พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด
ชุดที่ ๙ สงครามเก้าทัพ
ตอนที่ ๒ หลงเสียแล้วกรรมเอ๋ยกรรมจะทำไฉน
ฑ.มณฑา
ก่อนที่ เจ้าละมาน จะเข้าตีเมืองผลึก ก็ได้ส่งสารไปข่มขวัญนายด่านตามธรรมเนียมการสงครามของกษัตริย์
ให้คนใช้ไปหาตรงหน้าป้อม
ว่าพระจอมฟันเสี้ยมซึ่งเหี้ยมหาญ
ยกพหลพลนิกรมารอนราญ
จะทำการแก้แค้นแทนลังกา
แม้นว่าองค์พระอภัยเจ้าไตรจักร
ยังคิดรักเผ่าพงศ์พวกวงศา
มาคำนับรับพระราชอาชญา
จะไม่ฆ่าหญิงชายให้วายปราณ
มินอบนบรบสู้จะพรูพร้อม
ทำลายป้อมปืนวังไล่สังหาร
ชั้นลูกอ่อนนอนฟูกลูกพึ่งคลาน
จะเผาผลาญเพลิงคลอกเร่งบอกนาย
เมื่อนายด่านเข้ามาเฝ้า และเล่าความตามที่ข้าศึกแจ้งมาแล้วนั้น พระอภัยมณีก็มิได้หวาดกลัว สั่งให้ต่อกรงเหล็กใหญ่
และเตรียมโซ่ตรวนให้ไพร่พลไว้พร้อม กับให้เอาขี้ผึ้งอุดหูไว้ทุกคน คอยดูธงสัญญาณบนป้อมเป็นสำคัญ
จากนั้นพระอภัยมณีก็เสด็จขึ้นไปบนพลับพลาที่ประทับบนเชิงเทิน นั่งเก้าอี้มีอำมาตย์เฝ้าตามตำแหน่ง พร้อมทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง
แล้วก็หยิบปี่แก้วขึ้นบูชาครู บรรจงเป่าไปให้ได้ยินถึงข้าศึก ที่หน้ากำแพงเมือง
เปิดสำเนียงเสียงลิ่วถึงนิ้วเอก
หวานวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์
ให้ชื่นเฉื่อยเจื้อยแจ้วถึงแก้วกรรณ
เหล่าพวกฟันเสี้ยมฟังสิ้นทั้งทัพ
ยืนไม่ตรงลงนั่งยิ่งวังเวก
เอกเขนกนอนเคียงเรียงลำดับ
เจ้าละมานหวานทรวงง่วงระงับ
ลงล้มหลับลืมกายดังวายปราณ
เมื่อข้าศึกพากันหลับไปทั้งกองทัพแล้ว ทหารที่พลับพลาก็โบกธงให้สัญญาณ ทหารเมืองผลึกที่เตรียมพร้อมอยู่
ก็เปิดประตูเมืองออกไป เอาโซ่ประจำตัวมัดทหารข้าศึกทั้งกองทัพ และเก็บเครื่องศาสตราวุธไว้ทั้งสิ้น
ส่วนองค้าวเจ้าละมานนั้นให้ล่ามโซ่ตรวน แล้วก็ยกขึ้นคานหามเอามาใส่กรงเหล้กที่เตรียมไว้ในวัง
แล้วพระอภัยมณีก้เปลี่ยนเป็นเพลงปลุก ทหารข้าศึกก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แต่ก็ติดโซ่มัดคออยู่ทุกคน
พระอภัยก็สั่งเสนาให้ควบคุมทหารข้าศึกไว้ ดูท่าทีสักสองสามวัน แล้วก็เสด็จกลับเข้าวัง
ฝ่ายเจ้าละมานฟื้นขึ้นมา เห็นตนเองถูกผูกมัดด้วยโซ่ตรวนอยู่ในกรงเหล็ก ก็เจ็บใจเป็นอันมาก สู้อุตส่าห์ยกกันมาเป็นแสน
ยังไม่ทันได้รบเลย ก็ถูกจับเสียแล้ว
สงสารท้าวเจ้าละมานให้ร่านร้อน
