http://www.naewna.com/politic/columnist/22992
เนื้อหาค่อนข้างยาว นำไปสู่ข้อสรุปว่าเพราะเหตุใดพุทธศาสนาจึงกำลังเลือนหายจากประเทศไทย
-----------
พุทธศาสนาใกล้อันตรธานจากประเทศไทย!
ข่าวคราวการพิจารณาเกี่ยวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษส่งเรื่องให้มหาเถรสมาคมพิจารณาดำเนินการกรณีธัมมชโยเป็นปาราชิก และผลการพิจารณาปรากฏว่าคดีอาญาได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยไม่ปรากฏว่า ธัมมชโยมีความผิด จึงไม่เป็นความผิดฐานปาราชิก และไม่สามารถยกเรื่องปาราชิกขึ้นพิจารณาได้อีก
พลันที่ข่าวดังกล่าวปรากฏออกสู่สาธารณะ ก็เกิดกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางและรุนแรง แทบจะไม่เหลือความศรัทธาต่อการบริหารการศาสนาในประเทศไทยอีกเลย
กระแสต่อต้านดังกล่าวจะยังคงไม่หยุดนิ่ง แต่ยังคงขยายตัวออกไป จนกว่าผู้เป็นต้นเหตุของการทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทยต้องถูกจัดการให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย หรือมิฉะนั้นก็ถึงกาลที่พระพุทธศาสนาจะอันตรธานไปจากประเทศไทย เพราะขณะนี้ก็เริ่มมีเสียงแปร่งๆขึ้นในหมู่ชาวพุทธเป็นจำนวนมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะเลิกนับถือการบริหารคณะสงฆ์ และเลิกไหว้คนหัวโล้นห่มเหลืองกันอีกต่อไป
ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้กันให้ถูกตรงเพื่อเป็นทางแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง อย่าคิดว่าคนมีอำนาจบาตรใหญ่คุ้มกะลาหัวแล้ว จะรักษาศรัทธาของมหาชนเอาไว้ได้ เพราะที่ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนานั้น เป็นการนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นับถือพระธรรมวินัย ไม่ได้นับถือมหาเถรสมาคมหรือองค์กรบริหารทางศาสนาใดๆ
ทุกบทสวดก็ไม่มีการสวดหรือยึดถือมหาเถรสมาคมหรือองค์กรบริหารทางศาสนาใดๆ เป็นสรณะหรือเป็นที่พึ่ง หากยังคงถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะอันเกษม เช่นเดียวกับเมื่อครั้งโพธิกาล ดังนั้นจึงต้องสำเหนียกว่า ที่ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนานั้น เป็นการนับถือพระรัตนตรัย นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นับถือพระธรรมเป็นสรณะอันเกษม ไม่มีใครนับถือมหาเถรสมาคมองค์กรบริหารทางศาสนาใดๆ เป็นสรณะ
อันเกษม จะได้ตั้งสัมมาทิฐิให้ถูกต้อง
เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจเรื่องแรกก็คือ ความเป็นพระสงฆ์และการสิ้นสภาพจากความเป็นพระสงฆ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกฎหมาย และกฎหมายไม่สามารถทำให้คนเป็นพระสงฆ์ หรือสิ้นสภาพเป็นพระสงฆ์ได้ ต่อให้ถูกคำพิพากษาจำคุก ถ้าหากว่ายังคงคุณสมบัติแห่งความเป็นพระสงฆ์ถูกต้องครบถ้วนก็ยังคงเป็นพระสงฆ์แม้ถึงจะกระชากผ้าเหลืองออก โดยพระธรรมวินัยก็คงถือว่าเป็นแค่โจรปล้นผ้าเหลืองเท่านั้น ไม่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ
ดังนั้นจึงต้องย้ำเตือนว่าความเป็นพระสงฆ์ไม่ได้เกิดขึ้นหรือสิ้นสุดไปเพราะกฎหมาย เหตุนี้มติที่ระบุว่าความผิดทางอาญาของธัมมชโยระงับไปแล้วจากการถอนฟ้อง ศาลไม่ได้ตัดสินว่ามีความผิดหรือให้ติดคุกจึงไม่เป็นปาราชิก และเอาผิดฐานปาราชิกอีกไม่ได้นั้น จึงเป็นมติที่ไม่มีผลทาง
พระธรรมวินัย ไม่มีผลที่ทำให้ธัมมชโยฟื้นจากการเป็นปาราชิก หรือพ้นจากการเป็นปาราชิก
จะว่าเป็นมติที่เป็นโมฆะในทางพระธรรมวินัยก็ว่าได้!
เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจต่อมาก็คือ ความเป็นพระสงฆ์และความสิ้นสุดจากความเป็นพระสงฆ์นั้นเกิดแต่พระธรรมวินัยความเป็นพระสงฆ์เกิดขึ้นจากการอุปสมบทตามแบบแผนที่มีบัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนา คือแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้เอง หรือแบบติสรณะคมนูปสัมปทา คือแบบที่ขอเข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งทั้งสองแบบนี้ไม่ใช้แล้วในปัจจุบันนี้ คงใช้แบบที่สามคือญัตติจตุตถกรรม หรือแบบที่มีการเสนอญัตติสี่ครั้งในท่ามกลางคณะสงฆ์ และคณะสงฆ์ยอมรับให้อุปสมบท นี่คือการได้มาซึ่งสมณเพศหรือบรรลุถึงซึ่งความเป็นพระสงฆ์ตามพระธรรมวินัย
สำหรับการสิ้นสุดสมณเพศหรือสิ้นสุดความเป็นพระสงฆ์ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย นั่นคือนอกจากการลาสิกขาบทหรือขอสึกด้วยตนเองแล้ว สมณะวิสัยหรือความเป็นพระสงฆ์ย่อมสิ้นสุดลงเมื่อได้กระทำผิดพระวินัยในข้อร้ายแรง 4 ข้อ คือ เสพเมถุน, ลักฉ้อทรัพย์เกิน 5 มาสก, ฆ่าคน และอวดอุตริมนุษยธรรม นอกจากนี้แล้วไม่มีอะไรทำให้พ้นจากภาวะภิกษุได้ สำหรับการตายนั้น แม้ตายก็อาจตายในภาวะภิกษุหรือสมณเพศได้ เป็นการตายไปพร้อมกับชีวิต
ดังนั้นพระสงฆ์หรือภิกษุใดต้องอาบัติปาราชิก จึงพ้นจากความเป็นภิกษุหรือพระสงฆ์ในทันทีที่กระทำการอาบัตินั้น เมื่อเป็นปาราชิกแล้ว ถึงห่มคลุมผ้าเหลือง ถึงโกนหัวอยู่ก็ไม่ใช่ภิกษุหรือพระสงฆ์อีกแล้ว ไม่ต่างอะไรกับการเอาผ้าเหลืองไปคลุมตอไม้ที่ไม่ทำให้เป็นพระสงฆ์ขึ้นมาได้ฉันใด ก็ฉันนั้น
เพราะอาบัติปาราชิกเป็นโทษหนักในพระธรรมวินัย จึงมีพุทธบัญญัติห้ามไม่ให้ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นกลับมาบวชใหม่ เหตุนี้ถึงแม้ผู้ต้องอาบัติปาราชิกกลับมาบวชใหม่อีกครั้งหนึ่ง การบวชนั้นก็ไม่มีผลสัมฤทธิ์ให้เป็นสมณะหรือพระสงฆ์ขึ้นมาได้เพราะต้องห้ามมิให้บวช
ธัมมชโยได้นำเงินของวัดไปซื้อที่ดิน และโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อของตนเอง ซึ่งเป็นการลักยักยอกทรัพย์เกินกว่า 5 มาสก ย่อมเป็นปาราชิก ณ วันกระทำนั้นแล้ว แต่เพื่อให้โอกาสและให้มีความชัดเจนในเรื่องของเจตนาว่าจะถือเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จึงมีการทวงถามหลายครั้งหลายหน ก็ไม่คืนให้กับวัด เป็นการแสดงเจตนาแจ้งชัดที่จะยึดถือไว้เพื่อตน จนมีการฟ้องคดีอาญาต่อศาล และต่อสู้คดีกันเป็นเวลาถึง 7 ปี
การต่อสู้คดีว่าไม่ได้ผิดตามฟ้อง ก็คือการยืนยันเจตนาถือครองทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของตน ทำให้ความผิดฐานปาราชิกชัดเจน ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ เหตุนี้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จึงมีพระลิขิตบัญชาตามกฎหมายคณะสงฆ์ว่าธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก ต้องสึก ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด เหมือนกับคนเอาผ้าเหลืองมาห่ม
