ก่อนอื่นขออนุญาติตอบกระทู้เมื่อวานที่ว่าด่าพระแล้วกลับลำ น้าเปลวท่านไม่ได้ด่าพระนะครับ ท่านด่า อลัสชีที่ปาราชิกไปตั้งแต่ปี2542 หรือตั้งแต่ที่อลัสชีตนนั้นเริ่มรับเช็คเข้าบัญชีส่วนตัว แล้วไม่มีจิตละวางบอกกรรมการวัดพระธรรมกายให้มาโอนย้ายเข้าบัญชีวัดนะครับ
การช่วยกันทะนุบำรุงพระศาสนาโดยการขจัดภัยร้ายเหมือนที่พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ทำให้พระศาสนาเผยแผ่ไป ได้ทรงเคยทรงกระทำ เป็นสิ่งชอบสิ่งดีครับ
สาเหตุที่ไม่เข้ามาต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะเชื่อว่าลึกๆในจิตในสติปัญญาของผู้มีโมหะนั้น เป็นจิตประภัสสร เพียงแต่อาจจะองุ่นเปรียวหรือโดนอวิชชาครอบงำ ดังนั้นเถึยงไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้ธรรม(ข้อมูลและความรู้) แล้วให้แต่ละท่านไปพิจารณาไตร่ตรองเอาเอง นั้นแหละครับ
แล้วแต่ท่านจะมองผิดมองถูกก็แล้วแต่ทิฐฐิที่มีในแต่ละท่าน ระหว่างสัมมาทิฐฐิหนึ่ง กับ มิจฉาทิฐิหนึ่ง มีแค่เส้นด้ายบางๆแบ่งไว้ครับ เส้นด้ายนั้น คือ วิชชาหรือปัญญา อันมีพื้นฐานจาก พระไตรลักษณ์ ที่พระพุทธองค์ทรงสังเกตและพิจารณาเห็นจากการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่เสียดายชีวิต พวกเราถึงได้มีอานิสงค์นำมาเล่าเรียนและปฏิบัติตามไงครับ
เปลว สีเงิน
Tuesday, 24 February, 2015 - 00:00
'ธรรมกาย' กับการเมือง 'ใต้ดิน'
ต้องเข้าใจกันไว้เป็น "แกนยึด" ในมุมมองว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ล้วนมี "เหตุ-ปัจจัย" ทำให้เกิดทั้งนั้น
กระทั่งเรื่องมหาเถรฯ อันมี "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" วัดปากน้ำ เป็นประธาน "บิดพระวินัย"
ตัดสินอธิกรณ์ "ธัมมชโย" ต้องอาบัติปาราชิก ด้วยยักยอกเงิน-ที่ดินผู้อื่นร่วมพันล้านมาเป็นของตน ว่า..........
"ยักยอกแล้วคืน-ไม่ผิด"!?
นั่นก็เหตุมาจาก "ตัณหาบังหน้าธรรม" ด้วยมหาเถรฯ ส่วนใหญ่หลงในลาภสักการะที่ธัมมชโย "โกงแล้วแบ่งปัน" ปรนเปรอ จนเป็นประหนึ่ง "นกติดตัง"
จึง "ขายพระธรรม-วินัย" ให้กับธัมมชโยที่เบื้องหน้าประหนึ่งพระ แต่เบื้องหลังโจรครอบงำพระศาสนาเป็นอาณาจักรธรรมกาย ประสานอาณาจักรแดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา
ใช้วิธีแปลงพุทธะให้วิปริต บิดพระธรรมอันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ไปเป็นลัทธิ-นิกาย "เพื่อการค้า-การเมือง ทางใต้ดิน"!