ด้วยอาวรณ์นางวัณฬามารศรี
เสียน้ำใจในอารมณ์ไม่สมประดี
จนราตรีตรึกตรองนองน้ำตา
โอ้เสียดายสายสวาทประหลาดโฉม
ชวดประโลมลับเนตรของเชษฐา
แต่รูปทรงองค์ละเวงแม่วัณฬา
ยังติดมาในเสื้อเป็นเยื่อใย
ยิ่งนึกรักชักกระดาษที่วาดรูป
มากอดจูบจิตปลงด้วยหลงใหล
เฝ้าลูบเล่นเคล้นเคล้าเปล่าเปล่าไป
ยิ้มละมัยหมายว่าองค์อนงค์นาง
พวกผู้คุมเห็นเจ้าละมานคลั่งรูปวาดในกระดาษก็สงสัย ใครจะขอดูก็ไม่ให้ นอนกอดอยู่จนเช้าก็หลับไป
ผู้คุมจึงแอบลักเอามาถวายพระอภัย เมื่อได้ทอดพระเนตรก็เห็นว่างามหนักหนา จึงเก็บเอาไว้
แล้วให้เสนาไปคุมตัวเจ้าละมานมาสอบสวนทั้งที่ยังติดโซ่ตรวน เจ้าละมานก็ไม่เกรงกลัว ถามอะไรก็ไม่ตอบ
พระอภัยรำคาญแต่ไม่อยากฆ่า จึงให้ขุนนางนำตัวลงเรือสำเภา ไปปล่อยไว้ที่เกาะร้างกกลางทะเล ไกลไปทางทิศเหนือ
เมื่อเจ้าละมานรู้ว่ารูปนางละเวงของตนหายไป ก้เสียใจไม่เป็นอันกินอันนอน อดอาหารจนถึงแก่ความตายอยู่บนเกาะนั้น
แต่ขณะที่ดับจิตยังคิดถึงรูปนางละเวงจึงกลายเป้นผี มาสิงอยู่ในรูปที่พระอภัยเก็บเอาไว้
ทำให้พระอภัยหลงเสน่ห์รูปวาดนั้นไปอีกคนหนึ่ง ไม่เป็นอันว่าราชการ เอาแต่กอดรูปจูบกระดาษ เพ้อพกไปดังคนบ้า
เช่นเดียวกับที่เจ้าละมานเคยเป็นมาแล้วเหมือนกัน
ในกรุงผลึกจึงเหลือแต่นางสุวรรณมาลีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ต้องปกครองเมือง โดยไม่มีญาติพี่น้องลูกหลานคอยช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว
ขณะนั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่สุดสาคร นำกองทัพเรือจากเมืองการะเวก มาถึงเมืองผลึกพอดี
นางสุวรรณมาลีก็ต้องคอยเฝ้าดูแลอาการของสามี ด้วยความเศร้าใจยิ่ง เพราะไม่อาจช่วยเหลือประการใดได้
แม้จะจับมาฉีกอย่างไร กระดาษที่วาดรูปนั้นก็ไม่ขาด เอาไปเผาไฟก็ไม่ไหม้ และผู้ใดมาแย่งชิงเอารูปนั้น
พระอภัยก็ไล่ตีกระเจิดกระเจิงไปหมด รวมทั้งนางสุวรรณมาลีด้วย ต้องไปกราบทูลพระมารดาให้มาช่วยปลอบโยน
ซึ่งพระอภัยพอจะเชื่อฟังอยู่บ้าง พระมารดาก็พาธิดาฝาแฝดของพระอภัยมาด้วย พอเห็นหน้าพระธิดาก็จำได้
จึงพูดจาหยอกเย้าเล่นกันเป็นปกติ นางสุวรรณมาลีก็แอบเอารูปวาดไปโยนทิ้งน้ำเสีย
แต่พอตอนดึกรูปนั้นก็กลับมาอยู่กับพระอภัยอีก ทั้งนางสุวรรณมาลีและพระมารดาก็ให้มหาอำมาตย์ผู้ใหญ่
