เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนที่ต้นมะยมหน้าบ้านตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ต่อและยืนต้นตาย
คุณป้าที่บ้านตัดสินใจให้คนงานมาตัดและขุดตอต้นมะยมออก
คุณย่ายืนมองพื้นดินเปล่าข้างๆรั้วบ้าน ที่มีขนาดเพียงแค่ 1x1 ตารางเมตร แล้วใช้ความคิดอยู่หลายวัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านไปตลาด และได้เม็ดของอะไรสักอย่างมาจากแม่ค้าที่สนิสนมกัน
ฉันเห็นคุณย่าค่อยๆหย่อนเมล็ดเล็กๆเหล่านั้นลงในกระถางใบน้อย และมาประคบประหงม เพาะจนขึ้นเป็นต้นเล็กๆ
"ย่าจะเอามาลงแทนต้นมะยม" คุณย่าว่าอย่างนั้น
"ย่าใจร้าย อย่างนี้แม่ก็มีไม้เรียวมาตีหนูแทนไม้มะยมน่ะสิ" ฉันงอนคุณย่า
คุณย่าหัวเราะ แล้วพูดกลับว่า "อย่ามาเด็ดของย่ากินก็แล้วกัน"
เวลาผ่านไปจนฉันเข้ามหาวิทยาลัย และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหอพัก นานๆ ถึงจะกลับบ้านเสียที
ทุกครั้งที่กลับบ้าน ก็จะได้ยินคุณย่าพูดเสมอๆว่า
"หนูเห็นตะลิงปลิงของย่ารึยังลูก ลูกมันดกมาเลยนะ เก็บไปทานที่หอสิ"
ฉันจำได้ว่า ฉันไม่เคยทำตามที่คุณย่าพูดเลย เพราะคิดเสียแต่ว่าไม่มีมือจะถือถุงตะลิงปลิงกลับเข้าหอ
ลำพังข้าวของ กระเป๋าเสื้อผ้าก็เยอะพออยู่แล้ว
จนวันหนึ่ง ก่อนที่จะขึ้นรถกลับหอพัก คุณย่ายื่นถุงก๊อบแก๊บใบใหญ่ใบหนึ่งให้
"ย่าเก็บไว้ให้แน่ะ เห็นว่ารอบนี้น่าจะรอบสุดท้ายของช่วงนี้แล้ว ตะลิงปลิงอาจจะทิ้งช่วงอีกสักพัก
เอาไปทานนะลูกนะ แก้ง่วงตอนอ่านหนังสือได้เชียวล่ะ ย่ารับประกัน"
ฉันรับถุงจากคุณย่ามาอย่างเสียไม่ได้ และหอบหิ้วเข้าหอพัก
เพื่อนฉันเห็นของในถุงก็สนใจกันใหญ่
บ้างขอชิม แล้วทำตาหยี
บ้างชิมแล้วติดใจ ขอแบ่งไป แล้วบอกว่าจะไปหากะปิมาจิ้ม
ส่วนที่เหลือ ฉันวางไว้ในตู้เย็นอย่างนั้น
เหตุผลที่ไม่กล้ากินตะลิงปลิงของคุณย่า มีอยู่เหตุผลเดียว นั่นคือ
เป็นที่รู้กัน ว่าพื้นดินที่ปลูกตะลิงปลิงตรงนั้น เป็นเพียงหย่อมเดียว ที่หมาๆจะยอมไปถ่ายทุกข์
ทั้งทุกข์เบา และทุกข์หนัก
เวลาเห็นตะลิงปลิงลูกดก ลูกเต่งน่ากิน ฉันจึงทำใจให้เด็ดมากัดกร้วมไม่ได้เสียที
จนเมื่อ4-5 ปีที่แล้ว ที่หมาๆที่บ้านโบกขาหน้าลาโลกไป
นั่นแหละ ฉันถึงได้กล้าเด็ดตะลิงปลิงที่บ้านมาทานให้คุณย่าชื่นใจเป็นครั้งแรก
1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตะลิงปลิงที่บ้านออกลูกอีกครั้ง
นอกจากจะเก็บไปฝากน้องที่ทำงานแล้ว
จิ้มกะปิก็แล้ว
จิ้มน้ำปลาหวานก็แล้ว
ทำน้ำพริกตะลิงปลิงทานก็แล้ว
เก็บไปฝากข้างบ้านก็แล้ว
