เปลว สีเงิน Tuesday, 24 February, 2015 - 00:00 'ธรรมกาย' กับการเมือง 'ใต้ดิน'

ก่อนอื่นขออนุญาติตอบกระทู้เมื่อวานที่ว่าด่าพระแล้วกลับลำ น้าเปลวท่านไม่ได้ด่าพระนะครับ ท่านด่า อลัสชีที่ปาราชิกไปตั้งแต่ปี2542 หรือตั้งแต่ที่อลัสชีตนนั้นเริ่มรับเช็คเข้าบัญชีส่วนตัว แล้วไม่มีจิตละวางบอกกรรมการวัดพระธรรมกายให้มาโอนย้ายเข้าบัญชีวัดนะครับ  
การช่วยกันทะนุบำรุงพระศาสนาโดยการขจัดภัยร้ายเหมือนที่พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ทำให้พระศาสนาเผยแผ่ไป ได้ทรงเคยทรงกระทำ เป็นสิ่งชอบสิ่งดีครับ
สาเหตุที่ไม่เข้ามาต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะเชื่อว่าลึกๆในจิตในสติปัญญาของผู้มีโมหะนั้น เป็นจิตประภัสสร เพียงแต่อาจจะองุ่นเปรียวหรือโดนอวิชชาครอบงำ ดังนั้นเถึยงไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้ธรรม(ข้อมูลและความรู้) แล้วให้แต่ละท่านไปพิจารณาไตร่ตรองเอาเอง นั้นแหละครับ
แล้วแต่ท่านจะมองผิดมองถูกก็แล้วแต่ทิฐฐิที่มีในแต่ละท่าน ระหว่างสัมมาทิฐฐิหนึ่ง กับ มิจฉาทิฐิหนึ่ง มีแค่เส้นด้ายบางๆแบ่งไว้ครับ เส้นด้ายนั้น คือ วิชชาหรือปัญญา อันมีพื้นฐานจาก พระไตรลักษณ์ ที่พระพุทธองค์ทรงสังเกตและพิจารณาเห็นจากการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่เสียดายชีวิต พวกเราถึงได้มีอานิสงค์นำมาเล่าเรียนและปฏิบัติตามไงครับ

เปลว สีเงิน
Tuesday, 24 February, 2015 - 00:00
'ธรรมกาย' กับการเมือง 'ใต้ดิน'
    ต้องเข้าใจกันไว้เป็น "แกนยึด" ในมุมมองว่า  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ล้วนมี "เหตุ-ปัจจัย" ทำให้เกิดทั้งนั้น
    กระทั่งเรื่องมหาเถรฯ อันมี "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" วัดปากน้ำ เป็นประธาน "บิดพระวินัย"
    ตัดสินอธิกรณ์ "ธัมมชโย" ต้องอาบัติปาราชิก ด้วยยักยอกเงิน-ที่ดินผู้อื่นร่วมพันล้านมาเป็นของตน ว่า..........
    "ยักยอกแล้วคืน-ไม่ผิด"!?
    นั่นก็เหตุมาจาก "ตัณหาบังหน้าธรรม" ด้วยมหาเถรฯ ส่วนใหญ่หลงในลาภสักการะที่ธัมมชโย "โกงแล้วแบ่งปัน" ปรนเปรอ จนเป็นประหนึ่ง "นกติดตัง"
    จึง "ขายพระธรรม-วินัย" ให้กับธัมมชโยที่เบื้องหน้าประหนึ่งพระ แต่เบื้องหลังโจรครอบงำพระศาสนาเป็นอาณาจักรธรรมกาย ประสานอาณาจักรแดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา
    ใช้วิธีแปลงพุทธะให้วิปริต บิดพระธรรมอันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ไปเป็นลัทธิ-นิกาย "เพื่อการค้า-การเมือง ทางใต้ดิน"!
