ตอนที่ 1 Let’s go to Kansai :
http://ppantip.com/topic/32914644
ตอนที่ 2 Arashiyama Area :
http://ppantip.com/topic/32915035
ตอนที่ 3 Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple :
http://ppantip.com/topic/32930122
ตอนที่ 4 Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion :
http://ppantip.com/topic/33344724
ตอนที่ 5 One Day Trip in Kobe :
http://ppantip.com/topic/33349966
ในตอนที่ผ่านมาได้เห็นธรรมชาติสวยๆ ย่านอาราชิยามะกันแล้ว วันนี้จะเป็นวันแรกที่เรานั่งรถเมล์กันครับ เริ่มกันที่สถานีเกียวโตเปรียบกับบ้านเราก็น่าจะเป็นอนุสวรีย์ชัยสมรภูมิที่ มีรถเมล์นับสิบสายผ่านไขว้กันไปมา สำหรับย่านฮิกาชิยามะที่เราจะไปนั้นจุดหมายแรกอยู่ที่วัดน้ำใส (Kiyomizudera Temple) และสายรถเมล์ที่ผ่านก็คือสาย 100 และ 206 ครับ
*สายรถเมล์ที่ผ่านทั้งหมดสามารถดาวน์โหลดได้ที่
>>
http://www.city.kyoto.jp/koho/eng/access/img/busnavi_eng_omote.pdf<<
>>
http://www.city.kyoto.jp/koho/eng/access/img/busnavi_eng__ura.pdf<<
บรรยากาศหน้าสถานีเกียวโตครับ รถแต่ละสายจะอยู่ตามช่องต่างๆ ถ้าจะมาขึ้นสาย 100 ก็มารอที่ช่อง D2 ครับ
การคิดราคาค่าโดยสารรถเมล์ในเกียวโตจะคิดเป็นรอบครับ ลงกี่สถานีก็ราคาเดียว แต่ถ้าเรามีบัตร Kansai Thru Pass จะสามารถขึ้นได้ไม่จำกัดรอบและสติ๊กเกอร์แม่มดเป็นเครื่องหมายการันตีว่าบัตรเราสามารถใช้กับคันๆ นั้นได้ครับ ลืมบอกไปอีกเรื่อง รถเมล์ในเกียวโตขึ้นด้านหลัง ลงด้านหน้านะครับ
จากสถานีเกียวโตใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที ให้ลงที่สถานี Gojozaka นะครับ ไม่ใช่สถานี Kiyomizu-Michi
ตรงจุดที่ลงสถานีเดินเข้าซอยมาจะเป็นทางเดินขึ้นเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า รวมไปถึงร้านเช่าชุดกิโมโนสำหรับนักท่องเท่ียว
เดินสักพักก็มาถึงบริเวณหน้าวัดแล้วครับ เห็นประตูสีแดงใหญ่ๆ แบบนี้ก็สวยแล้วแต่จริงๆ คือเพิ่งถึงแค่หน้าทางเข้าเท่านั้น ข้างในสวยกว่านี้อีกครับ
เดินเข้ามาบริเวณอาคารหลักมีธูปให้จุดสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับวัดบ้านเรา
ผมไม่ได้เข้าด้านในตัวอาคารหลักเพราะคนเยอะเหลือเกิน เลยเดินออกมาเรื่อยๆ จะพบกับมุมมหาชนที่สุดของวัดน้ำใสที่ทุกคนต้องมาถ่ายภาพ เป็นมุมที่เห็นอาคารหลักของวัด โดยอาคารหลักประกอบไปด้วยระเบียงขนาดใหญ่ 13 เมตร มีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับเอาไว้ สร้างยื่นออกมาจากเนินเขา ในอดีตได้มีวลีที่กล่าวไว้ว่า "กระโดดจากระเบียงวัดคิโยะมิซึ" เป็นคำเปรียบเทียบการตัดสินใจในเรื่องที่มีความสำคัญยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องใช้การตัดสินใจที่เด็ดขาด เปรียบเสมือนการกระโดดลงจากระเบียงวัดคิโยมิซุที่ มีความสูงมาก วลีนี้มีที่มาจากความเชื่อในสมัยเอะโดะที่ว่า หากผู้ใดสามารถกระโดดจากระเบียงวัดแล้วสามารถรอดชีวิตได้ ความปรารถนาของผู้นั้นจะสัมฤทธิ์ผล แต่ในปัจจุบันเขาห้ามกระโดดอย่างเด็ดขาด
คุณลุงกำลังนั่งวาดภาพอาคารหลักของวัดคิโยะมิซุด้วยสีน้ำ วาดกันสดๆ เหมือนกับภาพข้างบนเลยเนอะ
วัดคิโยมิซึในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่าน้ำบริสุทธิ์ มีท่ีมาจากน้ำตกที่ไหลผ่านเนินเขาลงมาบริเวณวัด เวลาเราเดินลงมาด้านล่างเรื่อยๆ จะพบกับ น้ำตกโอตะวะ ซึ่งเป็นน้ำ 3 สายไหลลงสู่บ่อน้ำ นักท่องเที่ยวสามารถดื่มน้ำจากน้ำตกนี้ได้แต่ต้องต่อคิวกันหน่อย
น้ำทั้ง 3 สายที่ลงมามีความหมายสามอย่างคือเรื่องของสุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาว การสมหวังในความรัก และความสำเร็จในการศึกษา
ด้วยปริมาณนักท่องเที่ยวที่มารอต่อค่อนข้างมาก กระบวยที่ใช้ตักจึงมีการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต
ในวันที่ผมไปเป็นช่วงที่มีการจัดงาน Light Up พวกเจดีย์ต่างๆ ก็ได้มีการประดับไฟ ทำให้บางจุดอาจจะขัดใจคนที่ชอบถ่ายภาพไปบ้างแต่ยังไงก็สวย
ก่อนออกจากตัววัดมีโลเคชั่นที่เป็นดงต้นไม้เปลี่ยนสีอยู่ส่วนนึง
สิ่งที่เห็นได้อยู่มากมายและเด่นกว่าสถานที่เที่ยวอื่นๆ ในเกียวโต นั่นคือเรามักจะเห็นชาวญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโนมาเที่ยววัดนี้เต็มไปหมด
เพราะเป็นวัดที่สวยและมีมุมให้ถ่ายเยอะ และมีร้านเช่าชุดอยู่เกือบ 10 ร้านเห็นจะได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงมีคนใช่ชุดกิโมโนมากขนาดนี้
ใส่ชุดมาเที่ยวอย่างเดียวคงไม่พอมันต้องพกกล้องมาด้วยแบบนี้
ก่อนออกจากตัววัดมีร้านขายอาหารอยู่ อากาศเย็นๆ แบบนี้ได้จัดสักชุดช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากทีเดียว
ช่วงที่ผมออกมาเห็นนักเรียนกลุ่มใหญ่เหมือนมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาทัศนศึกษา ใส่หมวกสีแดงอย่างกับจิตรกรน้อยเดินเข้าวัดกันอย่างเป็นระเบียบ ดูน่ารักมากๆ
มีการถ่ายภาพหมู่ก่อนเข้าวัดด้วย คาวาอิ๊สุดๆ
เสร็จจากวัดน้ำใสในเส้นทางเดียวกันของรถเมล์ผมจะไปกันต่อที่วัดเงิน (Ginkakuji Temple) อีกวัดดังที่คนมาเกียวโตต้องแวะไปดู แต่ก่อนหน้าจะไปถึงผมกดป้ายลงที่สถานี Kaikan Bijitusu-kan Mae ซะก่อนเพราะตะลึงกับเสาโทริอิขนาดใหญ่ ซึ่งบริเวณนี้มีสถานที่เที่ยวสำคัญคือ ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)
