[พระไตรปิฏก] ปฐมสังคายนา (1)



   เรื่องสังคายนาใหญ่ครั้งแรก               
               ชื่อว่าปฐมมหาสังคายนานี้ แม้ได้จัดขึ้นพระบาลีไว้ในวินัยปิฎกแล้ว ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ควรทราบปฐมมหาสังคายนาแม้ในอรรถกถานี้ เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในเหตุที่เป็นมา ดังต่อไปนี้
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของสัตวโลก ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ เริ่มต้นแต่ทรงแสดงพระธรรมจักรจนถึงโปรดสุภัททปริพาชก แล้วเสด็จปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เวลาใกล้รุ่งวันวิสาขปูรณมี ระหว่างต้นสาละคู่ในสาลวันอุทยานของมัลลกษัตริย์ ตรงที่เป็นทางโค้ง ใกล้กรุงกุสินารา ท่านพระมหากัสสปะผู้เป็นสังฆเถระของภิกษุประมาณเจ็ดแสนรูปที่ประชุมกันในวันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาระลึกถึงคำที่หลวงตาสุภัททะกล่าวเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ ๗ วันว่า พอกันทีอาวุโสทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าเศร้าโศกไปเลย อย่าร่ำไรไปเลย เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะนั้น ด้วยว่าพวกเราถูกท่านจู้จี้บังคับว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอทั้งหลาย สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้ แต่บัดนี้พวกเราปรารถนาสิ่งใดจักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดจักไม่กระทำสิ่งนั้น ดังนี้.๑-
____________________________
๑- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๑๔

               ท่านพิจารณาเห็นว่าการประชุมสงฆ์จำนวนมากเช่นนี้ ต่อไปจะหาได้ยาก จึงดำริต่อไปว่า พวกภิกษุชั่วจะเข้าใจว่าปาพจน์มีศาสดาล่วงแล้ว ได้พวกฝ่ายอลัชชี จะพากันย่ำยีพระสัทธรรมให้อันตรธานต่อกาลไม่นานเลย นั้นเป็นฐานะที่จะมีได้แน่นอน.
               จริงอยู่ พระธรรมวินัยยังดำรงอยู่ตราบใด ปาพจน์ก็หาชื่อว่ามีศาสดาล่วงแล้วไม่อยู่ตราบนั้น
               สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๒-
               ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดอันเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ดังนี้.
____________________________
๒- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๔๑

               อย่ากระนั้นเลย เราพึงสังคายนาพระธรรมและพระวินัยโดยวิธีที่พระศาสนานี้จะมั่นคงดำรงอยู่ชั่วกาลนาน.
               อนึ่ง ตัวเราอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๓-
               ดูก่อนกัสสปะ เธอจักห่มได้หรือไม่ซึ่งผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้เก่าแล้วของเรา ดังนี้
               ทรงอนุเคราะห์ด้วยสาธารณบริโภคในจีวร และด้วยการสถาปนาไว้เสมอกับพระองค์ในธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ต่างโดยอนุปุพพวิหาร ๙ และอภิญญา ๖ เป็นต้น โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราต้องการสงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌานอยู่เพียงใด
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้กัสสปะต้องการสงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌานอยู่เพียงนั้น๔- ดังนี้.
____________________________
๓- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๕๒๔   ๔- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๔๙๗

