้วย
บริเวณรอบๆ แต่ละด้านมีกล้องส่องทางไกลติดตั้งเอาไว้ด้วย และด้านบนกระจกมีสติ๊กเกอร์กำกับไว้ว่าถ้าเราส่องไปด้านนี้จะพบกับสถานที่เที่ยวไหน ยกตัวอย่างในภาพนี้ ถ้าเรามองตรงไปอีก 2.5 กิโลเมตรจะพบกับศาลเจ้าฟูชิมิอินารินั่นเอง
กิจกรรมหลักๆ ของหอคอยเกียวโตมีเพียงเท่านี้ กลับลงมาที่สถานีเกียวโตเจอร้านทาโกะยากิชื่อดัง กินดาโกะ (Gindaco) เข้าให้ ในประเทศไทยมีร้านอยู่ในเอสพลานาดกับเซ็นทรัลลาดพร้าว ครั้งนี้มาถึงประเทศต้นตำรับแล้วก็ต้องจัดไป
ชิ้ง....จัดมาแล้วสองถ้วยครับ ราคาอยู่ที่ถ้วยละ 620 เยน ได้ 8 ลูก ตอนที่ไปสั่งเป็นช่วงที่มีโปรโมชั่นราดซอสเมนไตโกะหรือไข่ปลาคอดด้วย รสชาติไม่ต้องบรรยาย อาจจะร้อนไปสักนิดแต่เวลากัดเข้าไปให้รสสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน หนวดปลาหมึกยักษ์ชิ้นโต แนะนำให้ทานคู่กับต้นหอมญี่ปุ่น รับรองฟินสุโค่ย ระหว่างพิมพ์ไปนี้ผมถึงกับเปรี้ยวปากกันเลยทีเดียว
ตอนกลางคืนไปเดินย่อยกันที่ถนนคนเดินเทรามาจิ (Teramachi Street) โดยลงที่สถานีชิโจ (Shijo)
ลักษณะของร้านค้าจะแบ่งเป็นหลายๆ ซอยครับ แต่ละซอยก็ลึกเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารหลากหลายแนว สายช้อปทั้งหลายถ้าได้เดินรับรองยิ้มกันถ้วนหน้า
ร้านเกมและพวกกาชาปองก็เห็นได้เป็นระยะๆ
ผมไม่ค่อยสันทัดในการช้อปเท่าไหร่อันนี้ต้องปล่อยเป็นหน้าที่ของสาวๆ ส่วนตัวผมมาเดินถ่ายภาพตามตรอกก็เจอกับศาลเจ้านิชิกิ เทนแมนกุ (Nishiki Tenmangu Shrine)
ดูจากภายนอกเหมือนเป็นศาลเจ้าที่ได้รับความนิยมพอควรเลยเพราะเห็นคนญี่ปุ่นเข้ามาเยอะมาก สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นศาลเจ้าที่ดูขลังดีครับ
ในบริเวณศาลเจ้ามีรูปปั้นวัวตั้งเอาไว้ เห็นคนญี่ปุ่เข้าไปลูบที่วัวว่ากันวันจะเพิ่มพูนความโชคดี
การมีศาลเจ้าอยู่ในตลาดเป็นเรื่องน่าทึ่งมากก็ยังมีวัดอยู่ด้วย แถมด้านในยังมีพระองค์โตท่ามกลางห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม วัดนี้ชื่อวัดไซกันจิ (Seigan-ji Temple) ผมไปตอนที่วัดกำลังจะปิดพอดี เลยขอเขาเข้าไปถ่ายได้มาภาพนึง
หลังจากเดินเที่ยวถนนคนเดินเทรามาจิเมื่อมาถึงที่พัก ทางเจ้าของเขาก็ได้แนะนำร้านอาหารให้ครับ ชื่อร้านซาโต้ Sato Restaurant เขาบอกว่าเป็นร้านที่คนเกียวโตเองก็ชอบกิน ผมก็เลยจัดไปครับ
แผนที่ร้านตามที่ได้สอบถามมา ตัวร้านอยู่ใกล้สถานีคุโจ (Kujo Station) เดินเอาได้ไม่ไกลเท่าไหร่
บรรยากาศภายในร้านครับ ดูสะอาดดี แสงไฟสว่างและมีการแยกส่วนที่นั่งสูบบุหรี่กับไม่สูบบุหรี่เอาไว้ การสั่งเมนูสามารถจิ้มที่แท็บเล็ตได้เลย แถมราคาก็มิตรภาพเอามากๆ แต่เพราะผมหิวมากเลยลืมถ่ายเมนูของร้านมาให้ดู