วัดที่ไปกันต่อคือวัดเงิน (Gunkakuji Temple) ยังคงนั่งรถเมล์สาย 100 ได้เหมือนเดิม โดยลงที่สถานี Ginkakuji-Michi
วัดกินคะคุจิ หรือที่เรียกกันว่าวัดเงิน ได้รับให้เป็นส่วนหนึ่งของอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์แห่งเมืองเกียวโตที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1994 จากองค์การยูเนสโก เมื่อเข้ามาหน้าวัดจะเจอกับ กินฉะดัน (銀沙灘) แปลว่าท้องทะเลแห่งทรายสีเงิน เป็นลานหินกรวดขนาดใหญ่ที่มีลวดลายอย่างสวยงาม ได้รับความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็นได้มาก
สวนสวยข้างวัด
ตามทางเดินจะเป็นทางขึ้นเขา มีดวงใบไม้เปลี่ยนสีหากมาช่วงเย็นแสงจะส่องโดนใบไม้ดูเรืองแสง
ตรงจุดนี้สามารถมองลงมาเห็นวิวของวัดจากด้านบนได้
อีกมุมนึงแบบกว้างๆ กันบ้าง
หน้าวัดมีร้านขายชูครีมไส้ชาเียวแบบเต็มๆ ลูกขายอยู่ครับ อร่อยดีตัวครีมเข้มข้น ราคาอยู่ที่ 300 เยน ต่อลูก
ใกล้ 5 โมงเย็นตัววัดกำลังจะปิด แต่พวกร้านค้ายังเปิดกันอยู่
เจอร้านขายโมจิย่างเสียบไม้อังถ่าน ดูแล้วน่าทานมากเลยจัดมาหนึ่งไม้ อร่อยมาก แป้งเหนียวนุ่มรสชาติติดหวานนิดๆ ทำผมหลงโมจิของเมืองนี้ไปเลย
กลับมาที่มุมมหาชนอีกครั้งของวัดน้ำใส วันที่ไป (14.11.14) ถือว่าเป็นวันแรกที่มีการจัดไฟ Light Up ผมไม่รีรอที่จะเข้าไปในวัดตั้งแต่เปิดงาน (18.30 น.) แต่คนญี่ปุ่นเองมาต่อแถวกันเป็นล้าน เรียกว่าซอยที่เราขึ้นมาตอนเช้ามีแต่คนต่อแถวเต็มไปหมด แต่อย่างไรก็ตามผมก็ได้เข้าวัดและรีบเดินมาที่จุดนี้อย่างเร็ว ซึ่งตอนถ่ายภาพทางวัดเขาไม่อนุญาติให้ใช้ขาตั้งกล้องเพราะจะเป็นการรบกวนนักท่องเที่ยว ดังนั้นมุมที่ถ่ายนี้ผมเอากล้องวางกับระเบียงซึ่งองศาจะได้แบบในภาพเป๊ะๆ เลยครับ
สิ่งที่เรียกว่า Light Up ไม่ได้ส่องแค่ตัววัดอย่างเดียวเท่านั้น แต่บริเวณทางเดิน ต้นไม้ต่างๆ ก็มีการส่องไฟกันอย่างอลังการ
เมื่อมองจากระยะไกลจากวัดสามารถเห็นเกียวโตทาวเวอร์ยามค่ำคืนก็สวยไปอีกแบบ
อีกมุมหนึ่งกับบรรยากาศ Light Up
ลืมบอกไปว่าเจดีย์หลักของวัดตอนนี้ยังบูรณะไม่เสร็จก็เลยคลุมเอาไว้แบบนี้ น่าเสียดายจริงๆ เพราะมุมนี้ถือว่าสวยมาก
กลับออกมาแล้วประมาณสองทุ่มคนก็ยังต่อคิวเข้าวัดกันอยู่เลย แต่ผมนั้นขอลากลับแล้วครับ เดินทั้งวันทั้งเมื่อยและง่วง
ก่อนกลับอย่าลืมแวะซื้อขนมเซมเบ้เจ้าอร่อย อร่อยจริงๆ มีหลายรส สั่งทานง่ายๆ อิ่มท้องยามค่ำ ตอนหน้าเป็นวันสบายๆ นะครับ วันนี้ได้ชมวัดเงินไปแล้วพรุ่งนี้ผมจะพาไปชมวัดทอง รวมไปถึงย่านกิออน ที่ใครๆ ต่างก็อยากเห็นเกอิชาของจริง ดูซิว่าผมเองจะโชคดีได้เจอกับเขาบ้างรึเปล่า?
