หญิงสาวผู้ทะยานไปกับหมาป่า-- เรื่องราวจากทุ่งหญ้าทิเบต

บังเอิญไปอ่านเจอเรื่องราวน่าประทับใจเกี่ยวกับหญิงสาวกับหมาป่าเลยลองแปลมาแบ่งปันนะคะ อาจยาวไปหน่อยแต่รับรองว่าน่าประทับใจมากๆเลย แปลผิดแปลถูก ข้ามบ้างอะไรบ้างขออภัยนะคะ  ต้นฉบับจากเพจนี้เลยค่ะ  http://www.whitewolfpack.com/2014/02/li-weiyi-woman-who-runs-with-wolves.html

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หญิงสาวผู้ทะยานไปกับหมาป่า




จิตรกรสาว หลี่ เว่ยยี่ ( Li Weiyi) ต้องทนต่อสภาพอากาศที่ทั้งร้อนและหนาวเป็นเวลานานหลายเดือนในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ทั้งต้องละทิ้งวิถีชีวิตคนเมืองอันแสนสะดวกสบาย และหันมาใส่เสื้อผ้าแบบชาวทิเบต ทั้งนี้ก็เพื่อปล่อยลูกหมาป่าที่เธอได้ช่วยชีวิตไว้สมัยที่เธอไปออกทริปวาดภาพ กลับคืนสู่ธรรมชาติ

นับเป็นเวลากว่าเจ็ดเดือนที่เธอต้องใช้ชีวิต กินอยู่ และหลับนอนราวกับเป็น แม่หมาป่า ร่วมกับลูกหมาป่าที่เธอตั้งชื่อให้ว่า Green  (Ge Lin หรือ เจ้าเขียว) ช่วงแรกๆในกรงสำหรับสุนัขพันธุ์แมสทิฟฟ์ และหลังจากนั้นท่ามกลางทุ่งหญ้า เพื่อให้เจ้าหมาป่าคุ้นเคยกับที่อยู่ตามธรรมชาติ จนสุดท้ายสามารถกลับไปรวมกับฝูงหมาป่าได้ในที่สุด

หลี่ เว่ยยี่ จิตกรสาววัย 31 ปีเป็นชาวเสฉวนโดยกำเนิด เธอนับว่าเป็นบุคคลแรกในประเทศจีนที่มีการบันทึกไว้ว่าสามารถเลี้ยงหมาป่าให้อยู่รอดได้ในธรรมชาติ เจ้าหมาป่าพันธุ์เกรย์ วูลฟ์ที่เธอเลี้ยงไว้ขณะนี้อายุได้สองปีครึ่ง นับตั้งแต่เธอเริ่มโครงการปล่อยมันกลับคืนสู่ธรรมชาติมันก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้าเปลี่ยวกับเธอเป็นเวลาเก้าเดือน และอยู่ได้ด้วยตัวมันเองเป็นเวลา21เดือนแล้ว

หลี่เล่าว่า เธอทราบว่าในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามันยังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าคนเลี้ยงสัตว์ชาวทิเบตคอยสังเกต และถ่ายรูปGreenอยู่เสมอ โดยดูจากรอยเท้าและร่องรอยบนร่างกายที่แตกต่างจากหมาป่าตัวอื่นอย่างชัดเจน

สำหรับหลี่เอง เธอเห็นGreenครั้งสุดท้ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 ตอนที่มันกำลังโจมตีฝูงจามรีร่วมกับฝูงหมาป่า มันเข้ามาหาและเลียหน้าเธอก่อนจะกลับไปรวมกับฝูง  ชื่อของเจ้าหมาป่า Green นั้นมาจากสีเขียวขจีของทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ กับชื่อที่แปลเพี้ยนมาจากพี่น้องกริมม์ ผู้แต่งเรื่องหนูน้อยหมวกแดงกับหมาป่าใจร้าย



ปล่อยหมาป่ากลับคืนสู่ธรรมชาติ


หลี่และGreen ต้องเสี่ยงชีวิตเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อที่จะปล่อยเจ้าหมาป่ากลับไปในที่ที่มันควรอยู่ ช่วงเวลานั้นทั้งคู่ต้องเผชิญทั้งกับนกอินทรีย์ที่ดุร้ายและฝูงหมาทิเบตที่ไล่ล่าทั้งคู่เป็นระยะทางหลายไมล์ ครั้งหนึ่งเธอถึงกับต้องง้างปากของหมาแมสทิฟฟ์หลังจากที่มันทำร้ายGreen เธอเคยเกือบไม่รอดชีวิตจากภาวะของเหลวท่วมปอด และอาการเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรงหลังจากที่อาหารที่เตรียมไปด้วยหมด แต่ถึงอย่างไรก็ตามหลี่ก็แปลกใจว่าGreenไม่เคยพยายามที่จะกินเธอเป็นอาหารเลยทั้งๆที่มันเองก็หิวมากเช่นกัน