ฉากหน้า ทำว่าเป็นอาณาจักรพุทธะ ขายบุญ-ขายสวรรค์ ใช้ศาสนาและผ้าเหลือง สมคบด้วยข้าราชการและนักการเมืองบางส่วน ขยายอิทธิพล-บารมี แทรกซึมด้วยรูปแบบ "พุทธ-พรางตา"
หวังโน้มน้าวให้คนหลงศรัทธาทั้งในและนอกประเทศ คืบคลานครอบงำพุทธศาสนาในไทย ได้มหาเถร ได้มหานิกาย ได้มหาวิทยาลัยสงฆ์ ได้วัดน้อย-ใหญ่ และทั่งได้ธรรมยุตบางส่วน
โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดขยายฐาน ใช้ปัจจัยเป็นเหยื่อล่อ จุดหมายปลายทาง ลัทธิธรรมกาย "เทกโอเวอร์" พุทธศาสนาครบวงจร ประสานการเมือง
เป็น ๒ อาณาจักรประสาน!
พระทั้งประเทศมีแค่ ๒-๓ แสน แต่ธรรมกาย ภายใต้การรู้เห็นเป็นใจมหาเถร ส่วนมหานิกายและสำนักพุทธฯ เกิดอาชีพ "รับจ้างโกนหัว-ห่มเหลือง" ทำการตลาด เรียกว่าบวช ทีละหมื่นคน แสนคน ล้านคน
ซึ่งถ้าบวชเป็นพระจริงๆ จะมีชายครบคุณสมบัติบวช และมีศรัทธาบวช มากมายขนาดนั้นทุกปี และปีละหลายครั้งอย่างนั้นหรือ?
ก็คงเข้าทำนอง "ดารารับจ้าง" เข้าฉากธรรมกายพิทักษ์พระพุทธศาสนา ก็ใช้ผ้าเหลืองคลุม ถ้าเข้าฉากปกป้องประชาธิปไตย ก็เปลี่ยนจากผ้าเหลือง เป็นผ้าแดงคลุม!
มหาเถรฯ ปล่อยให้ธัมมชโยเดินแผน "แยกพระศาสนาให้แตกเป็นสอง" ด้วยสยบต่อซองปัจจัยอยู่ได้อย่างไร พระคุณเจ้าเอ๋ย?
แล้วปล่อยให้ยึดถนนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อ้างทำบุญตักบาตร ช่วยโน่น-ช่วยนี่ และอ้างเดินธุดงค์ "บังหน้า"
เนื้อแท้ เป็นการโฆษณาเคลื่อนที่ "แบรนด์ธรรมกาย" มีโล้นนะจ๊ะกับจานบินเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งทักษิณตั้งเป้าจะทำ "จานบินธรรมกาย" นี้ให้เป็นเหมือนเมกะ!
ส่วนฉากหลัง ธรรมกายเป็นอาณาจักรลึกลับ-ซับซ้อน ที่เห็นด้วยตาภายนอก ล้วนตรงข้ามกับเนื้อใน
"เนื้อใน" นั้น กินพื้นที่หลายพันไร่ "คนภายนอก" ไม่มีใครสามารถล่วงล้ำเข้าไปดูได้ว่า เส้นทางภายในสัมพันธ์ขบวนการแตกชาติ แตกศาสนาหรือไม่ อย่างไร?
รู้แต่ว่า ธรรมกายกับ "แดงทั้งแผ่นดิน" กับเถนเฒ่าเยาว์ปัญญา มหาวิทยาลัยสงฆ์บางแห่ง และวัดวาส่วนหนึ่ง
ผนึกอยู่ใต้ระบอบทักษิณด้วยกัน!
เงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่นายศุภชัย "มือหาเงิน" ยักยอกให้ธรรมกายและธัมมชโยนั้น ไปถามดีเอสไอ ปปง.ดูเถอะว่า....
ส่วนหนึ่งเป็นร้อย-เป็นพันล้าน นายศุภชัยผันเข้าบัญชีบริษัทสาวกระบอบทักษิณด้วยใช่มั้ย?
เห็นทั้งรัฐมนตรีกฎหมายอังดรัวต์ ทั้งระดับหัวหน้าพรรค ยืนเรียงแถวถ่ายรูปกันจมูกบาน หัวขาวโพลน ฉลองเปิดสำนักงาน "เงินโจรผัน" กันโจ๋งครึ่ม!