               ยิ่งกว่านั้น ยังสรรเสริญด้วยความเป็นผู้มีจิตไม่ติดอยู่ในตระกูล เหมือนสั่นมือในอากาศ และด้วยปฏิปทาเปรียบด้วยพระจันทร์ การทรงอนุเคราะห์และการทรงสรรเสริญ เป็นประหนึ่งหนี้ของเรา กิจอื่นนอกจากการสังคายนาที่จะให้เราพ้นสภาพหนี้ จักมีอะไรบ้าง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบซึ่งเรามิใช่หรือว่า กัสสปะนี้จักเป็นผู้ประดิษฐานวงศ์พระสัทธรรมของเราดังนี้ แล้วทรงอนุเคราะห์ด้วยความอนุเคราะห์อันไม่ทั่วไปนี้
               และทรงสรรเสริญด้วยการสรรเสริญอันยอดเยี่ยมนี้ เหมือนพระราชาทรงทราบพระราชโอรสผู้จะประดิษฐานวงศ์ตระกูลของพระองค์ แล้วทรงอนุเคราะห์ด้วยการมอบเกราะและพระอิสริยยศของพระองค์ฉะนั้นดังนี้ ยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อสังคายนาพระธรรมวินัย.
               สมดังคำที่พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ในสุภัททกัณฑ์ว่า๕-
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะแจ้งให้ภิกษุทั้งหลายทราบว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง เราเดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูปดังนี้เป็นต้น.
               สุภัททกัณฑ์ทั้งหมด บัณฑิตควรทราบโดยพิสดาร. แต่ข้าพเจ้าจักกล่าวเนื้อความของสุภัททกัณฑ์นั้นในอาคตสถานตอนจบมหาปรินิพพานสูตรเท่านั้น.
               ต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสปะกล่าวว่า๕-
               เอาเถิดท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายจะสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ต่อไปเบื้องหน้า อธรรมรุ่งเรือง ธรรมจะร่วงโรย ต่อไปเบื้องหน้า อวินัยรุ่งเรือง วินัยจะร่วงโรย ต่อไปเบื้องหน้า อธรรมวาทีมีกำลัง ธรรมวาทีจะอ่อนกำลัง ต่อไปเบื้องหน้า อวินัยวาทีมีกำลัง วินัยวาทีจะอ่อนกำลัง.
____________________________
๕- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๑๔

               ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ขอพระเถระโปรดเลือกภิกษุทั้งหลายเถิด. ฝ่ายพระเถระเว้นภิกษุปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันตสุกขวิปัสสกผู้ทรงพระปริยัติ คือนวังคสัตถุศาสน์ทั้งสิ้น เป็นจำนวนหลายร้อยหลายพันรูป เลือกเอาเฉพาะภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ประเภทเตวิชชาเป็นต้น ซึ่งทรงพระปริยัติ คือพระไตรปิฎกทั้งหมด บรรลุปฏิสัมภิทามีอานุภาพยิ่งใหญ่ โดยมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกย่องเป็นเอตทัคคะที่พระสังคีติกาจารย์หมายกล่าวคำนี้ไว้ว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะเลือกพระอรหันต์ไว้ ๕๐๐ หย่อนหนึ่งองค์ ดังนี้.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระมหากัสสปเถระจึงทำให้หย่อนไว้องค์หนึ่ง.
               ตอบว่า เพื่อไว้โอกาสแก่ท่านพระอานนท์เถระ เพราะทั้งร่วมกับท่านพระอานนท์ ทั้งเว้นท่านพระอานนท์เสีย ไม่อาจทำการสังคายนาธรรมได้. ด้วยว่า ท่านพระอานนท์นั้นเป็นพระเสขะยังมีกิจที่ต้องทำอยู่ฉะนั้น จึงไม่อาจร่วมได้. แต่เพราะนวังคสัตถุศาสน์มีสุตตะและเคยยะเป็นต้นข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งพระทศพลทรงแสดงแล้ว ที่ชื่อว่าไม่ประจักษ์ชัดแก่พระอานนท์นั้น ไม่มี.
               ดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ว่า
               ธรรมเหล่าใดเป็นไปแก่ข้าพเจ้า ธรรมเหล่านั้น ข้าพเจ้ารับมาจากพระพุทธเจ้าแปดหมื่นสองพัน รับมาจากภิกษุสองพัน รวมเป็นแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเว้นท่านพระอานนท์เสีย ก็ไม่อาจทำได้.
               ถามว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น แม้ท่านพระอานนท์จะยังเป็นพระเสขะอยู่ พระเถระก็ควรเลือก เพราะเป็นผู้มีอุปการะในการสังคายนาธรรมมาก แต่เหตุไฉนจึงไม่เลือก.
               ตอบว่า เพราะจะหลีกเลี่ยงคำติเตียนของผู้อื่น.
               ความจริง พระเถระเป็นผู้คุ้นเคยกับท่านพระอานนท์อย่างยิ่ง. จริงอย่างนั้น ถึงพระอานนท์จะศีรษะหงอกแล้ว พระมหากัสสปะยังเรียกด้วยคำว่า เด็ก ในประโยคว่า เด็กคนนี้ไม่รู้จักประมาณเลย ดังนี้.
               อนึ่ง ท่านพระอานนท์เกิดในตระกูลศากยะ เป็นพระอนุชาของพระตถาคต เป็นพระโอรสของพระเจ้าอา. ในการคัดเลือกพระอานนท์นั้น ภิกษุบางพวกจะเข้าใจว่า ดูเหมือนจะลำเอียงเพราะรักใคร่กัน จะพากันติเตียนว่า พระมหากัสสปเถระมองข้ามภิกษุผู้ได้บรรลุปฏิสัมภิทาชั้นอเสขะไปเป็นจำนวนมาก แล้วเลือกพระอานนท์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาชั้นเสขะ เมื่อจะหลีกเลี่ยงคำติเตียนนั้น พระมหากัสสปเถระจึงไม่เลือกพระอานนท์ ด้วยพิจารณาเห็นว่า เว้นท่านพระอานนท์เสีย ไม่อาจทำการสังคายนาธรรมได้ เราจักรับท่านพระอานนท์นั้นโดยอนุมัติของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น.
               ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันขอร้องพระมหากัสสปเถระเพื่อเลือกพระอานนท์เสียเอง.
               สมดังคำที่พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ว่า๖-
               ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระมหากัสสปะดังนี้ว่า
               ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านพระอานนท์นี้แม้จะยังเป็นพระเสขะอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่ถึงอคติเพราะรัก เพราะชัง เพราะกลัว เพราะหลง ด้วยว่าท่านพระอานนท์นี้ได้เล่าเรียนพระธรรมและพระวินัยในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมาก
               ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระเถระได้โปรดเลือกท่านพระอานนท์ด้วยเถิด.
               ครั้นแล้วท่านพระมหากัสสปจึงได้เลือกท่านพระอานนท์ด้วย. โดยนัยดังกล่าวแล้วอย่างนี้ จึงเป็นพระเถระ ๕๐๐ องค์รวมทั้งท่านพระอานนท์ ที่พระมหากัสสปะเลือกโดยอนุมัติของภิกษุทั้งหลาย.
               ลำดับนั้นแล พวกภิกษุชั้นพระเถระได้ดำริกันว่า เราควรสังคายนาพระธรรมและพระวินัยกันที่ไหน. ลำดับนั้น พวกภิกษุชั้นพระเถระได้ดำริกันว่า กรุงราชคฤห์ มีอาหารบิณฑบาตมาก มีเสนาสนะเพียงพอ อย่ากระนั้นเลย เราพึงอยู่จำพรรษาสังคายนาพระธรรมและพระวินัยในกรุงราชคฤห์เถิด ภิกษุเหล่าอื่นไม่พึงเข้าจำพรรษาในกรุงราชคฤห์.๖-
____________________________
๖- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๑๕