เชิญโหราจารย์มาดูดวงชตาหาทางแก้ไข แล้วก็ทำพิธีปัดรางควาญ ขับไล่ผีร้ายที่สิงสู่อยู่ในรูปวาด ก็ไม่ได้ผลแต่ประการใด
ทั้งสองนางก็หมดปัญญา ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ได้แต่คร่ำครวญ
โอ้พระร่มโพธิ์ทองของน้องแก้ว
หลงเสียแล้วกรรมเอ๋ยกรรมจะทำไฉน
พระมารดาว่าพ่อคุณเคยอุ่นใจ
เหมือนฉัตรชัยช่วยบำรุงให้รุ่งเรือง
มาเกิดเป็นเช่นนี้วิปริต
เหมือนมืดมิดแหล่งหล้าฟ้าจะเหลือง
แม้ข้าศึกฮึกอึงมาถึงเมือง
เมื่อแค้นเคืองขุ่นเข็ญจะเห็นใคร
นางสุวรรณมาลีหมดปัญญา ที่จะแก้ไขเหตุการณ์ได้ด้วยตนเอง จึงสั่งให้อำมาตย์ถือหนังสือไปแจ้งแก่ศรีสุวรรณน้องชาย
และสินสมุทบุตรชาย ที่พักอยู่กับบิดาและปู่ที่เมืองรัตนา ให้รีบกลับมาช่วยป้องกันเมืองผลึกโดยด่วน
และเมื่อนางสุวรรณมาลีได้รับแจ้งจากนายด่านว่า สุดสาครเดินทางมาขอพบบิดา และรออยู่ที่ปากน้ำ
นางก็ปรึกษากับเหล่าขุนนาง เห็นว่าไม่ควรเข้าไปทูลให้พระอภัยทราบ เพราะขณะนี้สติฟั่นเฟือนไปแล้ว
ควรจะรอให้ศรีสุวรรณกลับมาเสียก่อน เพราะไม่มีใครรู้จักสุดสาคร แต่จะไม่ต้อนรับก็ไม่เหมาะ
จึงให้เสนาไปแจ้งว่าการศึกยังติดพันอยู่ ขอให้พักอยู่ที่ด่านชานเมือง เพื่อจะได้ช่วยกันต่อสู้ข้าศึกป้องกันเมืองด้วย
เสนาผู้ใหญ่ที่เดินทางไปกับนายด่าน ก็เข้าเฝ้าสุดสาครบนเรือ เล่าถึงเรื่องที่พระอภัยมณีหลงเสน่ห์รูปนางละเวงวัณฬา
จนสติฝั่นเฝือไป ขณะนี้ก็กำลังมีข้าศึกยกจากเมืองลังกาหนุนมาอีก นางสุวรรณมาลีจึงขอร้องให้สุดสาคร
ช่วยป้องกันข้าศึกที่จะเข้ามาถึงปากอ่าวด้วย และได้แจ้งข่าวไปยังศรีสุวรรณพระเจ้าอาแล้ว อีกไม่ช้าก็คงจะยกพลมาถึง
สุดสาครเป็นห่วงอาการประชวรของพระบิดา จึงฝากขุนนางให้คอยแจ้งข่าวมาให้ทราบเป็นระยะไป
ตนเองจะขออยู่ป้องกันข้าศึกที่ด่านนี้จนกว่าจะเสร็จสงคราม
ฝ่ายกองทัพเมืองต่าง ๆ ที่อาสานางละเวงมารบเมืองผลึก ก็มาพร้อมกันทั้งแปดทัพ เมืองเหล่านั้นมีชื่อแปลก ๆ เรียกยาก จำยาก
แต่ตัวนายทัพนั้นชื่อ เจ้ามะหุ่ง เจ้าวะลำ เจ้ากุเวน เจ้าวิลยา เจ้าคุลา เจ้ากวิน เจ้าละเมด และ เจ้าจีนตั๋ง
นับทั้งเจ้าละมานด้วยก็จะเป็นเก้าทัพพอดี ทั้งแปดทัพก้เข้าตีกรุงผลึกทั้งทางบกและทางน้ำพร้อมกัน
นางสุวรรณมาลีรู้ข่าวก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระอภัยมณียังหลงรูปจูบกระดาอยู่ ทูลความอะไรก็ไม่ยอมอือออด้วย
นางสุวรรณมาลีก็ได้แต่สะอื้นกลืนน้ำตา