แต่ทุกสิ่งที่เธอตัดสินใจทำลงไปเพื่อGreenนั้น หลี่ไม่เคยนึกเสียใจเลย

ในบทสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ หลี่กล่าวว่า“Green ไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยง มันต้องการอิสรภาพที่จะเลือกที่อยู่อาศัยที่มันต้องการและการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด อิสรภาพคือสิทธิตามกำเนิดของหมาป่า ฉันจึงไม่อาจพรากอิสภาพไปจากมัน มันควรจะได้อยู่อย่างอิสระ และมีศักดิ์ศรีสมกับเป็นหมาป่า ถึงแม้ว่ามันจะต้องตาย อย่างน้อยมันก็จะตายอย่างมีอิสระ ถ้าต้องเลือกระหว่างความปลอดภัยที่ได้จากการถูกกักขังกับอันตรายจากความมีอิสรภาพ ฉันขอเลือกการผจญภัยที่เสี่ยงภัยให้กับมัน”


หลี่อธิบายประสบการณ์อันเป็นตำนานระหว่างเธอกับGreenไว้ในหนังสือกึ่งชีวประวัติความยาว400,000คำ ชื่อว่า “กลับสู่ฝูงหมาป่า” (Back to the Wolf Pack) หนังสือเล่มนี้ขายได้มากกว่า100,000เล่มภายในสองเดือนถึงแม้จะมีการละเมิดลิขสิทธิ์ก็ตาม เธอบอกว่าเธอค่อนข้างเครียดหลังจากที่เขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จ “มันอาจจะจบลงด้วยดีจากการที่Greenมีชีวิตรอดและกลับไปรวมกับฝูงได้สำเร็จ แต่ว่าหมาป่ากำลังเผชิญกับอันตรายที่มากกว่านั้น บางทีอีกหลายปีต่อจากนี้ หมาป่า หนังสือเกี่ยวกับหมาป่า หรือแม้แต่เรื่องของฉันกับGreenจะกลายเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่า และผู้คนจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณแห่งหมาป่าและก็ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ได้ก็จากหนังสือของเราเท่านั้น”

หลี่ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากผู้อ่าน แต่ก็มีบางคนที่กล่าวหาว่าเธอมัวเสียเวลาและพลังงานไปกับสัตว์ แทนที่จะไปช่วยเหลือเด็กกำพร้าหรือเด็กๆที่ยากจนและต้องการความช่วยเหลือ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำวิจารณ์เหล่านั้น “พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันไม่ใช่แค่การช่วยชีวิตหนึ่งเท่านั้น หมาป่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อระบบนิเวศน์ของทุ่งหญ้า และฉันหวังว่าเรื่องราวของเราจะช่วยเปลี่ยนทัศนคติที่ผู้คนมีต่อหมาป่า และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับทุ่งหญ้าโดยทำให้คนหันมาสนใจมากขึ้น”



การพบเจอกัน


บ้านเกิดของหลี่อยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยภูเขาในจังหวัดเสฉวน ในวัยเด็กเธอจึงมีเพื่อนเล่นเป็นกระรอก เม่น งู หมูป่า สุนัขจิ้งจอก กระต่ายและไก่ป่า บ่อยครั้งทีเธอได้ช่วยเหลือสัตว์ที่หลงมาตามข้างทางและยังได้เริ่มโครงการรณรงค์ช่วยเหลือหมีควายในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกเลี้ยงในฟาร์มเพื่อเอาถุงน้ำดีอีกด้วย  

“เด็กๆที่เติบโตบนภูเขาจะมีโลกที่กว้างใหญ่ในหัวใจของพวกเขา” หลี่กล่าว

ในหนังสือของเธอ มีรูปภาพหนึ่งของGreenกับเธอที่ดูอ่อนโยนงดงาม



แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอเกิดมาเป็นคนที่แข็งแกร่งและหัวดื้อ เธอต้องการที่จะวาดภาพตั้งแต่อายุห้าขวบและมีครั้งหนึ่งเธอเฝ้ารออยู่นอกบ้านของอาจารย์ศิลปะถึงสามวันเพื่อให้เขาตอบรับเธอเป็นลูกศิษย์ เธอขายภาพแรกของเธอเมื่ออายุได้14ปี และหลังจากนั้นอีกสองปีก็มีงานแสดงศิลปะของตัวเอง ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในเฉิงตูโดยมีอาชีพเป็นจิตรกร

“ตอนที่ฉันไปสเกตช์ภาพในทุ่งหญ้าในปี2011 ฉันไม่คิดเลยว่าโชคชะตาจะกำหนดให้ลูกหมาป่าที่กำลังจะตายที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือตัวนั้น มีอิทธิพลกับชีวิตฉันขนาดนี้”