ตะลิงปลิงที่บ้านก็ยังไม่ยอมหมด
จนกระทั่งเมื่อเช้า ฉันเห็นคุณย่ายืนอยู่ข้างต้นตะลิงปลิงสุดรัก แล้วส่ายหน้า
ได้ยินเสียงคุณย่าเปรยว่า
"ลูกดกมาหลายปีอย่างนี้ กี่ทีๆก็ทานกันไม่หวาดไม่ไหว
ฟันปลอมฉันกร่อนหมดแล้วนะ"
ว่าแล้ว ก็มาหาวิธีกำจัดตะลิงปลิงกันเถอะ
เริ่มจากล้างยางออกให้สะอาดเสียก่อน
บางคนใช้วิธีหั่นเป็นแว่นๆ
แต่ฉันชอบหั่นตามยาวมากกว่า
เสร็จแล้วก็เคี่ยวน้ำปลากับน้ำตาลปีบเตรียมไว้
ระหว่างรอให้น้ำปลาเย็นตัว ก็เตรียมเครื่อง
ด้วยการซอยพริกขี้หนู หอมแดง
และเตรียมถั่วลิสงคั่ว กับกุ้งแห้งมาวางไว้เตรียมพร้อม
พอน้ำปลาเย็นลง ทุกอย่างพร้อมแล้วก็ลุย
คลุกเครื่องทุกอย่างเข้าด้วยกัน ปรุงหวานเค็มเพิ่มตามใจชอบ
ตักใส่จานเตรียมเสริฟคุณย่า และเด็กๆที่บ้าน
เด็กๆ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
ส่วนคุณย่าได้แต่ชิม 1-2 คำ แล้ววางช้อนลง
"ย่ากลัวฟันปลอมมันจะกร่อน แต่หนูทำอร่อยนะลูก"
ฉันยิ้มให้ท่านอย่างเข้าใจ ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเจ้าตัวเล็กๆก็คงจะทานกันจนหมด
ตอนที่ฉันหมุนตัวกลับเข้าครัว เพื่อจะไปล้างจานชามหม้อไหที่ใช้เตรียมเครื่อง
ได้ยินเสียงคุณย่าพูดกับพวกเจ้าตัวเล็กๆ ดังมาแว่วๆว่า
"อ้าว อย่าเพิ่งทานหมดๆ
เจ้าแตงๆ ไปหาปลากรอบให้ย่าที
ย่าจะทานกับยำนี่"
** ยำตะลิงปลิง ** (เข้าครัวยามค่ำ เข้าห้องน้ำยามดึก ^ ^")
คุณป้าที่บ้านตัดสินใจให้คนงานมาตัดและขุดตอต้นมะยมออก
คุณย่ายืนมองพื้นดินเปล่าข้างๆรั้วบ้าน ที่มีขนาดเพียงแค่ 1x1 ตารางเมตร แล้วใช้ความคิดอยู่หลายวัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านไปตลาด และได้เม็ดของอะไรสักอย่างมาจากแม่ค้าที่สนิสนมกัน
ฉันเห็นคุณย่าค่อยๆหย่อนเมล็ดเล็กๆเหล่านั้นลงในกระถางใบน้อย และมาประคบประหงม เพาะจนขึ้นเป็นต้นเล็กๆ
"ย่าจะเอามาลงแทนต้นมะยม" คุณย่าว่าอย่างนั้น
"ย่าใจร้าย อย่างนี้แม่ก็มีไม้เรียวมาตีหนูแทนไม้มะยมน่ะสิ" ฉันงอนคุณย่า
คุณย่าหัวเราะ แล้วพูดกลับว่า "อย่ามาเด็ดของย่ากินก็แล้วกัน"
เวลาผ่านไปจนฉันเข้ามหาวิทยาลัย และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหอพัก นานๆ ถึงจะกลับบ้านเสียที
ทุกครั้งที่กลับบ้าน ก็จะได้ยินคุณย่าพูดเสมอๆว่า
"หนูเห็นตะลิงปลิงของย่ารึยังลูก ลูกมันดกมาเลยนะ เก็บไปทานที่หอสิ"
ฉันจำได้ว่า ฉันไม่เคยทำตามที่คุณย่าพูดเลย เพราะคิดเสียแต่ว่าไม่มีมือจะถือถุงตะลิงปลิงกลับเข้าหอ
ลำพังข้าวของ กระเป๋าเสื้อผ้าก็เยอะพออยู่แล้ว
จนวันหนึ่ง ก่อนที่จะขึ้นรถกลับหอพัก คุณย่ายื่นถุงก๊อบแก๊บใบใหญ่ใบหนึ่งให้
