.....****หมายเหตุ......กระทู้นี้เป็นการเขียนขึ้นอีกครั้งนับจากการเขียนค้างไว้เมื่อปีที่แล้ว( ห๊ะ)
แล้ว อยากจะมาเล่าอะไรต่อตอนนี้ ………สาเหตุที่อยากเล่าต่อครับ คือเป็นกระทู้ ตะเตือนใต ในช่วงชีวิตนึงที่รู้สึกว่า หมดหนทางจริงๆ แต่ต้องก้าวผ่านมันให้ได้
อยากแชร์สิ่งที่คิดว่าอาจมีSME หลายๆคน เผชิญอยู่ และกำลัง ลังเล ว่าจะเอาไง………อยากเล่าให้ฟัง แค่นั้นจริงๆครับ ****
(....ขออภัยหากรบกวน เวลาทำมาหากิน และ เนื้อที่ ในบอร์ดครับ อยากเล่าให้จบ มันค้าง ใจ ครัช.....)
...........................................................ความเดิมตอนที่แล้ว(ผมไม่แปะกระทู้เก่านะครับ ขออนุญาติทำเหมือนเล่าใหม่)…………….......................................
--การสัมภาษณ์งานครั้งแรกในรอบ สิบปี แด่การก้าวไปข้างหน้า
หมายเหตุ 1 กระทู้นี้มีวาจาหยาบคาย และภาษาที่ไม่เป็นภาษา ใคร่ขอให้อาจารย์ต่างๆนาๆ งดให้คำวิจารย์ เพราะมันออกมาเพื่อความสะใจในความบัดซบของช่วงชีวิตที่ไม่สามารถเล่าแบบชนชั้นสูงได้ถึงอารมณ์ ข้อความบางอย่างอาจเกินจริงเนื่องจากสภาวะสมองของ จขกท กระทบกระเทือนอย่างหนัก
หมายเหตุ2 กระทู้นี้ยาวมาก อาจกระทบเวลาทำมาหากิน ของทุกท่าน แต่ก็เหมาะสำหรับอ่านเพื่อความบันเทิงใจ
.................ไร้ซึ่งแง่คิด.......................................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ผมก็มีโอกาสมาเล่าเรื่องราวป่วนๆ แปลกๆที่เกิดขึ้นในชีวิตผมอีกแล้ว สืบเนื่องจากกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/31215718
ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนจากการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต จนเกิดความล้มเหลวครั้งสำคัญ ยังไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าความล้มเหลวครั้งนี้จะนำพาความสำเร็จมาให้ได้
ครับการลงทุนทำร้านไอติมของข้าน้อยได้ประสบความตายไปเรียบร้อย
แต่ก่อนตายผมพยายามอะไรบ้างละนอ อืมวันนี้นั่งรถเข้ากรุง ว่างๆเลยเขียนมาเล่าให้ฟัง ก่อนเข้าเรื่องที่ไปสัมภาษณ์งานครั้งแรก ก่อนอื่นเล่าก่อนว่าก่อนจะหางานทำอะไรมาบ้าง
เมื่อสองเดือนที่แล้ว . . . . จากการคิดเองเออเองของผมคิดว่า สินค้าที่มีน้อยเกินไปไม่ดึงดูดลูกค้า เอางั้นไปหาอะไรมาขายเพิ่มดีกว่า เราขายไอติม เด๋วเข้าหน้าหนาว ไปเรียนทำนมสดเพิ่มดีกว่า นมร้อน กาแฟร้อน เครื่องดื่มต่างๆ ปังปิ้ง ปังเย็น โทส เทิด ต่างเรียนแม่มให้หมด ให้มันรู้สะว่าใครเป็นใคร .......ฮั่ว ฮ่าๆๆๆๆๆ (หัวเราะแบบผู้มีอำนาจหนังจีนกำลังภายในประมาณว่าพึ่งจะจับนางเอกมาได้หวังจะกระทำชำเรา)
เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็ ดั้นด้นไปเรียน วันไปเรียนก็เตรียมพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ
กาย คือนอนหลับพักผ่อน
วาจา คือสงบปากสงบคำไม่ไปกัดครู หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อให้มีชีวิตรอดกลับมาใจ คือ ตั้งใจเพราะอนาคตของ เรา ลูก เมีย อยู่กับมัน
"จงตั้งใจเพราะความตั้งใจคือหนทางสู่ความมืด" (อาจารย์โยดาไม่ได้กล่าวไว้ แล้วกรูเอามาจากไหนว่ะนี่)
ใจ คือพร้อมที่จะพยุงอนาคตครอบครัวไปต่อให้รอด
(จังหวะนี้เอื้อมมือไปหยิบเอ็มร้อยห้าสิบ สตรอม มาเปิดแดรกก่อนร่ายยาว อืมนะ มีใครบอกมันไหม๊ว่ามันเปิดยาก ฝากพี่น้องท่านใดที่ใกล้ชิดไปบอกโอสถสภาด้วยนะท่าน)
เอาละ วันเรียน เข้าไปในห้องเรียน ในห้องเรียนจะเป็นห้องที่ตบแต่งไว้เป็นครัว (ก็แน่ละสิมาเรียนทำอาหารตบแต่งเป็นวิหาร พาเทน่อน ก็แปลกละ)
มีครูสอนคนนึงผู้หญิง หน้าตาดีไว้ผมทรงอะไรไม่รู้ประมาณว่าหน้าม้าหรือเปล่า แต่ตัดข้างหน้าเบี้ยวๆทางซ้ายสั้นกว่าแล้วค่อยๆยาวเทไปทางขวา ปลายด้านซ้ายจะยาวพอดีลูกตาปลายด้านขวาจะยาวปิดตาพอดี
เวลาสอนไปก็จะคอยเอามือเปิดผมด้านขาว แต่จะหยี่ตาซ้ายเพราะผมแทงตาตลอด อ่านะเข้าใจว่าทรงผมน่ารักแต่ทรมารไปไหม๊ ......(สู้ๆเพื่อความสวยงาม) และจะมีผู้ช่วยอีกคนนึง แกจะคอยเตรียมของทุกอย่าง คอยเก็บ เช็ดล้างอุปกรณ์ตลอดทั้งวัน ทำงานไม่พูดไม่จา ขยันมากถึงมากที่สุดเห็นแล้ว ว้าว เลย ชอบอยากหามาทำงานด้วยเลย .....
ผู้คนมากหน้าหลายตามาชุมนุมพร้อมหน้าพร้อมตา อาจารย์ก็สอนไป ผมก็ฟังไป ใจลอยไป คิดไปเรื่อย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจเกิดความไม่แน่ใจว่าที่เราทำนั้นถูกต้อง จะได้ผลไหม๊ ธุรกิจเราจะกลับมาได้ไหม๊
ในการเรียนไม่มีอะไรยากมากเพราะเราก็พอมีพื้นฐานการจัดการ มา ฟังไปนึกภาพไปว่าร้านเราจะออกมาเป็นแบบไหน คิดไปหวั่นไป เราจะหาเงินมาจากไหนมาลงทุนเพิ่ม
ก็นั่งเรียนจนพักเที่ยง ออกจากห้องมาหาไรกินก็ ในใจ สับสน หวั่นไหว ประดุจดังสาวแรกแย้มออกไปเดทกับมาริโอ้ในวันลอยกระทง เมื่อโดนขอให้ยอมจำนน...ในบรรยากาสชวนฝัน ....มาริโอ้ก็เริ่มหอมแก้มซ้ายแล้วสไลด์ลงซอกคอเขอให้เรายอมสละซิงและกลายเป็นหญิงในชีวิตของเค้า ใจนึงก็ปัดป้อง ใจนึงก็ร้องหา แอร๊ยยย ไปไกลแล้ว กลับมาๆก่อนจะเคลิ้มไปมากว่านี้
โอ้นอ ทำไมมันปวดหัวอย่างนี้ ผมว่าหลายท่านคงเข้าใจหัวเลี้ยวหัวต่อ ว่าจะไปต่อดีไหม๊ หรือจะหยุดธุรกิจแล้วหาอะไรใหม่ทำ เราจะปล่อยไปหรือกู้กลับมา.า.า.า.า.า.า(เสียงแอ๊กโค่)
ภาคบ่ายเข้าไปเรียนต่อ จนกระทั่งเรียนใกล้เสร็จ ผมก็ทำขนมปัง ประมาณ ฮันนี่โทส ตบแต่งสวยงาม พร้อมส่งอาจารย์ ผมมองหาช้อนตวงน้ำผึ้ง แต่หาไม่เจอ ผมเลยไปถามผู้ช่วย
เอ่อ พี่ครับผมอยากได้ช้อนตวงครับ
ผู้ช่วย ..... .........................