เดือนพฤษภาคมปีนั้นระหว่างที่เธอเดินทางไปสเกตช์ภาพ เธอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหมาป่าเรื่องหนึ่งจากชาวทิเบต หมาป่าตัวผู้เพิ่งจะฆ่าแกะเพื่อเป็นอาหารให้กับคู่ของมันและลูกหมาป่าที่เพิ่งเกิด เจ้าของฝูงแกะฆ่าหมาป่าตัวผู้ หมาป่าตัวเมียผู้เศร้าโศกบุกไปที่คอกแกะในตอนกลางวัน และในตอนกลางคืนเฝ้าหอนในจุดที่คู่ของมันถูกฆ่า ในที่สุดหมาป่าตัวเมียก็ถูกตามล่าเป็นเวลาหลายวันและถูกวางยาเบื่อ ทิ้งลูกหมาป่าเพิ่งเกิด7ตัวให้หิวโหย คนเลี้ยงสัตว์จึงนำพวกมันไปเลี้ยง

หลังจากได้ยินเรื่องราวนี้แล้วหลี่ก็ไม่สามารถต้านทานความรู้สึกอยากเห็นหมาป่าตัวเป็นๆได้ เธอใช้เวลาหลายวันสอบถามข้อมูลและเดินทางไปจนพบกับเต็นท์ของคนเลี้ยงสัตว์ในที่สุด

ภายในเต็นท์มีลูกหมาป่าอายุ10วันอยู่เพียงตัวเดียว มันดูเป็นก้อนขนสัตว์สีเทาก้อนเล็กๆที่แทบจะไม่หายใจแล้ว พี่น้องของมันตัวอื่นๆตายไปหมด หลี่เองก็คิดว่ามันตายด้วยเช่นกันจึงก้มลงไปร้องไห้ เจ้าหมาป่าน้อยค่อยคืบคลานมาใกล้เธอและส่งเสียงร้องอ้อนขอกินนม เธอตกลงกับคนเลี้ยงสัตว์ และนำเจ้าลูกหมาป่าตัวน้อยที่กำลังป่วยกลับไปเฉิงตูด้วย




เริ่มเจ็บปวด


“ถ้าหากฉันสามารถย้อนกลับไปได้ ฉันจะไม่มีทางพาGreenกลับไปที่เฉิงตูด้วย ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองเป็นช่วงเวลาที่แสนเศร้าสำหรับมัน ฉันไม่เคยเสียใจเลยที่ภายหลังมันจะถูกหมาแมสทิฟฟ์กัด หรือถูกล่าโดยหมาทิเบตเพราะมันคือบทเรียนที่จำเป็น”

ตอนที่กลับไปยังเฉิงตู หลี่แอบเอาหมาป่าน้อยเข้าไปในบ้านที่เธออยู่กับพ่อและแม่โดยซ่อนมันไว้ในห้องสตูดิโอของเธอ หลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่ในแฟลต เธอให้ข้าวต้มเนื้อกับมัน ภายหลังก็ป้อนเนื้อสด และชอคโกแลตที่เป็นของหวานที่มันโปรดปราน

หลี่ประทับใจกับประสาทการรับรู้เรื่องที่อยู่อาศัยของเจ้าหมาป่าน้อย และประทับใจกับความทระนง ความมีชีวิตชีวา สัญชาตญาณในการเอาตัวรอด และแรงปรารถนาต่ออิสรภาพของมัน นอกจากนี้ มันยังมีความรักที่จริงใจมอบให้กับคนที่มันไว้ใจซึ่งก็คือหลี่เพียงคนเดียวอีกด้วย “นั่นเป็นสาเหตุที่ฉันยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อคืนมันสู่ธรรมชาติ ปัจจุบันนี้สิ่งที่ทำให้เราประทับใจแบบนี้ได้มีเพียงไม่กี่สิ่งและนับวันยิ่งน้อยลงไปเต็มที”

เธอไม่ได้พยายามที่จะทำให้Green เชื่อง ตรงกันข้ามเธอปล่อยให้มันวิ่งเล่นได้อย่างอิสระในแถบนอกเมืองและบนดาดฟ้าของที่พักของเธอ แต่กลับเป็นการยากขึ้นเรื่อยๆที่จะซ่อนมันในแถบละแวกที่พัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเริ่มที่จะเรียนรู้วิธีการหอนหลังจากฟังเสียงหอนของหมาป่าที่หลี่บันทึกเอาไว้ แต่เสียงหอนของGreen ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอสามารถแยกออกได้ว่าหมาป่าตัวไหนคือGreen