ทรงมีพระลิขิตต่อเนื่องจากเรื่องนี้ถึง 5 ฉบับ เพราะมีการปกป้องอุ้มชูกันไว้ไม่ดำเนินการตามพระลิขิตนั้น อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ตามพระบัญชาดังกล่าวนั้นก็คือการจัดการสึกธัมมชโยนั่นเอง
ในที่สุดก็ทรงมีพระลิขิตฉบับสุดท้ายว่าทรงปฏิบัติพระสังฆภาระครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ต่อไปนี้ใครจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของผู้นั้น และเป็นผลให้มหาเถรสมาคมมีมติครั้งสำคัญรับรองพระลิขิตทุกฉบับ และมีมติว่าน้อมรับสนองตามพระลิขิตว่าเป็นพระลิขิตที่ชอบด้วยกฎหมายและพระธรรมวินัย และให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ดำเนินการต่อไป
นั่นคือให้สึกธัมมชโยและจัดการอย่างเด็ดขาด แต่ในที่สุดก็บูดเบี้ยว อุ้มชูกันไว้ และเกิดกรณีอำนาจการเมืองเข้าแทรก เป็นเหตุให้มีการถอนฟ้อง ซึ่งการถอนฟ้องนั้นไม่ได้หมายความว่าไม่ผิดและไม่ได้หมายความว่าศาลตัดสินว่าไม่ผิด ความผิดอันใดตามกฎหมายที่มีอยู่ก็ยังคงอยู่ คงเหลือแต่ปัญหาว่าจะฟื้นขึ้นมาดำเนินคดีได้อย่างไร ไม่ใช่กรณีว่าพ้นจากความผิด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพ้นจากสมณเพศหรือพ้นจากความเป็นพระสงฆ์ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้ว ทว่าพอมีการถอนฟ้องบรรดานักอุ้มชูทั้งหลายก็เร่งรีบดำเนินการคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสให้กับธัมมชโย และขอพระราชทานสมณศักดิ์ชั้นเทพให้แก่ธัมมชโยซ้ำเข้าไปอีก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่นำพาต่อพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช และมติของมหาเถรสมาคมเอาเสียเลย
เพราะผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้น เมื่อพ้นจากความเป็นภิกษุไปแล้วก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสหรือมีสมณศักดิ์ใดๆ ได้อีก ใครที่กระทำผิดในเรื่องเหล่านี้ล้วนต้องรับผิดตามกฎหมายทั้งสิ้น ก็รอดูกันว่าวันเวลาใดที่อุ้งมือแห่งกฎหมายจะจัดการกับความผิดเหล่านี้
เหตุที่ชาวพุทธทั้งหลายไม่ยอมรับและต่อต้านในเรื่องนี้ก็เพราะไม่สามารถยอมรับว่าพระสงฆ์มีเมีย หรือไปเที่ยวเสพกามกับโสเภณี ซึ่งไม่มีความผิดตามกฎหมาย แต่เป็นปาราชิกตามพระธรรมวินัยและเพราะถ้าหากยอมรับแล้วก็เท่ากับยอมรับว่าบัดนี้พระธรรมวินัยได้อันตรธานไปจากประเทศไทยแล้วนั่นเอง
ต่อไปจะได้เห็นพระมีเมีย พระเที่ยวซ่อง พระให้บริการทางเพศ แล้วบอกว่าไม่ผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นปาราชิกแล้วจะเป็นอย่างไร?
สิริอัญญา: ชาวพุทธถือไตรสรณะเป็นที่พึ่ง มิใช่มติ มส ที่เหมือนทำให้พระธรรมวินัยไม่มีอยู่ในไทย
เนื้อหาค่อนข้างยาว นำไปสู่ข้อสรุปว่าเพราะเหตุใดพุทธศาสนาจึงกำลังเลือนหายจากประเทศไทย
-----------
พุทธศาสนาใกล้อันตรธานจากประเทศไทย!