พี่ครับเห็นช้วนตวงไหม๊ครับ
ผู้ช่วย..... ฉาเอาปะล้าแล้ว เด้ว เอามาให้หม่าย นะ
นั่นไง.......สาบาดาเย้..เฮ้......
ว่าแล้วทำไมทำงานไม่พูดไม่จาที่แท้” ชี อิส อะ ฟอเรนเนอร์ ฮู เวิร์คอิน ไทยแลน แอนด์ แคน นอท เครียลี่ สปีกไทย” นั่นเอง..
ครับเธอเป็นชาวพม่า ผมอาจจะเขียนภาษาพูดพม่าสำเนียงไทยไม่ถูกนะครับก็ขออภัยด้วย
ผมชอบแรงงานต่างด้าวนะครับเพราะเค้ามีความขยัน แม้รายได้น้อยก็ประหยัดเอา ส่งเงินเลี้ยงทั้งครอบครัว ที่อยู่ประเทศเค้า
จะเรียก ต่างด้าวก็ดูไม่ให้เกรียติ เรียกพม่าก็ยังไงๆ เรียกเมียนมาเนียน ก็เท่ดีแต่ยาวไป งั้นผมจะเรียกว่า “มิเนี่ยน” นะครับ
ครับไม่ผิดครับ คือไอ้ตัวเหลืองๆ ใส่ชุดยีน ในการ์ตูนนะแหละ ที่เรียกงี้เพราะว่ามีส่วนคล้ายๆกันครับ คือมาทำงานส่วนใหญ่ใช้แรงงาน อยู่กันเป็นกลุ่ม พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง คุยกันไปมาก็ ทะเลาะกันเอง แต่พอคนเชื้อชาติอื่นหรือนอกกลุ่มไปมีเรื่ยงก็จะโดน การรวมพลังของเหล่าฮีโร่ตัวน้อย รุมกระทืบออกมา ......ไม่ได้ยังงี้ยังงั้นนะครับเพราะส่วนใหญ่ที่เจอมาก็เป็นอย่างนี้จริงๆตามค่ายก่อสร้างใหญ่เจอบ่อย.........
เค พอเรียนเสร็จ กลับออกจากห้องเรียนขณะขับรถกลับที่พัก ใจก็ยังสับสน เฮ้อทำไมมันช่าง ยากเย็นขนาดนี้ (แล้วเสียงอินโทรเพลง เรือเล็กควรออกจากฝั่งก็ค่อยๆคลอขึ้น) กลับมาถึงบ้าน นั่งลิสต์ อุปกรณ์ที่ต้องลงทุนเพิ่ม วัตถุดิบต่างๆ จดลิสต์ออกมา เยอะพอสมควร คำนวนเงินที่ต้องลงเพิ่มประมาณ สามถึง สี่หมื่นบาท เฮ้อ เอาไงละบักเซียงเมี่ยง ......