ผมสั่งชุดนี้มาครับ เป็นชุดข้าวหน้าทะเลรวม อุด้ง ไข่ตุ๋น ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 เยน ราคาโดยรวมส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ประมาณ 1,000 เยน ขึ้นไป
มาดูเมนูอื่นๆ ที่สั่งกันบ้าง อันนี้ชุดข้าวหน้าหมู บูตะด้ง มีไข่ออนเซ็นด้วย เวลาทานให้ตีไข่ให้แตกเข้ากับข้าวและเนื้อ เวลาทานจะได้ความหอมมันไปเต็มๆ
ข้าวหน้าไก่ โอยาโกะด้ง ตอนหน้าผมจะพาไปยังแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของเกียวโตกัน รับรองว่าสนุกและได้รับชมภาพงามๆ เหมาะแก่การตามรอยอย่างแน่นอนครับ
ตะลุยทริปคันไซ ตอนที่ 1 : Let’s go to Kansai
ตอนที่ 2 Arashiyama Area : http://ppantip.com/topic/32915035
ตอนที่ 3 Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple : http://ppantip.com/topic/32930122
ตอนที่ 4 Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion : http://ppantip.com/topic/33344724
ตอนที่ 5 One Day Trip in Kobe : http://ppantip.com/topic/33349966
ย้อนกลับไปเดือนเมษายนผมได้มีโอกาสไปสัมผัสกับช่วงฤดูซากุระเบ่งบานมาแล้ว และพูดถึงปลายปีแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เหล่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเหลือง ส้ม แดง ต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสอย่างตื่นตาตื่นใจ ใช่แล้วครับ ทริปนี้ผมจะพาทุกท่านไปสัมผัสกับใบไม้เปลี่ยนสีในภูมิภาคคันไซที่เต็มไปด้วยจังหวัดเด่นๆ อย่าง เกียวโต โกเบ โอซาก้า สามเมืองสามสไตล์ ว่าแล้วก็ไปลุยกันโลด
ทริปนี้เราเดินทางกันด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ใครใครก็บินได้ (อีกแล้ว) ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงสนามบินนานาชาติคันไซกันแล้ว
หลังจากลงเครื่องมาสิ่งแรกที่ทำการบ้านมาไว้แล้วก็คือการซื้อตั๋วรถครับ การเดินทางในภูมิภาคคันไซมีอยู่หลายแบบหลายประเภทเอามากๆ ยกตัวอย่างเช่นบัตร Kansai Thru Pass, JR Kansai Wide Area Pass, ICOCA เป็นต้น ซึ่งบัตรที่ยอดนิยมมากที่สุดของนักท่องเที่ยวและเป็นบัตรที่ผมจะใช้ในทริปนี้ก็คือบัตร Kansai Thru Pass โดยคุณสมบัติหลักๆ ของบัตรนี้คือ ไปได้ทุกที่ ทุกสถานีของรถไฟเอกชนที่ให้บริการในภูมิภาคคันไซ ประกอบไปด้วย Hanshin, Hankyu, Nankai และอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงรถเมล์สายต่างๆ ที่มีสติ๊กเกอร์แม่มด (เราจะได้เห็นในตอนต่อๆ ไป) แต่บัตรนี้ไม่สามารถใช้กับรถไฟสาย JR ได้นะครับ แต่การเดินทางตลอดทริปของเรานี้ก็แทบจะครอบคลุมทั้งหมดแล้ว รับรองว่าคุ้ม