ก็ไม่กล้าแถลง ว่าการยักยอกนี้ นอกจากพันธรรมกายแล้ว ยังพันพวกนักการเมืองระบอบทักษิณขนาดไหน?
ยังดีที่ พ.ต.อ.สีหนาท ไม่โบ้ยว่าเงินที่ผันเข้าบริษัทระบอบทักษิณถูกแปลงเป็นที่ดินวัด ยึด-อายัดไม่ได้ ก็นับว่าบุญแล้ว!
ปูมข้อมูลเรื่องยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนี่ ต้องชมเชย และยกย่อง "สำนักข่าวไทย พับลิก้า"
เขาตามเรื่องนี้ในเชิงสืบสวน-สอบสวน ประมวลด้วยข้อมูลเชื่อมโยงมีหลักฐานยืนยันชัดเจน เชื่อถือได้ สมบูรณ์ที่สุด ผมก็อาศัยงานข่าวของไทยพับลิก้านี่แหละเป็น "บันทึกช่วยจำ"
ก็อารัมภบทมาซะยาวในประเด็น "เหตุ-ปัจจัย" อยากบอกอีกนิดว่า ทุกอย่างในโลกนี้........"ไม่มีทางตัน"
นั่นคือ...ทุกเรื่อง-ทุกปัญหา มีทางออก-ทางไป และทางจบ......!
ไม่ว่าเรื่องธัมมชโย เรื่องธรรมกาย เรื่องมหาเถร กระทั่งเรื่อง "ระบอบทักษิณ" ที่เป็นเสี้ยนตำตีนสังคมไทยอยู่ทุกวันนี้
เอาเฉพาะเรื่องมหาเถรกับธรรมกายก่อน เมื่อสังคมตื่นและเอาจริง คณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ก็เอาจริง
ทั้ง ดีเอสไอ และ ปปง.ก็ปรับหางเสือ ทำท่า "เอาจริง" ด้วยเช่นกัน!
เรื่องมหาเถรตัดสิน "โกงแล้วคืนไม่อาบัติ" หลายคนมึนว่า กับพระ-กับเจ้า ชั้นสมเด็จ ชั้นพรหม ชั้นเทพ ชั้นธรรม เป็นรัฐบาลสงฆ์ สูงสุดทางอำนาจปกครอง
เมื่อทั้งนายกสงฆ์ และรัฐมนตรีสงฆ์ ทำผิดพระวินัยเสียเอง แล้วใครจะจัดการได้ล่ะ?
ประเด็นมีว่า ผิดทางพระวินัย ถือเป็นเรื่องในอ้อมแขนมหาเถร ญาติโยมภายนอกเข้าไปทำแทนไม่ได้
แต่คณะสงฆ์ก็อยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมืองด้วย นั่นคือ วินัยเป็นกฎหมายเฉพาะพระ เมื่อผิดวินัย พระก็ต้องไปว่ากันเอง
แต่เมื่อพระผิดกฎหมายบ้านเมือง พระก็ต้องถูกทางบ้านเมืองพิจารณาโทษด้วยกฎหมายพระ ที่เรียกว่า "พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕/๒๕๓๕/พระราชกฤษฎีกา/พระราชกำหนด"
ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา ๑๕ ตรี (๔) บัญญัติให้มหาเถรสมาคม "รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา"
การที่มหาเถรมีมติว่าพระธัมมชโยไม่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะไม่มีเจตนายักยอกทรัพย์สิน รวมทั้งได้นำเอาทรัพย์สินมาคืนแล้ว จึงไม่ถือว่าปาราชิกนั้น มีประเด็นต้องพิจารณาว่า....
"มติดังกล่าว ขัดต่อหลักพระธรรมวินัย ซึ่งมหาเถรสมาคมมีหน้าที่ต้องรักษาหรือไม่?"
พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑
(๑๒๓) ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ
มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน ๑ มิใช่ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑ มิใช่ขอยืม ๑ ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ๑
ในทางกฎหมายบ้านเมือง มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับคดีเจ้าพนักงานยักยอกที่นำทรัพย์ที่ยักยอกมาคืน โดยศาลวินิจฉัยว่า....