    ฉากหน้า ทำว่าเป็นอาณาจักรพุทธะ ขายบุญ-ขายสวรรค์  ใช้ศาสนาและผ้าเหลือง สมคบด้วยข้าราชการและนักการเมืองบางส่วน ขยายอิทธิพล-บารมี แทรกซึมด้วยรูปแบบ "พุทธ-พรางตา"
    หวังโน้มน้าวให้คนหลงศรัทธาทั้งในและนอกประเทศ คืบคลานครอบงำพุทธศาสนาในไทย ได้มหาเถร ได้มหานิกาย ได้มหาวิทยาลัยสงฆ์ ได้วัดน้อย-ใหญ่ และทั่งได้ธรรมยุตบางส่วน
    โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดขยายฐาน ใช้ปัจจัยเป็นเหยื่อล่อ จุดหมายปลายทาง ลัทธิธรรมกาย "เทกโอเวอร์" พุทธศาสนาครบวงจร ประสานการเมือง
    เป็น ๒ อาณาจักรประสาน!
    พระทั้งประเทศมีแค่ ๒-๓ แสน แต่ธรรมกาย ภายใต้การรู้เห็นเป็นใจมหาเถร ส่วนมหานิกายและสำนักพุทธฯ เกิดอาชีพ "รับจ้างโกนหัว-ห่มเหลือง" ทำการตลาด เรียกว่าบวช ทีละหมื่นคน แสนคน ล้านคน
    ซึ่งถ้าบวชเป็นพระจริงๆ จะมีชายครบคุณสมบัติบวช และมีศรัทธาบวช มากมายขนาดนั้นทุกปี และปีละหลายครั้งอย่างนั้นหรือ?
    ก็คงเข้าทำนอง "ดารารับจ้าง" เข้าฉากธรรมกายพิทักษ์พระพุทธศาสนา ก็ใช้ผ้าเหลืองคลุม ถ้าเข้าฉากปกป้องประชาธิปไตย ก็เปลี่ยนจากผ้าเหลือง เป็นผ้าแดงคลุม!
    มหาเถรฯ ปล่อยให้ธัมมชโยเดินแผน "แยกพระศาสนาให้แตกเป็นสอง" ด้วยสยบต่อซองปัจจัยอยู่ได้อย่างไร พระคุณเจ้าเอ๋ย?
    แล้วปล่อยให้ยึดถนนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด  อ้างทำบุญตักบาตร ช่วยโน่น-ช่วยนี่ และอ้างเดินธุดงค์ "บังหน้า"
     เนื้อแท้ เป็นการโฆษณาเคลื่อนที่ "แบรนด์ธรรมกาย" มีโล้นนะจ๊ะกับจานบินเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งทักษิณตั้งเป้าจะทำ "จานบินธรรมกาย" นี้ให้เป็นเหมือนเมกะ!
    ส่วนฉากหลัง ธรรมกายเป็นอาณาจักรลึกลับ-ซับซ้อน ที่เห็นด้วยตาภายนอก ล้วนตรงข้ามกับเนื้อใน
    "เนื้อใน" นั้น กินพื้นที่หลายพันไร่ "คนภายนอก" ไม่มีใครสามารถล่วงล้ำเข้าไปดูได้ว่า เส้นทางภายในสัมพันธ์ขบวนการแตกชาติ แตกศาสนาหรือไม่ อย่างไร?
    รู้แต่ว่า ธรรมกายกับ "แดงทั้งแผ่นดิน" กับเถนเฒ่าเยาว์ปัญญา มหาวิทยาลัยสงฆ์บางแห่ง และวัดวาส่วนหนึ่ง  
    ผนึกอยู่ใต้ระบอบทักษิณด้วยกัน!
    เงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่นายศุภชัย "มือหาเงิน" ยักยอกให้ธรรมกายและธัมมชโยนั้น ไปถามดีเอสไอ  ปปง.ดูเถอะว่า....
    ส่วนหนึ่งเป็นร้อย-เป็นพันล้าน นายศุภชัยผันเข้าบัญชีบริษัทสาวกระบอบทักษิณด้วยใช่มั้ย?
    เห็นทั้งรัฐมนตรีกฎหมายอังดรัวต์ ทั้งระดับหัวหน้าพรรค ยืนเรียงแถวถ่ายรูปกันจมูกบาน หัวขาวโพลน ฉลองเปิดสำนักงาน "เงินโจรผัน" กันโจ๋งครึ่ม!