ส่วนบัตร Kansai Thru Pass มีอยู่ 2 ราคาคือ แบบ 2 (3,800 เยน) และ 3 วัน (5,000 เยน) โดยเราไม่ต้องใช้วันติดต่อกันก็ได้ สะดวกวันไหนก็ใช้วันนั้น หลังบัตรจะมีบอกไว้ครับ หลังจากได้บัตรมาแล้วเราก็เดินทางกันเลย
ในวันแรกนี้พอมาถึงสนามบินนานาชาติคันไซแล้วเราจะนั่งรถเพื่อเข้าเกียวโตเลยครับ ด้วยการนั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินไปลงที่สถานีนัมบะ (Namba) เดินทางตอนเช้าคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
มาลงที่สถานีนัมบะก็แวะหาอะไรทานกันก่อนครับ ท้องฟ้าในโอซาก้าวันนี้ไม่ดีเอาเสียเลย
ในสถานีนัมบะมีร้านอาหารเต็มไปหมดครับ เลยตัดสินใจเลือกร้านราเม็ง รสชาติฝากท้องได้เลย จานที่ผมสั่งเป็นโซบะเย็นราดด้วยไข่ดิบ
พออิ่มท้องเรียบร้อยก็เดินทางจากสถานีนัมบะ (Namba) ไปยังสถานีอุเมดะ (Umeda) ครับ สถานีนี้เปรียบได้กับหมอชิตบ้านเรา เพราะทั้งเกียวโต โกเบ เองก็ขึ้นรถจากสhankyu kyoto lineถานีอุเมดะนี่แหละ ด้วยความไม่คล่องตัวเพราะต้องแบกกระเป๋าหลายใบผมเลยไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาพบรรยากาศสถานีเอาไว้เลย แต่เอาเป็นว่าเรานั่งสาย Hankyu Kyoto Line มาลงที่สถานี คาราซุมะ (Karasuma)
เมื่อมาถึงสถานีคาราซุมะแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการเช็คอินเข้าโรงแรมก่อนครับ เวลานี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงพอดี น่าจะเข้าไปได้แล้ว ที่พักในเกียวโตผมชื่อว่า Station Ryokan Seiki เป็นโรงแรมเล็กๆ ระดับ 2 ดาว ที่อยู่ใกล้สถานีเกียวโต
เดินมาจากาภาพมะกี้ประมาณ 5 นาทีก็ถึงที่พัก Station Ryokan Seiki แล้วครับ โชคดีที่ได้เช็คอินเข้าห้องได้เลย ภาพนี้เป็นบรรยากาศนอกหน้าต่างของโรงแรมครับ อากาศกำลังเย็นสบายอยู่ที่ 16 องศา
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางเลยคิดว่าวันนี้เที่ยวชิวๆ กันแถวที่พักกันก่อนครับ และที่ผมนึกถึงแรกๆ เลยก็คือหอคอยเกียวโตนี่แหละ ใกล้สุดแล้ว ค่าขึ้นหอคอยอยู่ที่ 770 เยน
บนหอคอยนี้มีความสูงถึง 100 เมตรสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ได้ 360 องศา โดยช่วงกลางคืนจะเห็นอาคารเปิดไฟสวยงามไม่น้อย อีกทั้งยังอนุญาติให้ใช้ขาตั้งกล้องได้ด้วย
บริเวณรอบๆ แต่ละด้านมีกล้องส่องทางไกลติดตั้งเอาไว้ด้วย และด้านบนกระจกมีสติ๊กเกอร์กำกับไว้ว่าถ้าเราส่องไปด้านนี้จะพบกับสถานที่เที่ยวไหน ยกตัวอย่างในภาพนี้ ถ้าเรามองตรงไปอีก 2.5 กิโลเมตรจะพบกับศาลเจ้าฟูชิมิอินารินั่นเอง
กิจกรรมหลักๆ ของหอคอยเกียวโตมีเพียงเท่านี้ กลับลงมาที่สถานีเกียวโตเจอร้านทาโกะยากิชื่อดัง กินดาโกะ (Gindaco) เข้าให้ ในประเทศไทยมีร้านอยู่ในเอสพลานาดกับเซ็นทรัลลาดพร้าว ครั้งนี้มาถึงประเทศต้นตำรับแล้วก็ต้องจัดไป
