จะมาปฏิรูปหรือจะมาทำลายศาสนา

กระทู้สนทนา
ดร.นพ.มโน เลาหวนิช หรืออดีตพระเมตตานันโท อดีตกรรมการบริหารอาวุโสและมูลนิธิวัดพระธรรมกาย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการ คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา
      ตามประวัตินั้น ดร.นพ.มโนหรืออดีตพระมโน หรือที่เรียกกันตามฉายาว่า "เมตตานันโท" นั้น เคยเป็นหมอมาก่อน ตอนหลังได้ตัดสินใจบวชพระที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อ พ.ศ.2525 ศึกษาจนจบนักธรรมชั้นเอก และเรียนบาลีสอบได้ประโยค 1-2 และต่อมาก็เข้าสังกัดวัดพระธรรมกาย ซึ่งได้รับทุนการศึกษาจากพระธัมมชโย และได้รับการส่งเสริมให้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา ในช่วงปี พ.ศ.2535-3537 เคยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอำนวยการสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา จนกลับมาสู่ประเทศไทย แล้วเกิดเหตุการณ์พลิกผัน ไม่สามารถเดินทางเส้นเดียวกับเจ้าอาวาสผู้มีพระคุณคือพระธัมมชโยได้ พระเมตตานันโทประกาศลาออกจากวัดพระธรรมกาย แล้วไปสังกัดวัดราชโอรสารามของพระธรรมกิตติวงศ์

    พระมโนมาดังสุดขีดเมื่อออกหนังสือเล่มที่ชื่อ "เหตุเกิด พ.ศ.01" ในปี พ.ศ.2545 โดยเนื้อเรื่องนั้นเขียนถึงปีสุดท้ายแห่งพระชนมชีพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เล่าเรื่องการเสวยสุกรมัททวะเป็นพื้น ก่อนเข้าสู่สาลวโนทยานที่เมืองกุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระมโนใช้ความเป็นทั้งพระทั้งแพทย์ วิเคราะห์เจาะลึกถึงความเป็นไปได้ในเรื่องการปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ต่อจากนั้น พระมโนหันไปใช้การเมืองมาเขียนขมวดปม เริ่มจากการทำสังคายนาครั้งที่ 1 ภายหลังพระพุทธองค์ทรงปรินิพพานได้ 3 เดือน โดยพระมโนระบุว่า "การทำสังคายนาครั้งนั้น เป็นการวางแผนปฏิวัติยึดอำนาจของพระมหากัสสปะ และพระสงฆ์ในสังกัด และเป็นการวางแผนกำจัดภิกษุณีให้สูญสิ้นไปจากโลกด้วย" โดยทั้งนี้ พระมโนพยายามชี้ให้เห็นว่า พระไตรปิฎกที่ชาวพุทธใช้กันอยู่ทั่วโลกนั้น เป็นผลงานของพระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นผู้วางแผนยึดอำนาจในช่วงพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระไตรปิฎกที่ปรากฏอยู่ในสมัยปัจจุบันจึงน่าจะผิดพลาดคลาดเคลื่อน เพราะเป็นผลงานของคณะปฏิวัติที่มีพระมหากัสสปะเป็นหัวหน้า เหมือนๆ กับการแอนตี้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ฝ่ายต่อต้านระบุว่า "ต่อให้เขียนดีอย่างไร มันก็เป็นผลงานของคณะปฏิวัติ หรือ คมช. แค่นั้น"