โอ้ปิ่นเกล้าเจ้าประคุณของเมียเอ๋ย
ไม่ฟื้นเลยแล้วหรือกรรมทำไฉน
ศึกจะมาธานีไม่มีใคร
ช่วยแก้ไขคิดอ่านการณรงค์
โอ้เวียงวังครั้งนี้ไม่มีรอด
จะม้วยมอดเหมือนเขาเบื่อไม่เหลือหลง
และมิหนำซ้ำสูญประยูรวงศ์
นางร่ำทรงโสกาถึงธานี
เมื่อไม่มีทางที่จะแก้ไขอย่างอื่นได้ นางสุวรรณมาลีก็จำเป้นต้องออกมาบัญชาการรบด้วยตนเอง
โดยสั่งให้ทหารเข้าประจำป้อมหอรบและเชิงเทิน คอยระวังป้องกันนครอย่างกวดขันทั้งกลางวันและกลางคืน
ทางกองทัพเรือข้าศึกที่จะเข้าปากอ่าว ก็ปะทะกับกองเรือของสุดสาคร เสาวคนธ์และหัสไชย สองพี่น้องจากกรุงการะเวก
ซึ่งจัดชบวนรออยู่ที่ค่ายปากน้ำ
สุดสาครสอนสองพระน้องน้อย
ให้สวมสร้อยสังวาลย์ประสานสาย
กุมารีพี่แต่งแปลงเป็นชาย
สอดสะพายลูกแล่งพระแสงทรง
สุดสาครกรกุมไม้เท้าแก้ว
สำเร็จแล้วลีลาดังราชหงส์
ขึ้นบนหลังถังน้ำทั้งสามองค์
ให้โบกธงตีฆ้องเร่งกลองรบ
ที่ต้องขึ้นไปยืนบนถังน้ำนั้น ก็เพราะว่ายังเป็นเด็กเล็กด้วยกันทั้งสามคน คงจะกลัวว่าไพร่พลจะมองไม่เห็นแม่ทัพ
ทั้งตนเองเมื่ออยู่ที่สูงก็จะได้เห็นเหตุการณ์ข้างหน้า สามารถบัญชาการรบได้อย่างถูกต้องตามสถานการณ์ด้วย
ทหารในกองทัพเรือของเมืองการะเวกที่อยู่ในบังคับบัญชาของสุดสาครนั้น มีความกล้าหาญเก่งกาจ
สามารถต้านทานกองทัพเรือของข้าศึกไว้ได้ และกองทัพที่มาพร้อมกันนั้น ต่างฝ่ายต่างก้เข้ารบตามคำสั่งนายของตน
ไม่ได้รวมกำลังสามัคคีกันแต่ประการใด เพราะต่างคนต่างก็อยากได้ชัยชนะ เพื่อบำเหน็จจากนางละเวงด้วยกันทั้งนั้น
กองทัพบางเมืองของข้าศึกขึ้นบกได้ ก็ยกเข้าล้อมกรุงผลึก นางสุวรรณมาลีก็แต่งกายเป้นชาย ออกจากวังมาบัญชาการรบ
ที่กำแพงเมืองด้านเหนือ ทหารของกรุงผลึกนั้นไม่มีขวัญและกำลังใจในการที่จะสู้รบ
จึงถูกข้าศึกปีนกำแพงขึ้นมาฆ่าตายไปมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถยึกป้อมได้ นางเห็นว่าถ้าไม่ออกไปสู้รบกับข้าศึกนอกกำแพง
คงจะต้องเสียที จึงยกพลเปิดประตูออกไปตีข้าศึกที่ล้อมกำแพงเมืองอยู่ ซึ่งเป็นกองทัพของเจ้าวิลยาและเจ้ามะหุ่ง
ข้าศึกก็รุมรบสับสนอลหม่าน จนนางสุวรรณมาลีต้องตกอยู่ในวงล้อม จะถอยกลับเข้าเมืองก็ไม่ทัน
ทหารรักษาพระองค์ก็รุมล้อมนางกษัตริย์ ต่อสู้ข้าศึกอย่างเข้มแข็งจนค่ำมืดง ก็ไม่สามารถแหวกวงล้อมออกมาได้
คงจะต้องคอยให้ใครมาช่วย ในตอนหน้า.