เพื่อนบ้านเริ่มจะร้องเรียนเกี่ยวกับเธอ และตำรวจก็ทำให้หลี่หงุดหงิด ตอนนั้นGreenมีอายุเพียงสองเดือนแต่หนักเกือบๆ12กิโลกรัมแล้ว
การเดินในช่วงบ่ายที่ทั้งคู่ทำเป็นประจำเริ่มกลายเป็นฝันร้าย Green วิ่งหนีไป เมื่อหลี่ตามพบมันกำลังงงกับสี่แยกที่วุ่นวาย หวาดกลัวกับไฟหน้าของรถยนต์ที่แสบตา เสียงเบรก เสียงแตรรถยนต์และคนขับที่ก่นด่า

“ในตอนนั้นเองที่ฉันเห็นชีวิตสัตว์ป่าที่ขัดแย้งกับความเจริญในเมือง” หลี่ย้อนความหลัง เธอจำต้องขังมันไว้บนดาดฟ้าซีเมนต์แต่ทว่า พื้นที่บนดาดฟ้ากลับถูกใช้เป็นที่ตั้งของจอLED เธอจึงรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องพาGreenกลับไป หลี่ค้นคว้าอย่างหนักเกี่ยวกับการปล่อยหมาป่ากลับคืนสู่ธรรมชาติซึ่งรวมถึงที่อุทยานแห่งชาติYellowstoneในสหรัฐอเมริกาด้วย ในที่สุดเธอตัดสินใจที่จะพามันไปทุ่งหญ้า Zoigeเพื่อเทรนและปล่อยมันไปในที่สุด ตอนนั้นเป็นเดือนกรกฎาคม Green อายุได้สองเดือนครึ่งแล้ว




ร่วมเป็นร่วมตาย

ในอีเมล์ที่หลี่เขียนถึงเซี่ยงไฮ้เดลี่ เธอกล่าวว่า “คุณจำเป็นต้องร่วมเป็นร่วมตายกับหมาป่าเท่านั้น มันจึงจะเห็นว่าคุณเป็นครอบครัวเดียวกับมัน ถึงฉันจะแข็งแรงแบบนี้ แต่ต้องเกือบตายเหมือนกันกว่าจะฝ่าฟันทุกอย่างร่วมกับมันมาได้ ฉันเกือบจะไม่รอดแล้วเชียว”

ในขั้นแรกของการใช้ชีวิตกลางแจ้ง หลี่ได้พากรีนไปอยู่รวมกับฝูงสุนัขแมสทิฟฟ์ของเพื่อนคนหนึ่งในZoige ที่นั่นใกล้กับบ้านเกิดของGreenและค่อนข้างปลอดภัยจากนักล่าสัตว์ แต่ถึงกระนั้นมันก็อันตรายเนื่องจากแมสทิฟฟ์มีนิสัยสู้กับหมาป่าและตอนนั้นGreenเองก็ยังตัวเล็กเกินไปที่จะสู้
อย่างไรก็ตาม หลังจากการสู้หลายๆครั้งเพื่อทำความคุ้นเคยแล้ว เหล่าแมสทิฟฟ์ก็ยอมรับเจ้าหมาป่าและยอมเล่นกับมันในที่สุด ดังนั้นหลี่กับGreenจึงพักอาศัยอยู่ที่นั่นสักพักเพื่อให้มันได้รู้จักเกมการฆ่าสัตว์ เก็บตุนอาหาร และ วิธีเอาตัวรอดกลางแจ้ง

*หมายเหตุ สุนัขพันธุ์ Tibetan Mastiff

ในเดือนตุลาคมปี2010 หลี่และกรีนออกเดินทางพร้อมกันครั้งแรกเพื่อไปตามหาฝูงหมาป่า ทว่าล้มเหลวเมื่อGreenพยายามที่พาหมาป่าตัวหนึ่งกลับมาหาหลี่ ผู้ซึ่งมันไว้วางใจ Greenโดนกัดเป็นแผลสาหัสที่ไหล่ ทั้งหลี่และGreenต้องทนอดอยากเป็นเวลาสามวันหลังจากที่อาหารของทั้งคู่หมดลง

ปลายหน้าหนาวในปีนั้นหลี่เตรียมตัวให้พร้อมกว่าเดิมและเริ่มความพยายามอีกครั้ง

“ช่วงหน้าหนาวถือเป็นช่วงเวลาออกล่าสำหรับฝูงหมาป่า และจะต้องการเลือดใหม่(สมาชิกใหม่)เพื่อมาช่วยล่า ตอนนี้Greenอายุได้8เดือนพอดี สามารถไล่ล่าได้แต่จะไม่เป็นภัยต่อหมาป่าที่อายุมากกว่า ดังนั้นการยอมรับGreenเข้าฝูงน่าจะเป็นเรื่องง่าย” เธออธิบาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่