ตะลุยทริปคันไซ ตอนที่ 3 : Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple
ตอนที่ 2 Arashiyama Area : http://ppantip.com/topic/32915035
ตอนที่ 3 Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple : http://ppantip.com/topic/32930122
ตอนที่ 4 Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion : http://ppantip.com/topic/33344724
ตอนที่ 5 One Day Trip in Kobe : http://ppantip.com/topic/33349966
ในตอนที่ผ่านมาได้เห็นธรรมชาติสวยๆ ย่านอาราชิยามะกันแล้ว วันนี้จะเป็นวันแรกที่เรานั่งรถเมล์กันครับ เริ่มกันที่สถานีเกียวโตเปรียบกับบ้านเราก็น่าจะเป็นอนุสวรีย์ชัยสมรภูมิที่ มีรถเมล์นับสิบสายผ่านไขว้กันไปมา สำหรับย่านฮิกาชิยามะที่เราจะไปนั้นจุดหมายแรกอยู่ที่วัดน้ำใส (Kiyomizudera Temple) และสายรถเมล์ที่ผ่านก็คือสาย 100 และ 206 ครับ
*สายรถเมล์ที่ผ่านทั้งหมดสามารถดาวน์โหลดได้ที่
>>http://www.city.kyoto.jp/koho/eng/access/img/busnavi_eng_omote.pdf<<
>>http://www.city.kyoto.jp/koho/eng/access/img/busnavi_eng__ura.pdf<<
บรรยากาศหน้าสถานีเกียวโตครับ รถแต่ละสายจะอยู่ตามช่องต่างๆ ถ้าจะมาขึ้นสาย 100 ก็มารอที่ช่อง D2 ครับ
การคิดราคาค่าโดยสารรถเมล์ในเกียวโตจะคิดเป็นรอบครับ ลงกี่สถานีก็ราคาเดียว แต่ถ้าเรามีบัตร Kansai Thru Pass จะสามารถขึ้นได้ไม่จำกัดรอบและสติ๊กเกอร์แม่มดเป็นเครื่องหมายการันตีว่าบัตรเราสามารถใช้กับคันๆ นั้นได้ครับ ลืมบอกไปอีกเรื่อง รถเมล์ในเกียวโตขึ้นด้านหลัง ลงด้านหน้านะครับ
จากสถานีเกียวโตใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที ให้ลงที่สถานี Gojozaka นะครับ ไม่ใช่สถานี Kiyomizu-Michi
ตรงจุดที่ลงสถานีเดินเข้าซอยมาจะเป็นทางเดินขึ้นเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า รวมไปถึงร้านเช่าชุดกิโมโนสำหรับนักท่องเท่ียว
เดินสักพักก็มาถึงบริเวณหน้าวัดแล้วครับ เห็นประตูสีแดงใหญ่ๆ แบบนี้ก็สวยแล้วแต่จริงๆ คือเพิ่งถึงแค่หน้าทางเข้าเท่านั้น ข้างในสวยกว่านี้อีกครับ
เดินเข้ามาบริเวณอาคารหลักมีธูปให้จุดสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับวัดบ้านเรา
ผมไม่ได้เข้าด้านในตัวอาคารหลักเพราะคนเยอะเหลือเกิน เลยเดินออกมาเรื่อยๆ จะพบกับมุมมหาชนที่สุดของวัดน้ำใสที่ทุกคนต้องมาถ่ายภาพ เป็นมุมที่เห็นอาคารหลักของวัด โดยอาคารหลักประกอบไปด้วยระเบียงขนาดใหญ่ 13 เมตร มีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับเอาไว้ สร้างยื่นออกมาจากเนินเขา ในอดีตได้มีวลีที่กล่าวไว้ว่า "กระโดดจากระเบียงวัดคิโยะมิซึ" เป็นคำเปรียบเทียบการตัดสินใจในเรื่องที่มีความสำคัญยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องใช้การตัดสินใจที่เด็ดขาด เปรียบเสมือนการกระโดดลงจากระเบียงวัดคิโยมิซุที่ มีความสูงมาก วลีนี้มีที่มาจากความเชื่อในสมัยเอะโดะที่ว่า หากผู้ใดสามารถกระโดดจากระเบียงวัดแล้วสามารถรอดชีวิตได้ ความปรารถนาของผู้นั้นจะสัมฤทธิ์ผล แต่ในปัจจุบันเขาห้ามกระโดดอย่างเด็ดขาด
คุณลุงกำลังนั่งวาดภาพอาคารหลักของวัดคิโยะมิซุด้วยสีน้ำ วาดกันสดๆ เหมือนกับภาพข้างบนเลยเนอะ
วัดคิโยมิซึในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่าน้ำบริสุทธิ์ มีท่ีมาจากน้ำตกที่ไหลผ่านเนินเขาลงมาบริเวณวัด เวลาเราเดินลงมาด้านล่างเรื่อยๆ จะพบกับ น้ำตกโอตะวะ ซึ่งเป็นน้ำ 3 สายไหลลงสู่บ่อน้ำ นักท่องเที่ยวสามารถดื่มน้ำจากน้ำตกนี้ได้แต่ต้องต่อคิวกันหน่อย
น้ำทั้ง 3 สายที่ลงมามีความหมายสามอย่างคือเรื่องของสุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาว การสมหวังในความรัก และความสำเร็จในการศึกษา
ด้วยปริมาณนักท่องเที่ยวที่มารอต่อค่อนข้างมาก กระบวยที่ใช้ตักจึงมีการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต
ในวันที่ผมไปเป็นช่วงที่มีการจัดงาน Light Up พวกเจดีย์ต่างๆ ก็ได้มีการประดับไฟ ทำให้บางจุดอาจจะขัดใจคนที่ชอบถ่ายภาพไปบ้างแต่ยังไงก็สวย
ก่อนออกจากตัววัดมีโลเคชั่นที่เป็นดงต้นไม้เปลี่ยนสีอยู่ส่วนนึง
สิ่งที่เห็นได้อยู่มากมายและเด่นกว่าสถานที่เที่ยวอื่นๆ ในเกียวโต นั่นคือเรามักจะเห็นชาวญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโนมาเที่ยววัดนี้เต็มไปหมด
เพราะเป็นวัดที่สวยและมีมุมให้ถ่ายเยอะ และมีร้านเช่าชุดอยู่เกือบ 10 ร้านเห็นจะได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงมีคนใช่ชุดกิโมโนมากขนาดนี้
ใส่ชุดมาเที่ยวอย่างเดียวคงไม่พอมันต้องพกกล้องมาด้วยแบบนี้
ก่อนออกจากตัววัดมีร้านขายอาหารอยู่ อากาศเย็นๆ แบบนี้ได้จัดสักชุดช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากทีเดียว
ช่วงที่ผมออกมาเห็นนักเรียนกลุ่มใหญ่เหมือนมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาทัศนศึกษา ใส่หมวกสีแดงอย่างกับจิตรกรน้อยเดินเข้าวัดกันอย่างเป็นระเบียบ ดูน่ารักมากๆ
มีการถ่ายภาพหมู่ก่อนเข้าวัดด้วย คาวาอิ๊สุดๆ
เสร็จจากวัดน้ำใสในเส้นทางเดียวกันของรถเมล์ผมจะไปกันต่อที่วัดเงิน (Ginkakuji Temple) อีกวัดดังที่คนมาเกียวโตต้องแวะไปดู แต่ก่อนหน้าจะไปถึงผมกดป้ายลงที่สถานี Kaikan Bijitusu-kan Mae ซะก่อนเพราะตะลึงกับเสาโทริอิขนาดใหญ่ ซึ่งบริเวณนี้มีสถานที่เที่ยวสำคัญคือ ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)