"เป็นความผิดสำเร็จ"!
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๗๓/๒๕๒๗ สารวัตรใหญ่สั่งให้จำเลยทำหน้าที่เก็บรักษาเงินประกันตัวผู้ต้องหาของสถานีตำรวจ การที่จำเลยนำเงินดังกล่าวไปฝากพี่สาว มิได้นำมาเก็บไว้ในตู้นิรภัยของทางราชการ หรือหากไม่มีตู้นิรภัย ควรจะเก็บเงินอย่างใด จำเลยก็จะต้องขอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา
พฤติการณ์แสดงว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินนั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่น แม้จำเลยจะนำเงินมาคืนในภายหลัง ก็มีความผิดตาม ป.อ. ม.๑๔๗
เนี่ย...ชัดเป๊ะ!
มติของมหาเถรดังกล่าว เป็นมติที่ขัดทั้งหลักธรรมวินัย หลักกฎหมายบ้านเมือง หลักธรรมชาติ หลักศีลธรรมอันดีงาม หลักวิญญูชน
จึงถือว่า คณะกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน (ชาวพุทธ)
"มหาเถรสมาคม จึงไม่มีอำนาจพิจารณาเพื่อลงมติดังกล่าว"!
การลงมติดังกล่าวของที่ประชุมมหาเถร เมื่อ ๒๐ ก.พ.๕๘ จึงไม่มีผลผูกพันผู้หนึ่งผู้ใด ส่งผลให้มติธัมมชโยโกงแล้วคืน "ไม่ผิด-ไม่ต้องอาบัติปาราชิก" ตกไป
แล้วอย่างนี้ อุบาสก-อุบาสิกา ซึ่งเป็นพุทธบริษัทจะจัดการทางกฎหมายกับคณะกรรมการมหาเถรสมาคมได้มั้ย?
ได้ซิ...โยม!
เพราะตาม พ.ร.บ.สงฆ์ คณะกรรมการมหาเถรฯ เป็น "เจ้าพนักงาน" เมื่อเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ บอกว่า
"ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ"
นั่นคือ....ชาวพุทธทุกคน สามารถแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ คณะกรรมการมหาเถรสมาคม ที่ออกมติเมื่อ ๒๐ ก.พ.๕๘ ได้ทั่วราชอาณาจักรไทย!
ยิ่ง สปช. "ไพบูลย์ นิติตะวัน" นำเอกสาร "มติมหาเถรสมาคม" ครั้งที่ ๑๖/๑๕๔๒ มาแสดงเมื่อวาน ชัดแจ้งตามข้อความว่า.........
".....ที่ประชุมรับทราบพระดำริที่สมเด็จพระสังฆราชประทานทั้งหมด มหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริมาโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม
.......จึงเห็นสมควรส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมต่อไป"
นี่เท่ากับ "จับโกหก" ทั้ง ผอ.สำนักพุทธฯ "นายพนม ศรศิลป์" และมหาเถรที่ว่าเมื่อปี ๒๕๔๒ "ไม่มีมติมหาเถรฯ รับทราบพระดำริ 'สมเด็จพระสังฆราช' ว่าธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก"!
ตั้งใจจะชี้ให้เห็นเส้นทางใช้ธรรมกาย "ฟอกเงินโจร" ที่นายศุภชัยยักยอกมาซุกไว้ที่บริษัทมงคลเศรษฐีเอสเตท เครือข่ายธรรมกาย ซักหน่อย
ด้วยอยากรู้ แบบนี้ พ.ต.อ.สีหนาท ณ ปปง.จะปิดบัญชีว่า "เป็นของวัด" แล้ว ยึดคืนไม่ได้ เหมือนรายทัตตชีโว "ฟอกที่ดิน" เงินโจรไปสร้างเจดีย์ที่กาญจนบุรี ทั้งที่ชื่อนายศุภชัยยังคาโฉนด
แต่ พ.ต.อ.สีหนาทแถลงเฉย... "เป็นของวัดไปแล้ว อายัดไม่ได้"!?