"ย่าเก็บไว้ให้แน่ะ เห็นว่ารอบนี้น่าจะรอบสุดท้ายของช่วงนี้แล้ว ตะลิงปลิงอาจจะทิ้งช่วงอีกสักพัก
เอาไปทานนะลูกนะ แก้ง่วงตอนอ่านหนังสือได้เชียวล่ะ ย่ารับประกัน"
ฉันรับถุงจากคุณย่ามาอย่างเสียไม่ได้ และหอบหิ้วเข้าหอพัก
เพื่อนฉันเห็นของในถุงก็สนใจกันใหญ่
บ้างขอชิม แล้วทำตาหยี
บ้างชิมแล้วติดใจ ขอแบ่งไป แล้วบอกว่าจะไปหากะปิมาจิ้ม
ส่วนที่เหลือ ฉันวางไว้ในตู้เย็นอย่างนั้น
เหตุผลที่ไม่กล้ากินตะลิงปลิงของคุณย่า มีอยู่เหตุผลเดียว นั่นคือ
เป็นที่รู้กัน ว่าพื้นดินที่ปลูกตะลิงปลิงตรงนั้น เป็นเพียงหย่อมเดียว ที่หมาๆจะยอมไปถ่ายทุกข์
ทั้งทุกข์เบา และทุกข์หนัก
เวลาเห็นตะลิงปลิงลูกดก ลูกเต่งน่ากิน ฉันจึงทำใจให้เด็ดมากัดกร้วมไม่ได้เสียที
จนเมื่อ4-5 ปีที่แล้ว ที่หมาๆที่บ้านโบกขาหน้าลาโลกไป
นั่นแหละ ฉันถึงได้กล้าเด็ดตะลิงปลิงที่บ้านมาทานให้คุณย่าชื่นใจเป็นครั้งแรก
1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตะลิงปลิงที่บ้านออกลูกอีกครั้ง
นอกจากจะเก็บไปฝากน้องที่ทำงานแล้ว
จิ้มกะปิก็แล้ว
จิ้มน้ำปลาหวานก็แล้ว
ทำน้ำพริกตะลิงปลิงทานก็แล้ว
เก็บไปฝากข้างบ้านก็แล้ว
ตะลิงปลิงที่บ้านก็ยังไม่ยอมหมด
จนกระทั่งเมื่อเช้า ฉันเห็นคุณย่ายืนอยู่ข้างต้นตะลิงปลิงสุดรัก แล้วส่ายหน้า
ได้ยินเสียงคุณย่าเปรยว่า
"ลูกดกมาหลายปีอย่างนี้ กี่ทีๆก็ทานกันไม่หวาดไม่ไหว
ฟันปลอมฉันกร่อนหมดแล้วนะ"
ว่าแล้ว ก็มาหาวิธีกำจัดตะลิงปลิงกันเถอะ
เริ่มจากล้างยางออกให้สะอาดเสียก่อน
บางคนใช้วิธีหั่นเป็นแว่นๆ
แต่ฉันชอบหั่นตามยาวมากกว่า
เสร็จแล้วก็เคี่ยวน้ำปลากับน้ำตาลปีบเตรียมไว้
ระหว่างรอให้น้ำปลาเย็นตัว ก็เตรียมเครื่อง
ด้วยการซอยพริกขี้หนู หอมแดง
และเตรียมถั่วลิสงคั่ว กับกุ้งแห้งมาวางไว้เตรียมพร้อม
พอน้ำปลาเย็นลง ทุกอย่างพร้อมแล้วก็ลุย
คลุกเครื่องทุกอย่างเข้าด้วยกัน ปรุงหวานเค็มเพิ่มตามใจชอบ
ตักใส่จานเตรียมเสริฟคุณย่า และเด็กๆที่บ้าน
เด็กๆ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
ส่วนคุณย่าได้แต่ชิม 1-2 คำ แล้ววางช้อนลง
"ย่ากลัวฟันปลอมมันจะกร่อน แต่หนูทำอร่อยนะลูก"
ฉันยิ้มให้ท่านอย่างเข้าใจ ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเจ้าตัวเล็กๆก็คงจะทานกันจนหมด
ตอนที่ฉันหมุนตัวกลับเข้าครัว เพื่อจะไปล้างจานชามหม้อไหที่ใช้เตรียมเครื่อง
ได้ยินเสียงคุณย่าพูดกับพวกเจ้าตัวเล็กๆ ดังมาแว่วๆว่า
"อ้าว อย่าเพิ่งทานหมดๆ
เจ้าแตงๆ ไปหาปลากรอบให้ย่าที
ย่าจะทานกับยำนี่"