วัดที่ไปกันต่อคือวัดเงิน (Gunkakuji Temple) ยังคงนั่งรถเมล์สาย 100 ได้เหมือนเดิม โดยลงที่สถานี Ginkakuji-Michi
วัดกินคะคุจิ หรือที่เรียกกันว่าวัดเงิน ได้รับให้เป็นส่วนหนึ่งของอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์แห่งเมืองเกียวโตที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1994 จากองค์การยูเนสโก เมื่อเข้ามาหน้าวัดจะเจอกับ กินฉะดัน (銀沙灘) แปลว่าท้องทะเลแห่งทรายสีเงิน เป็นลานหินกรวดขนาดใหญ่ที่มีลวดลายอย่างสวยงาม ได้รับความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็นได้มาก
สวนสวยข้างวัด
ตามทางเดินจะเป็นทางขึ้นเขา มีดวงใบไม้เปลี่ยนสีหากมาช่วงเย็นแสงจะส่องโดนใบไม้ดูเรืองแสง
ตรงจุดนี้สามารถมองลงมาเห็นวิวของวัดจากด้านบนได้
อีกมุมนึงแบบกว้างๆ กันบ้าง
หน้าวัดมีร้านขายชูครีมไส้ชาเียวแบบเต็มๆ ลูกขายอยู่ครับ อร่อยดีตัวครีมเข้มข้น ราคาอยู่ที่ 300 เยน ต่อลูก
ใกล้ 5 โมงเย็นตัววัดกำลังจะปิด แต่พวกร้านค้ายังเปิดกันอยู่
เจอร้านขายโมจิย่างเสียบไม้อังถ่าน ดูแล้วน่าทานมากเลยจัดมาหนึ่งไม้ อร่อยมาก แป้งเหนียวนุ่มรสชาติติดหวานนิดๆ ทำผมหลงโมจิของเมืองนี้ไปเลย
กลับมาที่มุมมหาชนอีกครั้งของวัดน้ำใส วันที่ไป (14.11.14) ถือว่าเป็นวันแรกที่มีการจัดไฟ Light Up ผมไม่รีรอที่จะเข้าไปในวัดตั้งแต่เปิดงาน (18.30 น.) แต่คนญี่ปุ่นเองมาต่อแถวกันเป็นล้าน เรียกว่าซอยที่เราขึ้นมาตอนเช้ามีแต่คนต่อแถวเต็มไปหมด แต่อย่างไรก็ตามผมก็ได้เข้าวัดและรีบเดินมาที่จุดนี้อย่างเร็ว ซึ่งตอนถ่ายภาพทางวัดเขาไม่อนุญาติให้ใช้ขาตั้งกล้องเพราะจะเป็นการรบกวนนักท่องเที่ยว ดังนั้นมุมที่ถ่ายนี้ผมเอากล้องวางกับระเบียงซึ่งองศาจะได้แบบในภาพเป๊ะๆ เลยครับ
สิ่งที่เรียกว่า Light Up ไม่ได้ส่องแค่ตัววัดอย่างเดียวเท่านั้น แต่บริเวณทางเดิน ต้นไม้ต่างๆ ก็มีการส่องไฟกันอย่างอลังการ
เมื่อมองจากระยะไกลจากวัดสามารถเห็นเกียวโตทาวเวอร์ยามค่ำคืนก็สวยไปอีกแบบ
อีกมุมหนึ่งกับบรรยากาศ Light Up
ลืมบอกไปว่าเจดีย์หลักของวัดตอนนี้ยังบูรณะไม่เสร็จก็เลยคลุมเอาไว้แบบนี้ น่าเสียดายจริงๆ เพราะมุมนี้ถือว่าสวยมาก
กลับออกมาแล้วประมาณสองทุ่มคนก็ยังต่อคิวเข้าวัดกันอยู่เลย แต่ผมนั้นขอลากลับแล้วครับ เดินทั้งวันทั้งเมื่อยและง่วง
ก่อนกลับอย่าลืมแวะซื้อขนมเซมเบ้เจ้าอร่อย อร่อยจริงๆ มีหลายรส สั่งทานง่ายๆ อิ่มท้องยามค่ำ ตอนหน้าเป็นวันสบายๆ นะครับ วันนี้ได้ชมวัดเงินไปแล้วพรุ่งนี้ผมจะพาไปชมวัดทอง รวมไปถึงย่านกิออน ที่ใครๆ ต่างก็อยากเห็นเกอิชาของจริง ดูซิว่าผมเองจะโชคดีได้เจอกับเขาบ้างรึเปล่า?