แล้วตำแหน่งเลขาฯ ปปง.ล่ะครับ....
อายัดไว้ตรวจสอบบ้าง ได้มั้ย?
เปลว สีเงิน Tuesday, 24 February, 2015 - 00:00 'ธรรมกาย' กับการเมือง 'ใต้ดิน'
การช่วยกันทะนุบำรุงพระศาสนาโดยการขจัดภัยร้ายเหมือนที่พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ทำให้พระศาสนาเผยแผ่ไป ได้ทรงเคยทรงกระทำ เป็นสิ่งชอบสิ่งดีครับ
สาเหตุที่ไม่เข้ามาต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะเชื่อว่าลึกๆในจิตในสติปัญญาของผู้มีโมหะนั้น เป็นจิตประภัสสร เพียงแต่อาจจะองุ่นเปรียวหรือโดนอวิชชาครอบงำ ดังนั้นเถึยงไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้ธรรม(ข้อมูลและความรู้) แล้วให้แต่ละท่านไปพิจารณาไตร่ตรองเอาเอง นั้นแหละครับ
แล้วแต่ท่านจะมองผิดมองถูกก็แล้วแต่ทิฐฐิที่มีในแต่ละท่าน ระหว่างสัมมาทิฐฐิหนึ่ง กับ มิจฉาทิฐิหนึ่ง มีแค่เส้นด้ายบางๆแบ่งไว้ครับ เส้นด้ายนั้น คือ วิชชาหรือปัญญา อันมีพื้นฐานจาก พระไตรลักษณ์ ที่พระพุทธองค์ทรงสังเกตและพิจารณาเห็นจากการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่เสียดายชีวิต พวกเราถึงได้มีอานิสงค์นำมาเล่าเรียนและปฏิบัติตามไงครับ
เปลว สีเงิน
Tuesday, 24 February, 2015 - 00:00
'ธรรมกาย' กับการเมือง 'ใต้ดิน'
ต้องเข้าใจกันไว้เป็น "แกนยึด" ในมุมมองว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ล้วนมี "เหตุ-ปัจจัย" ทำให้เกิดทั้งนั้น
กระทั่งเรื่องมหาเถรฯ อันมี "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" วัดปากน้ำ เป็นประธาน "บิดพระวินัย"
ตัดสินอธิกรณ์ "ธัมมชโย" ต้องอาบัติปาราชิก ด้วยยักยอกเงิน-ที่ดินผู้อื่นร่วมพันล้านมาเป็นของตน ว่า..........
"ยักยอกแล้วคืน-ไม่ผิด"!?
นั่นก็เหตุมาจาก "ตัณหาบังหน้าธรรม" ด้วยมหาเถรฯ ส่วนใหญ่หลงในลาภสักการะที่ธัมมชโย "โกงแล้วแบ่งปัน" ปรนเปรอ จนเป็นประหนึ่ง "นกติดตัง"
จึง "ขายพระธรรม-วินัย" ให้กับธัมมชโยที่เบื้องหน้าประหนึ่งพระ แต่เบื้องหลังโจรครอบงำพระศาสนาเป็นอาณาจักรธรรมกาย ประสานอาณาจักรแดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา
ใช้วิธีแปลงพุทธะให้วิปริต บิดพระธรรมอันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ไปเป็นลัทธิ-นิกาย "เพื่อการค้า-การเมือง ทางใต้ดิน"!
ฉากหน้า ทำว่าเป็นอาณาจักรพุทธะ ขายบุญ-ขายสวรรค์ ใช้ศาสนาและผ้าเหลือง สมคบด้วยข้าราชการและนักการเมืองบางส่วน ขยายอิทธิพล-บารมี แทรกซึมด้วยรูปแบบ "พุทธ-พรางตา"
หวังโน้มน้าวให้คนหลงศรัทธาทั้งในและนอกประเทศ คืบคลานครอบงำพุทธศาสนาในไทย ได้มหาเถร ได้มหานิกาย ได้มหาวิทยาลัยสงฆ์ ได้วัดน้อย-ใหญ่ และทั่งได้ธรรมยุตบางส่วน
โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดขยายฐาน ใช้ปัจจัยเป็นเหยื่อล่อ จุดหมายปลายทาง ลัทธิธรรมกาย "เทกโอเวอร์" พุทธศาสนาครบวงจร ประสานการเมือง
เป็น ๒ อาณาจักรประสาน!