    ก็ไม่กล้าแถลง ว่าการยักยอกนี้ นอกจากพันธรรมกายแล้ว ยังพันพวกนักการเมืองระบอบทักษิณขนาดไหน?
    ยังดีที่ พ.ต.อ.สีหนาท ไม่โบ้ยว่าเงินที่ผันเข้าบริษัทระบอบทักษิณถูกแปลงเป็นที่ดินวัด ยึด-อายัดไม่ได้ ก็นับว่าบุญแล้ว!
     ปูมข้อมูลเรื่องยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนี่ ต้องชมเชย และยกย่อง "สำนักข่าวไทย พับลิก้า"
    เขาตามเรื่องนี้ในเชิงสืบสวน-สอบสวน ประมวลด้วยข้อมูลเชื่อมโยงมีหลักฐานยืนยันชัดเจน เชื่อถือได้ สมบูรณ์ที่สุด ผมก็อาศัยงานข่าวของไทยพับลิก้านี่แหละเป็น "บันทึกช่วยจำ"
    ก็อารัมภบทมาซะยาวในประเด็น "เหตุ-ปัจจัย" อยากบอกอีกนิดว่า ทุกอย่างในโลกนี้........"ไม่มีทางตัน"
    นั่นคือ...ทุกเรื่อง-ทุกปัญหา มีทางออก-ทางไป และทางจบ......!
     ไม่ว่าเรื่องธัมมชโย เรื่องธรรมกาย เรื่องมหาเถร กระทั่งเรื่อง "ระบอบทักษิณ" ที่เป็นเสี้ยนตำตีนสังคมไทยอยู่ทุกวันนี้
    เอาเฉพาะเรื่องมหาเถรกับธรรมกายก่อน เมื่อสังคมตื่นและเอาจริง คณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ก็เอาจริง
    ทั้ง ดีเอสไอ และ ปปง.ก็ปรับหางเสือ ทำท่า "เอาจริง" ด้วยเช่นกัน!
    เรื่องมหาเถรตัดสิน "โกงแล้วคืนไม่อาบัติ" หลายคนมึนว่า กับพระ-กับเจ้า ชั้นสมเด็จ ชั้นพรหม ชั้นเทพ ชั้นธรรม  เป็นรัฐบาลสงฆ์ สูงสุดทางอำนาจปกครอง
    เมื่อทั้งนายกสงฆ์ และรัฐมนตรีสงฆ์ ทำผิดพระวินัยเสียเอง แล้วใครจะจัดการได้ล่ะ?
    ประเด็นมีว่า ผิดทางพระวินัย ถือเป็นเรื่องในอ้อมแขนมหาเถร ญาติโยมภายนอกเข้าไปทำแทนไม่ได้
    แต่คณะสงฆ์ก็อยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมืองด้วย นั่นคือ วินัยเป็นกฎหมายเฉพาะพระ เมื่อผิดวินัย พระก็ต้องไปว่ากันเอง
    แต่เมื่อพระผิดกฎหมายบ้านเมือง พระก็ต้องถูกทางบ้านเมืองพิจารณาโทษด้วยกฎหมายพระ ที่เรียกว่า "พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕/๒๕๓๕/พระราชกฤษฎีกา/พระราชกำหนด"
    ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา ๑๕ ตรี (๔) บัญญัติให้มหาเถรสมาคม "รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา"
    การที่มหาเถรมีมติว่าพระธัมมชโยไม่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะไม่มีเจตนายักยอกทรัพย์สิน รวมทั้งได้นำเอาทรัพย์สินมาคืนแล้ว จึงไม่ถือว่าปาราชิกนั้น มีประเด็นต้องพิจารณาว่า....
    "มติดังกล่าว ขัดต่อหลักพระธรรมวินัย ซึ่งมหาเถรสมาคมมีหน้าที่ต้องรักษาหรือไม่?"
    พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑
    (๑๒๓) ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ
    มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน ๑ มิใช่ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑ มิใช่ขอยืม ๑ ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ๑
    ในทางกฎหมายบ้านเมือง มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับคดีเจ้าพนักงานยักยอกที่นำทรัพย์ที่ยักยอกมาคืน โดยศาลวินิจฉัยว่า....
    "เป็นความผิดสำเร็จ"!
    คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๗๓/๒๕๒๗ สารวัตรใหญ่สั่งให้จำเลยทำหน้าที่เก็บรักษาเงินประกันตัวผู้ต้องหาของสถานีตำรวจ การที่จำเลยนำเงินดังกล่าวไปฝากพี่สาว มิได้นำมาเก็บไว้ในตู้นิรภัยของทางราชการ หรือหากไม่มีตู้นิรภัย ควรจะเก็บเงินอย่างใด จำเลยก็จะต้องขอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา
    พฤติการณ์แสดงว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินนั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่น แม้จำเลยจะนำเงินมาคืนในภายหลัง ก็มีความผิดตาม ป.อ. ม.๑๔๗
    เนี่ย...ชัดเป๊ะ!
    มติของมหาเถรดังกล่าว เป็นมติที่ขัดทั้งหลักธรรมวินัย  หลักกฎหมายบ้านเมือง หลักธรรมชาติ หลักศีลธรรมอันดีงาม  หลักวิญญูชน
     จึงถือว่า คณะกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน (ชาวพุทธ)  
    "มหาเถรสมาคม จึงไม่มีอำนาจพิจารณาเพื่อลงมติดังกล่าว"!
      การลงมติดังกล่าวของที่ประชุมมหาเถร เมื่อ ๒๐  ก.พ.๕๘  จึงไม่มีผลผูกพันผู้หนึ่งผู้ใด ส่งผลให้มติธัมมชโยโกงแล้วคืน "ไม่ผิด-ไม่ต้องอาบัติปาราชิก" ตกไป
    แล้วอย่างนี้ อุบาสก-อุบาสิกา ซึ่งเป็นพุทธบริษัทจะจัดการทางกฎหมายกับคณะกรรมการมหาเถรสมาคมได้มั้ย?
    ได้ซิ...โยม!
    เพราะตาม พ.ร.บ.สงฆ์ คณะกรรมการมหาเถรฯ เป็น "เจ้าพนักงาน" เมื่อเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ บอกว่า
    "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ"
    นั่นคือ....ชาวพุทธทุกคน สามารถแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ คณะกรรมการมหาเถรสมาคม ที่ออกมติเมื่อ ๒๐  ก.พ.๕๘ ได้ทั่วราชอาณาจักรไทย!
    ยิ่ง สปช. "ไพบูลย์ นิติตะวัน" นำเอกสาร "มติมหาเถรสมาคม" ครั้งที่ ๑๖/๑๕๔๒ มาแสดงเมื่อวาน ชัดแจ้งตามข้อความว่า.........
    ".....ที่ประชุมรับทราบพระดำริที่สมเด็จพระสังฆราชประทานทั้งหมด มหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริมาโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม
    .......จึงเห็นสมควรส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมต่อไป"
    นี่เท่ากับ "จับโกหก" ทั้ง ผอ.สำนักพุทธฯ "นายพนม ศรศิลป์" และมหาเถรที่ว่าเมื่อปี ๒๕๔๒ "ไม่มีมติมหาเถรฯ รับทราบพระดำริ 'สมเด็จพระสังฆราช' ว่าธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก"!
    ตั้งใจจะชี้ให้เห็นเส้นทางใช้ธรรมกาย "ฟอกเงินโจร" ที่นายศุภชัยยักยอกมาซุกไว้ที่บริษัทมงคลเศรษฐีเอสเตท เครือข่ายธรรมกาย ซักหน่อย
    ด้วยอยากรู้ แบบนี้ พ.ต.อ.สีหนาท ณ ปปง.จะปิดบัญชีว่า "เป็นของวัด" แล้ว ยึดคืนไม่ได้ เหมือนรายทัตตชีโว "ฟอกที่ดิน" เงินโจรไปสร้างเจดีย์ที่กาญจนบุรี ทั้งที่ชื่อนายศุภชัยยังคาโฉนด
    แต่ พ.ต.อ.สีหนาทแถลงเฉย... "เป็นของวัดไปแล้ว อายัดไม่ได้"!?
    แล้วตำแหน่งเลขาฯ ปปง.ล่ะครับ....
    อายัดไว้ตรวจสอบบ้าง ได้มั้ย?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่