เมื่อต้องกลับสู่ระบบ....การสัมภาษณ์งานในรอบสิบปี......(กระทู้ข้ามปีที่..ของสานให้จบ)
แล้ว อยากจะมาเล่าอะไรต่อตอนนี้ ………สาเหตุที่อยากเล่าต่อครับ คือเป็นกระทู้ ตะเตือนใต ในช่วงชีวิตนึงที่รู้สึกว่า หมดหนทางจริงๆ แต่ต้องก้าวผ่านมันให้ได้
อยากแชร์สิ่งที่คิดว่าอาจมีSME หลายๆคน เผชิญอยู่ และกำลัง ลังเล ว่าจะเอาไง………อยากเล่าให้ฟัง แค่นั้นจริงๆครับ ****
(....ขออภัยหากรบกวน เวลาทำมาหากิน และ เนื้อที่ ในบอร์ดครับ อยากเล่าให้จบ มันค้าง ใจ ครัช.....)
...........................................................ความเดิมตอนที่แล้ว(ผมไม่แปะกระทู้เก่านะครับ ขออนุญาติทำเหมือนเล่าใหม่)…………….......................................
--การสัมภาษณ์งานครั้งแรกในรอบ สิบปี แด่การก้าวไปข้างหน้า
หมายเหตุ 1 กระทู้นี้มีวาจาหยาบคาย และภาษาที่ไม่เป็นภาษา ใคร่ขอให้อาจารย์ต่างๆนาๆ งดให้คำวิจารย์ เพราะมันออกมาเพื่อความสะใจในความบัดซบของช่วงชีวิตที่ไม่สามารถเล่าแบบชนชั้นสูงได้ถึงอารมณ์ ข้อความบางอย่างอาจเกินจริงเนื่องจากสภาวะสมองของ จขกท กระทบกระเทือนอย่างหนัก
หมายเหตุ2 กระทู้นี้ยาวมาก อาจกระทบเวลาทำมาหากิน ของทุกท่าน แต่ก็เหมาะสำหรับอ่านเพื่อความบันเทิงใจ
.................ไร้ซึ่งแง่คิด.......................................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ผมก็มีโอกาสมาเล่าเรื่องราวป่วนๆ แปลกๆที่เกิดขึ้นในชีวิตผมอีกแล้ว สืบเนื่องจากกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/31215718
ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนจากการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต จนเกิดความล้มเหลวครั้งสำคัญ ยังไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าความล้มเหลวครั้งนี้จะนำพาความสำเร็จมาให้ได้
ครับการลงทุนทำร้านไอติมของข้าน้อยได้ประสบความตายไปเรียบร้อย
แต่ก่อนตายผมพยายามอะไรบ้างละนอ อืมวันนี้นั่งรถเข้ากรุง ว่างๆเลยเขียนมาเล่าให้ฟัง ก่อนเข้าเรื่องที่ไปสัมภาษณ์งานครั้งแรก ก่อนอื่นเล่าก่อนว่าก่อนจะหางานทำอะไรมาบ้าง
เมื่อสองเดือนที่แล้ว . . . . จากการคิดเองเออเองของผมคิดว่า สินค้าที่มีน้อยเกินไปไม่ดึงดูดลูกค้า เอางั้นไปหาอะไรมาขายเพิ่มดีกว่า เราขายไอติม เด๋วเข้าหน้าหนาว ไปเรียนทำนมสดเพิ่มดีกว่า นมร้อน กาแฟร้อน เครื่องดื่มต่างๆ ปังปิ้ง ปังเย็น โทส เทิด ต่างเรียนแม่มให้หมด ให้มันรู้สะว่าใครเป็นใคร .......ฮั่ว ฮ่าๆๆๆๆๆ (หัวเราะแบบผู้มีอำนาจหนังจีนกำลังภายในประมาณว่าพึ่งจะจับนางเอกมาได้หวังจะกระทำชำเรา)
เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็ ดั้นด้นไปเรียน วันไปเรียนก็เตรียมพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ
กาย คือนอนหลับพักผ่อน
วาจา คือสงบปากสงบคำไม่ไปกัดครู หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อให้มีชีวิตรอดกลับมาใจ คือ ตั้งใจเพราะอนาคตของ เรา ลูก เมีย อยู่กับมัน
"จงตั้งใจเพราะความตั้งใจคือหนทางสู่ความมืด" (อาจารย์โยดาไม่ได้กล่าวไว้ แล้วกรูเอามาจากไหนว่ะนี่)
ใจ คือพร้อมที่จะพยุงอนาคตครอบครัวไปต่อให้รอด
(จังหวะนี้เอื้อมมือไปหยิบเอ็มร้อยห้าสิบ สตรอม มาเปิดแดรกก่อนร่ายยาว อืมนะ มีใครบอกมันไหม๊ว่ามันเปิดยาก ฝากพี่น้องท่านใดที่ใกล้ชิดไปบอกโอสถสภาด้วยนะท่าน)
เอาละ วันเรียน เข้าไปในห้องเรียน ในห้องเรียนจะเป็นห้องที่ตบแต่งไว้เป็นครัว (ก็แน่ละสิมาเรียนทำอาหารตบแต่งเป็นวิหาร พาเทน่อน ก็แปลกละ)
มีครูสอนคนนึงผู้หญิง หน้าตาดีไว้ผมทรงอะไรไม่รู้ประมาณว่าหน้าม้าหรือเปล่า แต่ตัดข้างหน้าเบี้ยวๆทางซ้ายสั้นกว่าแล้วค่อยๆยาวเทไปทางขวา ปลายด้านซ้ายจะยาวพอดีลูกตาปลายด้านขวาจะยาวปิดตาพอดี
เวลาสอนไปก็จะคอยเอามือเปิดผมด้านขาว แต่จะหยี่ตาซ้ายเพราะผมแทงตาตลอด อ่านะเข้าใจว่าทรงผมน่ารักแต่ทรมารไปไหม๊ ......(สู้ๆเพื่อความสวยงาม) และจะมีผู้ช่วยอีกคนนึง แกจะคอยเตรียมของทุกอย่าง คอยเก็บ เช็ดล้างอุปกรณ์ตลอดทั้งวัน ทำงานไม่พูดไม่จา ขยันมากถึงมากที่สุดเห็นแล้ว ว้าว เลย ชอบอยากหามาทำงานด้วยเลย .....
ผู้คนมากหน้าหลายตามาชุมนุมพร้อมหน้าพร้อมตา อาจารย์ก็สอนไป ผมก็ฟังไป ใจลอยไป คิดไปเรื่อย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจเกิดความไม่แน่ใจว่าที่เราทำนั้นถูกต้อง จะได้ผลไหม๊ ธุรกิจเราจะกลับมาได้ไหม๊
ในการเรียนไม่มีอะไรยากมากเพราะเราก็พอมีพื้นฐานการจัดการ มา ฟังไปนึกภาพไปว่าร้านเราจะออกมาเป็นแบบไหน คิดไปหวั่นไป เราจะหาเงินมาจากไหนมาลงทุนเพิ่ม
ก็นั่งเรียนจนพักเที่ยง ออกจากห้องมาหาไรกินก็ ในใจ สับสน หวั่นไหว ประดุจดังสาวแรกแย้มออกไปเดทกับมาริโอ้ในวันลอยกระทง เมื่อโดนขอให้ยอมจำนน...ในบรรยากาสชวนฝัน ....มาริโอ้ก็เริ่มหอมแก้มซ้ายแล้วสไลด์ลงซอกคอเขอให้เรายอมสละซิงและกลายเป็นหญิงในชีวิตของเค้า ใจนึงก็ปัดป้อง ใจนึงก็ร้องหา แอร๊ยยย ไปไกลแล้ว กลับมาๆก่อนจะเคลิ้มไปมากว่านี้
โอ้นอ ทำไมมันปวดหัวอย่างนี้ ผมว่าหลายท่านคงเข้าใจหัวเลี้ยวหัวต่อ ว่าจะไปต่อดีไหม๊ หรือจะหยุดธุรกิจแล้วหาอะไรใหม่ทำ เราจะปล่อยไปหรือกู้กลับมา.า.า.า.า.า.า(เสียงแอ๊กโค่)
ภาคบ่ายเข้าไปเรียนต่อ จนกระทั่งเรียนใกล้เสร็จ ผมก็ทำขนมปัง ประมาณ ฮันนี่โทส ตบแต่งสวยงาม พร้อมส่งอาจารย์ ผมมองหาช้อนตวงน้ำผึ้ง แต่หาไม่เจอ ผมเลยไปถามผู้ช่วย
เอ่อ พี่ครับผมอยากได้ช้อนตวงครับ
ผู้ช่วย ..... .........................