พระทั้งประเทศมีแค่ ๒-๓ แสน แต่ธรรมกาย ภายใต้การรู้เห็นเป็นใจมหาเถร ส่วนมหานิกายและสำนักพุทธฯ เกิดอาชีพ "รับจ้างโกนหัว-ห่มเหลือง" ทำการตลาด เรียกว่าบวช ทีละหมื่นคน แสนคน ล้านคน
ซึ่งถ้าบวชเป็นพระจริงๆ จะมีชายครบคุณสมบัติบวช และมีศรัทธาบวช มากมายขนาดนั้นทุกปี และปีละหลายครั้งอย่างนั้นหรือ?
ก็คงเข้าทำนอง "ดารารับจ้าง" เข้าฉากธรรมกายพิทักษ์พระพุทธศาสนา ก็ใช้ผ้าเหลืองคลุม ถ้าเข้าฉากปกป้องประชาธิปไตย ก็เปลี่ยนจากผ้าเหลือง เป็นผ้าแดงคลุม!
มหาเถรฯ ปล่อยให้ธัมมชโยเดินแผน "แยกพระศาสนาให้แตกเป็นสอง" ด้วยสยบต่อซองปัจจัยอยู่ได้อย่างไร พระคุณเจ้าเอ๋ย?
แล้วปล่อยให้ยึดถนนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อ้างทำบุญตักบาตร ช่วยโน่น-ช่วยนี่ และอ้างเดินธุดงค์ "บังหน้า"
เนื้อแท้ เป็นการโฆษณาเคลื่อนที่ "แบรนด์ธรรมกาย" มีโล้นนะจ๊ะกับจานบินเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งทักษิณตั้งเป้าจะทำ "จานบินธรรมกาย" นี้ให้เป็นเหมือนเมกะ!
ส่วนฉากหลัง ธรรมกายเป็นอาณาจักรลึกลับ-ซับซ้อน ที่เห็นด้วยตาภายนอก ล้วนตรงข้ามกับเนื้อใน
"เนื้อใน" นั้น กินพื้นที่หลายพันไร่ "คนภายนอก" ไม่มีใครสามารถล่วงล้ำเข้าไปดูได้ว่า เส้นทางภายในสัมพันธ์ขบวนการแตกชาติ แตกศาสนาหรือไม่ อย่างไร?
รู้แต่ว่า ธรรมกายกับ "แดงทั้งแผ่นดิน" กับเถนเฒ่าเยาว์ปัญญา มหาวิทยาลัยสงฆ์บางแห่ง และวัดวาส่วนหนึ่ง
ผนึกอยู่ใต้ระบอบทักษิณด้วยกัน!
เงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่นายศุภชัย "มือหาเงิน" ยักยอกให้ธรรมกายและธัมมชโยนั้น ไปถามดีเอสไอ ปปง.ดูเถอะว่า....
ส่วนหนึ่งเป็นร้อย-เป็นพันล้าน นายศุภชัยผันเข้าบัญชีบริษัทสาวกระบอบทักษิณด้วยใช่มั้ย?
เห็นทั้งรัฐมนตรีกฎหมายอังดรัวต์ ทั้งระดับหัวหน้าพรรค ยืนเรียงแถวถ่ายรูปกันจมูกบาน หัวขาวโพลน ฉลองเปิดสำนักงาน "เงินโจรผัน" กันโจ๋งครึ่ม!
ก็ไม่กล้าแถลง ว่าการยักยอกนี้ นอกจากพันธรรมกายแล้ว ยังพันพวกนักการเมืองระบอบทักษิณขนาดไหน?