ชิ้ง....จัดมาแล้วสองถ้วยครับ ราคาอยู่ที่ถ้วยละ 620 เยน ได้ 8 ลูก ตอนที่ไปสั่งเป็นช่วงที่มีโปรโมชั่นราดซอสเมนไตโกะหรือไข่ปลาคอดด้วย รสชาติไม่ต้องบรรยาย อาจจะร้อนไปสักนิดแต่เวลากัดเข้าไปให้รสสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน หนวดปลาหมึกยักษ์ชิ้นโต แนะนำให้ทานคู่กับต้นหอมญี่ปุ่น รับรองฟินสุโค่ย ระหว่างพิมพ์ไปนี้ผมถึงกับเปรี้ยวปากกันเลยทีเดียว
ตอนกลางคืนไปเดินย่อยกันที่ถนนคนเดินเทรามาจิ (Teramachi Street) โดยลงที่สถานีชิโจ (Shijo)
ลักษณะของร้านค้าจะแบ่งเป็นหลายๆ ซอยครับ แต่ละซอยก็ลึกเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารหลากหลายแนว สายช้อปทั้งหลายถ้าได้เดินรับรองยิ้มกันถ้วนหน้า
ร้านเกมและพวกกาชาปองก็เห็นได้เป็นระยะๆ
ผมไม่ค่อยสันทัดในการช้อปเท่าไหร่อันนี้ต้องปล่อยเป็นหน้าที่ของสาวๆ ส่วนตัวผมมาเดินถ่ายภาพตามตรอกก็เจอกับศาลเจ้านิชิกิ เทนแมนกุ (Nishiki Tenmangu Shrine)
ดูจากภายนอกเหมือนเป็นศาลเจ้าที่ได้รับความนิยมพอควรเลยเพราะเห็นคนญี่ปุ่นเข้ามาเยอะมาก สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นศาลเจ้าที่ดูขลังดีครับ
ในบริเวณศาลเจ้ามีรูปปั้นวัวตั้งเอาไว้ เห็นคนญี่ปุ่เข้าไปลูบที่วัวว่ากันวันจะเพิ่มพูนความโชคดี
การมีศาลเจ้าอยู่ในตลาดเป็นเรื่องน่าทึ่งมากก็ยังมีวัดอยู่ด้วย แถมด้านในยังมีพระองค์โตท่ามกลางห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม วัดนี้ชื่อวัดไซกันจิ (Seigan-ji Temple) ผมไปตอนที่วัดกำลังจะปิดพอดี เลยขอเขาเข้าไปถ่ายได้มาภาพนึง
หลังจากเดินเที่ยวถนนคนเดินเทรามาจิเมื่อมาถึงที่พัก ทางเจ้าของเขาก็ได้แนะนำร้านอาหารให้ครับ ชื่อร้านซาโต้ Sato Restaurant เขาบอกว่าเป็นร้านที่คนเกียวโตเองก็ชอบกิน ผมก็เลยจัดไปครับ
แผนที่ร้านตามที่ได้สอบถามมา ตัวร้านอยู่ใกล้สถานีคุโจ (Kujo Station) เดินเอาได้ไม่ไกลเท่าไหร่
บรรยากาศภายในร้านครับ ดูสะอาดดี แสงไฟสว่างและมีการแยกส่วนที่นั่งสูบบุหรี่กับไม่สูบบุหรี่เอาไว้ การสั่งเมนูสามารถจิ้มที่แท็บเล็ตได้เลย แถมราคาก็มิตรภาพเอามากๆ แต่เพราะผมหิวมากเลยลืมถ่ายเมนูของร้านมาให้ดู
ผมสั่งชุดนี้มาครับ เป็นชุดข้าวหน้าทะเลรวม อุด้ง ไข่ตุ๋น ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 เยน ราคาโดยรวมส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ประมาณ 1,000 เยน ขึ้นไป
มาดูเมนูอื่นๆ ที่สั่งกันบ้าง อันนี้ชุดข้าวหน้าหมู บูตะด้ง มีไข่ออนเซ็นด้วย เวลาทานให้ตีไข่ให้แตกเข้ากับข้าวและเนื้อ เวลาทานจะได้ความหอมมันไปเต็มๆ
ข้าวหน้าไก่ โอยาโกะด้ง ตอนหน้าผมจะพาไปยังแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของเกียวโตกัน รับรองว่าสนุกและได้รับชมภาพงามๆ เหมาะแก่การตามรอยอย่างแน่นอนครับ