พี่ครับเห็นช้วนตวงไหม๊ครับ
ผู้ช่วย..... ฉาเอาปะล้าแล้ว เด้ว เอามาให้หม่าย นะ
นั่นไง.......สาบาดาเย้..เฮ้......
ว่าแล้วทำไมทำงานไม่พูดไม่จาที่แท้” ชี อิส อะ ฟอเรนเนอร์ ฮู เวิร์คอิน ไทยแลน แอนด์ แคน นอท เครียลี่ สปีกไทย” นั่นเอง..
ครับเธอเป็นชาวพม่า ผมอาจจะเขียนภาษาพูดพม่าสำเนียงไทยไม่ถูกนะครับก็ขออภัยด้วย
ผมชอบแรงงานต่างด้าวนะครับเพราะเค้ามีความขยัน แม้รายได้น้อยก็ประหยัดเอา ส่งเงินเลี้ยงทั้งครอบครัว ที่อยู่ประเทศเค้า
จะเรียก ต่างด้าวก็ดูไม่ให้เกรียติ เรียกพม่าก็ยังไงๆ เรียกเมียนมาเนียน ก็เท่ดีแต่ยาวไป งั้นผมจะเรียกว่า “มิเนี่ยน” นะครับ
ครับไม่ผิดครับ คือไอ้ตัวเหลืองๆ ใส่ชุดยีน ในการ์ตูนนะแหละ ที่เรียกงี้เพราะว่ามีส่วนคล้ายๆกันครับ คือมาทำงานส่วนใหญ่ใช้แรงงาน อยู่กันเป็นกลุ่ม พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง คุยกันไปมาก็ ทะเลาะกันเอง แต่พอคนเชื้อชาติอื่นหรือนอกกลุ่มไปมีเรื่ยงก็จะโดน การรวมพลังของเหล่าฮีโร่ตัวน้อย รุมกระทืบออกมา ......ไม่ได้ยังงี้ยังงั้นนะครับเพราะส่วนใหญ่ที่เจอมาก็เป็นอย่างนี้จริงๆตามค่ายก่อสร้างใหญ่เจอบ่อย.........
เค พอเรียนเสร็จ กลับออกจากห้องเรียนขณะขับรถกลับที่พัก ใจก็ยังสับสน เฮ้อทำไมมันช่าง ยากเย็นขนาดนี้ (แล้วเสียงอินโทรเพลง เรือเล็กควรออกจากฝั่งก็ค่อยๆคลอขึ้น) กลับมาถึงบ้าน นั่งลิสต์ อุปกรณ์ที่ต้องลงทุนเพิ่ม วัตถุดิบต่างๆ จดลิสต์ออกมา เยอะพอสมควร คำนวนเงินที่ต้องลงเพิ่มประมาณ สามถึง สี่หมื่นบาท เฮ้อ เอาไงละบักเซียงเมี่ยง ......