     ที่น่าแปลกก็คือว่า แม้ว่าพระมโนจะระบุ ทำนองไม่ยอมรับบทบาทของพระมหากัสสปะในการเป็นหัวหน้าทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 1 ใน พ.ศ.01 แต่พระมโนกลับยกเอาข้อความต่างๆ ในพระไตรปิฎกมาอ้างอิงในหนังสือของตนเองมั่วตั้วเต็มไปหมด ก็เท่ากับลงเอยในคำพังเพยที่ว่า "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" คือ แม้จะเขียนวิพากษ์วิจารณ์ไม่ยอมรับบทบาทของพระมหากัสสปะในการเป็นผู้นำสังคายนาพระธรรมวินัย แต่พระมโนก็ไม่มีปัญญาไปหาพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ มาอ้างอิง เพราะพระไตรปิฎกทุกชุดในโลกนี้ ล้วนแตกหน่อออกไปจากพระไตรปิฎกที่ผ่านการสังคายนาของพระมหากัสสปะทั้งสิ้น

     กระแสสังคมรุมกระหน่ำพระมโนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเขียนของพระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ตอนนั้นยังเป็นพระธรรมปิฎก) หรือท่านเจ้าคุณประยุทธ ปยุตฺโต วัดญาณเวศกวัน ซึ่งพระมโนได้อ้างอิงพระเดชพระคุณไว้ในหนังสือเล่มนั้นด้วย โดยท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ได้ออกหนังสือชื่อว่า "ตื่นกันเสียที จากความเท็จของหนังสือเหตุเกิด พ.ศ.1" ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการดิสเครดิตของพระมโน เนื่องเพราะพระมโนอ้างอิงพระพรหมคุณาภรณ์ไว้ในคำนำหนังสือเล่มนั้น แต่บุคคลที่อ้างอิงไว้นั้นกลับไม่ยอมรับ แถมยังออกหนังสือหักล้างในทุกประเด็นอีกต่างหาก  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พระมโนหาได้ยินยอมพร้อมใจจะรับคำติชมจากพระธรรมปิฎกไม่ พระมโนได้ใช้โอกาสนั้นออกหนังสือ "แก้ตัว" ปฏิเสธข้อกล่าวหา และตอบโต้พระธรรมปิฎกอย่างที่เรียกว่า "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" สุดท้ายหนังสือ "เหตุเกิด พ.ศ.1" ของพระมโนถึงจะดัง แต่ก็ดังวูบเดียวดับ หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นการแจ้งตาย มิใช่แจ้งเกิด

     หลังจากนั้นพระมโนก็เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยอมออกหนังสืออีก หันไปเอาดีด้านการสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยต่างๆ และงานที่เน้นเป็นข่าวมากที่สุดของพระมโนก็คือ รณรงค์ช่วยให้ผู้หญิงบวชเป็นพระภิกษุณีต่างกรรมต่างวาระกัน จนกระทั่งมาตัดสินใจสลัดผ้าเหลืองออกไปเป็นนักการเมืองในสังกัดพรรคชาติไทยในวันนี้ วันที่คงไม่มีใครเชื่อว่า ผู้ที่ประกาศอาจหาญว่าซื่อตรงคงมั่นในพระธรรมวินัย และมุ่งมั่นในการประกาศพระศาสนายิ่งกว่าพระสงฆ์รูปไหนๆ ในยุคนี้ เช่นพระมโน เมตฺตานนฺโท นั้น จะยอมสละเพศบรรพชิต เพื่อเลือกกับความเป็นนักการเมืองไปได้ หรือจะเป็นว่า พระมโนได้บรรลุสัจจธรรมแนวใหม่ เพราะตอนที่ลาออกจากวัดพระธรรมกายมานั้น พระมโนบอกว่า "แม้ว่าจะมิเป็นไปตามปณิธานที่ตั้งไว้แต่แรก แต่การออกมาก็ทำให้ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างเป็นอิสระและกว้างขวางมากกว่าเดิม" และครั้งนี้ เมื่อสละเพศบรรพชิตกลับคืนสู่เพศคฤหัสถ์อีกหน ไม่รู้ว่า "ทิดมโน" จะได้ศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนาอย่างอิสระเสรีและกว้างขวางยิ่งกว่าตอนอยู่ในผ้าเหลืองหรือไม่ ????

  






แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่