ยังดีที่ พ.ต.อ.สีหนาท ไม่โบ้ยว่าเงินที่ผันเข้าบริษัทระบอบทักษิณถูกแปลงเป็นที่ดินวัด ยึด-อายัดไม่ได้ ก็นับว่าบุญแล้ว!
ปูมข้อมูลเรื่องยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนี่ ต้องชมเชย และยกย่อง "สำนักข่าวไทย พับลิก้า"
เขาตามเรื่องนี้ในเชิงสืบสวน-สอบสวน ประมวลด้วยข้อมูลเชื่อมโยงมีหลักฐานยืนยันชัดเจน เชื่อถือได้ สมบูรณ์ที่สุด ผมก็อาศัยงานข่าวของไทยพับลิก้านี่แหละเป็น "บันทึกช่วยจำ"
ก็อารัมภบทมาซะยาวในประเด็น "เหตุ-ปัจจัย" อยากบอกอีกนิดว่า ทุกอย่างในโลกนี้........"ไม่มีทางตัน"
นั่นคือ...ทุกเรื่อง-ทุกปัญหา มีทางออก-ทางไป และทางจบ......!
ไม่ว่าเรื่องธัมมชโย เรื่องธรรมกาย เรื่องมหาเถร กระทั่งเรื่อง "ระบอบทักษิณ" ที่เป็นเสี้ยนตำตีนสังคมไทยอยู่ทุกวันนี้
เอาเฉพาะเรื่องมหาเถรกับธรรมกายก่อน เมื่อสังคมตื่นและเอาจริง คณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ก็เอาจริง
ทั้ง ดีเอสไอ และ ปปง.ก็ปรับหางเสือ ทำท่า "เอาจริง" ด้วยเช่นกัน!
เรื่องมหาเถรตัดสิน "โกงแล้วคืนไม่อาบัติ" หลายคนมึนว่า กับพระ-กับเจ้า ชั้นสมเด็จ ชั้นพรหม ชั้นเทพ ชั้นธรรม เป็นรัฐบาลสงฆ์ สูงสุดทางอำนาจปกครอง
เมื่อทั้งนายกสงฆ์ และรัฐมนตรีสงฆ์ ทำผิดพระวินัยเสียเอง แล้วใครจะจัดการได้ล่ะ?
ประเด็นมีว่า ผิดทางพระวินัย ถือเป็นเรื่องในอ้อมแขนมหาเถร ญาติโยมภายนอกเข้าไปทำแทนไม่ได้
แต่คณะสงฆ์ก็อยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมืองด้วย นั่นคือ วินัยเป็นกฎหมายเฉพาะพระ เมื่อผิดวินัย พระก็ต้องไปว่ากันเอง
แต่เมื่อพระผิดกฎหมายบ้านเมือง พระก็ต้องถูกทางบ้านเมืองพิจารณาโทษด้วยกฎหมายพระ ที่เรียกว่า "พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕/๒๕๓๕/พระราชกฤษฎีกา/พระราชกำหนด"
ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา ๑๕ ตรี (๔) บัญญัติให้มหาเถรสมาคม "รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา"
การที่มหาเถรมีมติว่าพระธัมมชโยไม่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะไม่มีเจตนายักยอกทรัพย์สิน รวมทั้งได้นำเอาทรัพย์สินมาคืนแล้ว จึงไม่ถือว่าปาราชิกนั้น มีประเด็นต้องพิจารณาว่า....
"มติดังกล่าว ขัดต่อหลักพระธรรมวินัย ซึ่งมหาเถรสมาคมมีหน้าที่ต้องรักษาหรือไม่?"
พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑
(๑๒๓) ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ
มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน ๑ มิใช่ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑ มิใช่ขอยืม ๑ ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ๑
ในทางกฎหมายบ้านเมือง มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับคดีเจ้าพนักงานยักยอกที่นำทรัพย์ที่ยักยอกมาคืน โดยศาลวินิจฉัยว่า....
"เป็นความผิดสำเร็จ"!