########
พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด ๒๖ ก.พ.๕๘
ชุดที่ ๙ สงครามเก้าทัพ
ตอนที่ ๒ หลงเสียแล้วกรรมเอ๋ยกรรมจะทำไฉน
ฑ.มณฑา
ก่อนที่ เจ้าละมาน จะเข้าตีเมืองผลึก ก็ได้ส่งสารไปข่มขวัญนายด่านตามธรรมเนียมการสงครามของกษัตริย์
ให้คนใช้ไปหาตรงหน้าป้อม
ว่าพระจอมฟันเสี้ยมซึ่งเหี้ยมหาญ
ยกพหลพลนิกรมารอนราญ
จะทำการแก้แค้นแทนลังกา
แม้นว่าองค์พระอภัยเจ้าไตรจักร
ยังคิดรักเผ่าพงศ์พวกวงศา
มาคำนับรับพระราชอาชญา
จะไม่ฆ่าหญิงชายให้วายปราณ
มินอบนบรบสู้จะพรูพร้อม
ทำลายป้อมปืนวังไล่สังหาร
ชั้นลูกอ่อนนอนฟูกลูกพึ่งคลาน
จะเผาผลาญเพลิงคลอกเร่งบอกนาย
เมื่อนายด่านเข้ามาเฝ้า และเล่าความตามที่ข้าศึกแจ้งมาแล้วนั้น พระอภัยมณีก็มิได้หวาดกลัว สั่งให้ต่อกรงเหล็กใหญ่
และเตรียมโซ่ตรวนให้ไพร่พลไว้พร้อม กับให้เอาขี้ผึ้งอุดหูไว้ทุกคน คอยดูธงสัญญาณบนป้อมเป็นสำคัญ
จากนั้นพระอภัยมณีก็เสด็จขึ้นไปบนพลับพลาที่ประทับบนเชิงเทิน นั่งเก้าอี้มีอำมาตย์เฝ้าตามตำแหน่ง พร้อมทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง
แล้วก็หยิบปี่แก้วขึ้นบูชาครู บรรจงเป่าไปให้ได้ยินถึงข้าศึก ที่หน้ากำแพงเมือง
เปิดสำเนียงเสียงลิ่วถึงนิ้วเอก
หวานวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์
ให้ชื่นเฉื่อยเจื้อยแจ้วถึงแก้วกรรณ
เหล่าพวกฟันเสี้ยมฟังสิ้นทั้งทัพ
ยืนไม่ตรงลงนั่งยิ่งวังเวก
เอกเขนกนอนเคียงเรียงลำดับ
เจ้าละมานหวานทรวงง่วงระงับ
ลงล้มหลับลืมกายดังวายปราณ
เมื่อข้าศึกพากันหลับไปทั้งกองทัพแล้ว ทหารที่พลับพลาก็โบกธงให้สัญญาณ ทหารเมืองผลึกที่เตรียมพร้อมอยู่
ก็เปิดประตูเมืองออกไป เอาโซ่ประจำตัวมัดทหารข้าศึกทั้งกองทัพ และเก็บเครื่องศาสตราวุธไว้ทั้งสิ้น
ส่วนองค้าวเจ้าละมานนั้นให้ล่ามโซ่ตรวน แล้วก็ยกขึ้นคานหามเอามาใส่กรงเหล้กที่เตรียมไว้ในวัง
แล้วพระอภัยมณีก้เปลี่ยนเป็นเพลงปลุก ทหารข้าศึกก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แต่ก็ติดโซ่มัดคออยู่ทุกคน
พระอภัยก็สั่งเสนาให้ควบคุมทหารข้าศึกไว้ ดูท่าทีสักสองสามวัน แล้วก็เสด็จกลับเข้าวัง
ฝ่ายเจ้าละมานฟื้นขึ้นมา เห็นตนเองถูกผูกมัดด้วยโซ่ตรวนอยู่ในกรงเหล็ก ก็เจ็บใจเป็นอันมาก สู้อุตส่าห์ยกกันมาเป็นแสน
ยังไม่ทันได้รบเลย ก็ถูกจับเสียแล้ว
สงสารท้าวเจ้าละมานให้ร่านร้อน