               ก็เพราะเหตุไร พระเถระเหล่านั้นจึงมีความดำริดังนี้?
               เพราะพระเถระเหล่านั้นมีความดำริตรงกันว่า การสังคายนาพระธรรมวินัยนี้เป็นถาวรกรรมของเรา บุคคลฝ่ายตรงข้ามบางคนจะพึงเข้าไปยังท่ามกลางสงฆ์แล้วรื้อฟื้นขึ้นได้.
               ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปะได้ประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาว่า
               ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุอื่นๆ ไม่พึงจำพรรษาในกรุงราชคฤห์ ดังนี้ นี้เป็นญัตติ.
               ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ว่า ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุอื่นๆ ไม่พึงจำพรรษาในกรุงราชคฤห์ ดังนี้
               การสมมติภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ว่า ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุอื่นๆ ไม่พึงอยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ ดังนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ขอท่านผู้นั้นพึงนิ่งอยู่ ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ขอท่านผู้นั้นพึงพูด.
               ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ สงฆ์สมมติแล้วว่าเป็นผู้อยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุอื่นๆ ไม่พึงอยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ดังนี้ การสมมตินี้สมควรแก่สงฆ์ ฉะนั้น สงฆ์จึงนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าทรงความไว้ด้วยอย่างนี้.๗-

ที่มา :http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81

อ่านแล้วก็นึก อนุโมทนา ที่พระอริยสงฆ์ ท่านได้สังคายนา คำสอนและการปฏิบัติธรรมทั้งหลายไว้ให้ชนรุ่นหลัง
สาธุ สาธุ สาธุ ขอนอบน้อมแด่ผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่