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๗๓/๒๕๒๗ สารวัตรใหญ่สั่งให้จำเลยทำหน้าที่เก็บรักษาเงินประกันตัวผู้ต้องหาของสถานีตำรวจ การที่จำเลยนำเงินดังกล่าวไปฝากพี่สาว มิได้นำมาเก็บไว้ในตู้นิรภัยของทางราชการ หรือหากไม่มีตู้นิรภัย ควรจะเก็บเงินอย่างใด จำเลยก็จะต้องขอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา
พฤติการณ์แสดงว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินนั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่น แม้จำเลยจะนำเงินมาคืนในภายหลัง ก็มีความผิดตาม ป.อ. ม.๑๔๗
เนี่ย...ชัดเป๊ะ!
มติของมหาเถรดังกล่าว เป็นมติที่ขัดทั้งหลักธรรมวินัย หลักกฎหมายบ้านเมือง หลักธรรมชาติ หลักศีลธรรมอันดีงาม หลักวิญญูชน
จึงถือว่า คณะกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน (ชาวพุทธ)
"มหาเถรสมาคม จึงไม่มีอำนาจพิจารณาเพื่อลงมติดังกล่าว"!
การลงมติดังกล่าวของที่ประชุมมหาเถร เมื่อ ๒๐ ก.พ.๕๘ จึงไม่มีผลผูกพันผู้หนึ่งผู้ใด ส่งผลให้มติธัมมชโยโกงแล้วคืน "ไม่ผิด-ไม่ต้องอาบัติปาราชิก" ตกไป
แล้วอย่างนี้ อุบาสก-อุบาสิกา ซึ่งเป็นพุทธบริษัทจะจัดการทางกฎหมายกับคณะกรรมการมหาเถรสมาคมได้มั้ย?
ได้ซิ...โยม!
เพราะตาม พ.ร.บ.สงฆ์ คณะกรรมการมหาเถรฯ เป็น "เจ้าพนักงาน" เมื่อเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ บอกว่า
"ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ"
นั่นคือ....ชาวพุทธทุกคน สามารถแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ คณะกรรมการมหาเถรสมาคม ที่ออกมติเมื่อ ๒๐ ก.พ.๕๘ ได้ทั่วราชอาณาจักรไทย!
ยิ่ง สปช. "ไพบูลย์ นิติตะวัน" นำเอกสาร "มติมหาเถรสมาคม" ครั้งที่ ๑๖/๑๕๔๒ มาแสดงเมื่อวาน ชัดแจ้งตามข้อความว่า.........
".....ที่ประชุมรับทราบพระดำริที่สมเด็จพระสังฆราชประทานทั้งหมด มหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริมาโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม
.......จึงเห็นสมควรส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมต่อไป"
นี่เท่ากับ "จับโกหก" ทั้ง ผอ.สำนักพุทธฯ "นายพนม ศรศิลป์" และมหาเถรที่ว่าเมื่อปี ๒๕๔๒ "ไม่มีมติมหาเถรฯ รับทราบพระดำริ 'สมเด็จพระสังฆราช' ว่าธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก"!
ตั้งใจจะชี้ให้เห็นเส้นทางใช้ธรรมกาย "ฟอกเงินโจร" ที่นายศุภชัยยักยอกมาซุกไว้ที่บริษัทมงคลเศรษฐีเอสเตท เครือข่ายธรรมกาย ซักหน่อย
ด้วยอยากรู้ แบบนี้ พ.ต.อ.สีหนาท ณ ปปง.จะปิดบัญชีว่า "เป็นของวัด" แล้ว ยึดคืนไม่ได้ เหมือนรายทัตตชีโว "ฟอกที่ดิน" เงินโจรไปสร้างเจดีย์ที่กาญจนบุรี ทั้งที่ชื่อนายศุภชัยยังคาโฉนด
แต่ พ.ต.อ.สีหนาทแถลงเฉย... "เป็นของวัดไปแล้ว อายัดไม่ได้"!?
แล้วตำแหน่งเลขาฯ ปปง.ล่ะครับ....
อายัดไว้ตรวจสอบบ้าง ได้มั้ย?