ด้วยอาวรณ์นางวัณฬามารศรี
เสียน้ำใจในอารมณ์ไม่สมประดี
จนราตรีตรึกตรองนองน้ำตา
โอ้เสียดายสายสวาทประหลาดโฉม
ชวดประโลมลับเนตรของเชษฐา
แต่รูปทรงองค์ละเวงแม่วัณฬา
ยังติดมาในเสื้อเป็นเยื่อใย
ยิ่งนึกรักชักกระดาษที่วาดรูป
มากอดจูบจิตปลงด้วยหลงใหล
เฝ้าลูบเล่นเคล้นเคล้าเปล่าเปล่าไป
ยิ้มละมัยหมายว่าองค์อนงค์นาง
พวกผู้คุมเห็นเจ้าละมานคลั่งรูปวาดในกระดาษก็สงสัย ใครจะขอดูก็ไม่ให้ นอนกอดอยู่จนเช้าก็หลับไป
ผู้คุมจึงแอบลักเอามาถวายพระอภัย เมื่อได้ทอดพระเนตรก็เห็นว่างามหนักหนา จึงเก็บเอาไว้
แล้วให้เสนาไปคุมตัวเจ้าละมานมาสอบสวนทั้งที่ยังติดโซ่ตรวน เจ้าละมานก็ไม่เกรงกลัว ถามอะไรก็ไม่ตอบ
พระอภัยรำคาญแต่ไม่อยากฆ่า จึงให้ขุนนางนำตัวลงเรือสำเภา ไปปล่อยไว้ที่เกาะร้างกกลางทะเล ไกลไปทางทิศเหนือ
เมื่อเจ้าละมานรู้ว่ารูปนางละเวงของตนหายไป ก้เสียใจไม่เป็นอันกินอันนอน อดอาหารจนถึงแก่ความตายอยู่บนเกาะนั้น
แต่ขณะที่ดับจิตยังคิดถึงรูปนางละเวงจึงกลายเป้นผี มาสิงอยู่ในรูปที่พระอภัยเก็บเอาไว้
ทำให้พระอภัยหลงเสน่ห์รูปวาดนั้นไปอีกคนหนึ่ง ไม่เป็นอันว่าราชการ เอาแต่กอดรูปจูบกระดาษ เพ้อพกไปดังคนบ้า
เช่นเดียวกับที่เจ้าละมานเคยเป็นมาแล้วเหมือนกัน
ในกรุงผลึกจึงเหลือแต่นางสุวรรณมาลีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ต้องปกครองเมือง โดยไม่มีญาติพี่น้องลูกหลานคอยช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว
ขณะนั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่สุดสาคร นำกองทัพเรือจากเมืองการะเวก มาถึงเมืองผลึกพอดี
นางสุวรรณมาลีก็ต้องคอยเฝ้าดูแลอาการของสามี ด้วยความเศร้าใจยิ่ง เพราะไม่อาจช่วยเหลือประการใดได้
แม้จะจับมาฉีกอย่างไร กระดาษที่วาดรูปนั้นก็ไม่ขาด เอาไปเผาไฟก็ไม่ไหม้ และผู้ใดมาแย่งชิงเอารูปนั้น
พระอภัยก็ไล่ตีกระเจิดกระเจิงไปหมด รวมทั้งนางสุวรรณมาลีด้วย ต้องไปกราบทูลพระมารดาให้มาช่วยปลอบโยน
ซึ่งพระอภัยพอจะเชื่อฟังอยู่บ้าง พระมารดาก็พาธิดาฝาแฝดของพระอภัยมาด้วย พอเห็นหน้าพระธิดาก็จำได้
จึงพูดจาหยอกเย้าเล่นกันเป็นปกติ นางสุวรรณมาลีก็แอบเอารูปวาดไปโยนทิ้งน้ำเสีย
แต่พอตอนดึกรูปนั้นก็กลับมาอยู่กับพระอภัยอีก ทั้งนางสุวรรณมาลีและพระมารดาก็ให้มหาอำมาตย์ผู้ใหญ่
เชิญโหราจารย์มาดูดวงชตาหาทางแก้ไข แล้วก็ทำพิธีปัดรางควาญ ขับไล่ผีร้ายที่สิงสู่อยู่ในรูปวาด ก็ไม่ได้ผลแต่ประการใด
ทั้งสองนางก็หมดปัญญา ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ได้แต่คร่ำครวญ
โอ้พระร่มโพธิ์ทองของน้องแก้ว
หลงเสียแล้วกรรมเอ๋ยกรรมจะทำไฉน
พระมารดาว่าพ่อคุณเคยอุ่นใจ
เหมือนฉัตรชัยช่วยบำรุงให้รุ่งเรือง
มาเกิดเป็นเช่นนี้วิปริต
เหมือนมืดมิดแหล่งหล้าฟ้าจะเหลือง
แม้ข้าศึกฮึกอึงมาถึงเมือง
เมื่อแค้นเคืองขุ่นเข็ญจะเห็นใคร
นางสุวรรณมาลีหมดปัญญา ที่จะแก้ไขเหตุการณ์ได้ด้วยตนเอง จึงสั่งให้อำมาตย์ถือหนังสือไปแจ้งแก่ศรีสุวรรณน้องชาย
และสินสมุทบุตรชาย ที่พักอยู่กับบิดาและปู่ที่เมืองรัตนา ให้รีบกลับมาช่วยป้องกันเมืองผลึกโดยด่วน
และเมื่อนางสุวรรณมาลีได้รับแจ้งจากนายด่านว่า สุดสาครเดินทางมาขอพบบิดา และรออยู่ที่ปากน้ำ
นางก็ปรึกษากับเหล่าขุนนาง เห็นว่าไม่ควรเข้าไปทูลให้พระอภัยทราบ เพราะขณะนี้สติฟั่นเฟือนไปแล้ว
ควรจะรอให้ศรีสุวรรณกลับมาเสียก่อน เพราะไม่มีใครรู้จักสุดสาคร แต่จะไม่ต้อนรับก็ไม่เหมาะ
จึงให้เสนาไปแจ้งว่าการศึกยังติดพันอยู่ ขอให้พักอยู่ที่ด่านชานเมือง เพื่อจะได้ช่วยกันต่อสู้ข้าศึกป้องกันเมืองด้วย
เสนาผู้ใหญ่ที่เดินทางไปกับนายด่าน ก็เข้าเฝ้าสุดสาครบนเรือ เล่าถึงเรื่องที่พระอภัยมณีหลงเสน่ห์รูปนางละเวงวัณฬา
จนสติฝั่นเฝือไป ขณะนี้ก็กำลังมีข้าศึกยกจากเมืองลังกาหนุนมาอีก นางสุวรรณมาลีจึงขอร้องให้สุดสาคร
ช่วยป้องกันข้าศึกที่จะเข้ามาถึงปากอ่าวด้วย และได้แจ้งข่าวไปยังศรีสุวรรณพระเจ้าอาแล้ว อีกไม่ช้าก็คงจะยกพลมาถึง
สุดสาครเป็นห่วงอาการประชวรของพระบิดา จึงฝากขุนนางให้คอยแจ้งข่าวมาให้ทราบเป็นระยะไป
ตนเองจะขออยู่ป้องกันข้าศึกที่ด่านนี้จนกว่าจะเสร็จสงคราม
ฝ่ายกองทัพเมืองต่าง ๆ ที่อาสานางละเวงมารบเมืองผลึก ก็มาพร้อมกันทั้งแปดทัพ เมืองเหล่านั้นมีชื่อแปลก ๆ เรียกยาก จำยาก
แต่ตัวนายทัพนั้นชื่อ เจ้ามะหุ่ง เจ้าวะลำ เจ้ากุเวน เจ้าวิลยา เจ้าคุลา เจ้ากวิน เจ้าละเมด และ เจ้าจีนตั๋ง
นับทั้งเจ้าละมานด้วยก็จะเป็นเก้าทัพพอดี ทั้งแปดทัพก้เข้าตีกรุงผลึกทั้งทางบกและทางน้ำพร้อมกัน
นางสุวรรณมาลีรู้ข่าวก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระอภัยมณียังหลงรูปจูบกระดาอยู่ ทูลความอะไรก็ไม่ยอมอือออด้วย
นางสุวรรณมาลีก็ได้แต่สะอื้นกลืนน้ำตา
โอ้ปิ่นเกล้าเจ้าประคุณของเมียเอ๋ย
ไม่ฟื้นเลยแล้วหรือกรรมทำไฉน
ศึกจะมาธานีไม่มีใคร
ช่วยแก้ไขคิดอ่านการณรงค์
โอ้เวียงวังครั้งนี้ไม่มีรอด
จะม้วยมอดเหมือนเขาเบื่อไม่เหลือหลง
และมิหนำซ้ำสูญประยูรวงศ์
นางร่ำทรงโสกาถึงธานี
เมื่อไม่มีทางที่จะแก้ไขอย่างอื่นได้ นางสุวรรณมาลีก็จำเป้นต้องออกมาบัญชาการรบด้วยตนเอง
โดยสั่งให้ทหารเข้าประจำป้อมหอรบและเชิงเทิน คอยระวังป้องกันนครอย่างกวดขันทั้งกลางวันและกลางคืน
ทางกองทัพเรือข้าศึกที่จะเข้าปากอ่าว ก็ปะทะกับกองเรือของสุดสาคร เสาวคนธ์และหัสไชย สองพี่น้องจากกรุงการะเวก
ซึ่งจัดชบวนรออยู่ที่ค่ายปากน้ำ
สุดสาครสอนสองพระน้องน้อย
ให้สวมสร้อยสังวาลย์ประสานสาย
กุมารีพี่แต่งแปลงเป็นชาย
สอดสะพายลูกแล่งพระแสงทรง
สุดสาครกรกุมไม้เท้าแก้ว
สำเร็จแล้วลีลาดังราชหงส์
ขึ้นบนหลังถังน้ำทั้งสามองค์
ให้โบกธงตีฆ้องเร่งกลองรบ
ที่ต้องขึ้นไปยืนบนถังน้ำนั้น ก็เพราะว่ายังเป็นเด็กเล็กด้วยกันทั้งสามคน คงจะกลัวว่าไพร่พลจะมองไม่เห็นแม่ทัพ
ทั้งตนเองเมื่ออยู่ที่สูงก็จะได้เห็นเหตุการณ์ข้างหน้า สามารถบัญชาการรบได้อย่างถูกต้องตามสถานการณ์ด้วย
ทหารในกองทัพเรือของเมืองการะเวกที่อยู่ในบังคับบัญชาของสุดสาครนั้น มีความกล้าหาญเก่งกาจ
สามารถต้านทานกองทัพเรือของข้าศึกไว้ได้ และกองทัพที่มาพร้อมกันนั้น ต่างฝ่ายต่างก้เข้ารบตามคำสั่งนายของตน
ไม่ได้รวมกำลังสามัคคีกันแต่ประการใด เพราะต่างคนต่างก็อยากได้ชัยชนะ เพื่อบำเหน็จจากนางละเวงด้วยกันทั้งนั้น
กองทัพบางเมืองของข้าศึกขึ้นบกได้ ก็ยกเข้าล้อมกรุงผลึก นางสุวรรณมาลีก็แต่งกายเป้นชาย ออกจากวังมาบัญชาการรบ
ที่กำแพงเมืองด้านเหนือ ทหารของกรุงผลึกนั้นไม่มีขวัญและกำลังใจในการที่จะสู้รบ
จึงถูกข้าศึกปีนกำแพงขึ้นมาฆ่าตายไปมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถยึกป้อมได้ นางเห็นว่าถ้าไม่ออกไปสู้รบกับข้าศึกนอกกำแพง
คงจะต้องเสียที จึงยกพลเปิดประตูออกไปตีข้าศึกที่ล้อมกำแพงเมืองอยู่ ซึ่งเป็นกองทัพของเจ้าวิลยาและเจ้ามะหุ่ง
ข้าศึกก็รุมรบสับสนอลหม่าน จนนางสุวรรณมาลีต้องตกอยู่ในวงล้อม จะถอยกลับเข้าเมืองก็ไม่ทัน
ทหารรักษาพระองค์ก็รุมล้อมนางกษัตริย์ ต่อสู้ข้าศึกอย่างเข้มแข็งจนค่ำมืดง ก็ไม่สามารถแหวกวงล้อมออกมาได้
คงจะต้องคอยให้ใครมาช่วย ในตอนหน้า.
########