ข่าวคราวการพิจารณาเกี่ยวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษส่งเรื่องให้มหาเถรสมาคมพิจารณาดำเนินการกรณีธัมมชโยเป็นปาราชิก และผลการพิจารณาปรากฏว่าคดีอาญาได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยไม่ปรากฏว่า ธัมมชโยมีความผิด จึงไม่เป็นความผิดฐานปาราชิก และไม่สามารถยกเรื่องปาราชิกขึ้นพิจารณาได้อีก
พลันที่ข่าวดังกล่าวปรากฏออกสู่สาธารณะ ก็เกิดกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางและรุนแรง แทบจะไม่เหลือความศรัทธาต่อการบริหารการศาสนาในประเทศไทยอีกเลย
กระแสต่อต้านดังกล่าวจะยังคงไม่หยุดนิ่ง แต่ยังคงขยายตัวออกไป จนกว่าผู้เป็นต้นเหตุของการทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทยต้องถูกจัดการให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย หรือมิฉะนั้นก็ถึงกาลที่พระพุทธศาสนาจะอันตรธานไปจากประเทศไทย เพราะขณะนี้ก็เริ่มมีเสียงแปร่งๆขึ้นในหมู่ชาวพุทธเป็นจำนวนมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะเลิกนับถือการบริหารคณะสงฆ์ และเลิกไหว้คนหัวโล้นห่มเหลืองกันอีกต่อไป
ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้กันให้ถูกตรงเพื่อเป็นทางแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง อย่าคิดว่าคนมีอำนาจบาตรใหญ่คุ้มกะลาหัวแล้ว จะรักษาศรัทธาของมหาชนเอาไว้ได้ เพราะที่ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนานั้น เป็นการนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นับถือพระธรรมวินัย ไม่ได้นับถือมหาเถรสมาคมหรือองค์กรบริหารทางศาสนาใดๆ
ทุกบทสวดก็ไม่มีการสวดหรือยึดถือมหาเถรสมาคมหรือองค์กรบริหารทางศาสนาใดๆ เป็นสรณะหรือเป็นที่พึ่ง หากยังคงถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะอันเกษม เช่นเดียวกับเมื่อครั้งโพธิกาล ดังนั้นจึงต้องสำเหนียกว่า ที่ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนานั้น เป็นการนับถือพระรัตนตรัย นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นับถือพระธรรมเป็นสรณะอันเกษม ไม่มีใครนับถือมหาเถรสมาคมองค์กรบริหารทางศาสนาใดๆ เป็นสรณะ
อันเกษม จะได้ตั้งสัมมาทิฐิให้ถูกต้อง
เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจเรื่องแรกก็คือ ความเป็นพระสงฆ์และการสิ้นสภาพจากความเป็นพระสงฆ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกฎหมาย และกฎหมายไม่สามารถทำให้คนเป็นพระสงฆ์ หรือสิ้นสภาพเป็นพระสงฆ์ได้ ต่อให้ถูกคำพิพากษาจำคุก ถ้าหากว่ายังคงคุณสมบัติแห่งความเป็นพระสงฆ์ถูกต้องครบถ้วนก็ยังคงเป็นพระสงฆ์แม้ถึงจะกระชากผ้าเหลืองออก โดยพระธรรมวินัยก็คงถือว่าเป็นแค่โจรปล้นผ้าเหลืองเท่านั้น ไม่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ
ดังนั้นจึงต้องย้ำเตือนว่าความเป็นพระสงฆ์ไม่ได้เกิดขึ้นหรือสิ้นสุดไปเพราะกฎหมาย เหตุนี้มติที่ระบุว่าความผิดทางอาญาของธัมมชโยระงับไปแล้วจากการถอนฟ้อง ศาลไม่ได้ตัดสินว่ามีความผิดหรือให้ติดคุกจึงไม่เป็นปาราชิก และเอาผิดฐานปาราชิกอีกไม่ได้นั้น จึงเป็นมติที่ไม่มีผลทาง
พระธรรมวินัย ไม่มีผลที่ทำให้ธัมมชโยฟื้นจากการเป็นปาราชิก หรือพ้นจากการเป็นปาราชิก
จะว่าเป็นมติที่เป็นโมฆะในทางพระธรรมวินัยก็ว่าได้!
เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจต่อมาก็คือ ความเป็นพระสงฆ์และความสิ้นสุดจากความเป็นพระสงฆ์นั้นเกิดแต่พระธรรมวินัยความเป็นพระสงฆ์เกิดขึ้นจากการอุปสมบทตามแบบแผนที่มีบัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนา คือแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้เอง หรือแบบติสรณะคมนูปสัมปทา คือแบบที่ขอเข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งทั้งสองแบบนี้ไม่ใช้แล้วในปัจจุบันนี้ คงใช้แบบที่สามคือญัตติจตุตถกรรม หรือแบบที่มีการเสนอญัตติสี่ครั้งในท่ามกลางคณะสงฆ์ และคณะสงฆ์ยอมรับให้อุปสมบท นี่คือการได้มาซึ่งสมณเพศหรือบรรลุถึงซึ่งความเป็นพระสงฆ์ตามพระธรรมวินัย
สำหรับการสิ้นสุดสมณเพศหรือสิ้นสุดความเป็นพระสงฆ์ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย นั่นคือนอกจากการลาสิกขาบทหรือขอสึกด้วยตนเองแล้ว สมณะวิสัยหรือความเป็นพระสงฆ์ย่อมสิ้นสุดลงเมื่อได้กระทำผิดพระวินัยในข้อร้ายแรง 4 ข้อ คือ เสพเมถุน, ลักฉ้อทรัพย์เกิน 5 มาสก, ฆ่าคน และอวดอุตริมนุษยธรรม นอกจากนี้แล้วไม่มีอะไรทำให้พ้นจากภาวะภิกษุได้ สำหรับการตายนั้น แม้ตายก็อาจตายในภาวะภิกษุหรือสมณเพศได้ เป็นการตายไปพร้อมกับชีวิต
ดังนั้นพระสงฆ์หรือภิกษุใดต้องอาบัติปาราชิก จึงพ้นจากความเป็นภิกษุหรือพระสงฆ์ในทันทีที่กระทำการอาบัตินั้น เมื่อเป็นปาราชิกแล้ว ถึงห่มคลุมผ้าเหลือง ถึงโกนหัวอยู่ก็ไม่ใช่ภิกษุหรือพระสงฆ์อีกแล้ว ไม่ต่างอะไรกับการเอาผ้าเหลืองไปคลุมตอไม้ที่ไม่ทำให้เป็นพระสงฆ์ขึ้นมาได้ฉันใด ก็ฉันนั้น
เพราะอาบัติปาราชิกเป็นโทษหนักในพระธรรมวินัย จึงมีพุทธบัญญัติห้ามไม่ให้ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นกลับมาบวชใหม่ เหตุนี้ถึงแม้ผู้ต้องอาบัติปาราชิกกลับมาบวชใหม่อีกครั้งหนึ่ง การบวชนั้นก็ไม่มีผลสัมฤทธิ์ให้เป็นสมณะหรือพระสงฆ์ขึ้นมาได้เพราะต้องห้ามมิให้บวช
ธัมมชโยได้นำเงินของวัดไปซื้อที่ดิน และโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อของตนเอง ซึ่งเป็นการลักยักยอกทรัพย์เกินกว่า 5 มาสก ย่อมเป็นปาราชิก ณ วันกระทำนั้นแล้ว แต่เพื่อให้โอกาสและให้มีความชัดเจนในเรื่องของเจตนาว่าจะถือเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จึงมีการทวงถามหลายครั้งหลายหน ก็ไม่คืนให้กับวัด เป็นการแสดงเจตนาแจ้งชัดที่จะยึดถือไว้เพื่อตน จนมีการฟ้องคดีอาญาต่อศาล และต่อสู้คดีกันเป็นเวลาถึง 7 ปี
การต่อสู้คดีว่าไม่ได้ผิดตามฟ้อง ก็คือการยืนยันเจตนาถือครองทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของตน ทำให้ความผิดฐานปาราชิกชัดเจน ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ เหตุนี้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จึงมีพระลิขิตบัญชาตามกฎหมายคณะสงฆ์ว่าธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก ต้องสึก ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด เหมือนกับคนเอาผ้าเหลืองมาห่ม
ทรงมีพระลิขิตต่อเนื่องจากเรื่องนี้ถึง 5 ฉบับ เพราะมีการปกป้องอุ้มชูกันไว้ไม่ดำเนินการตามพระลิขิตนั้น อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ตามพระบัญชาดังกล่าวนั้นก็คือการจัดการสึกธัมมชโยนั่นเอง
ในที่สุดก็ทรงมีพระลิขิตฉบับสุดท้ายว่าทรงปฏิบัติพระสังฆภาระครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ต่อไปนี้ใครจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของผู้นั้น และเป็นผลให้มหาเถรสมาคมมีมติครั้งสำคัญรับรองพระลิขิตทุกฉบับ และมีมติว่าน้อมรับสนองตามพระลิขิตว่าเป็นพระลิขิตที่ชอบด้วยกฎหมายและพระธรรมวินัย และให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ดำเนินการต่อไป
นั่นคือให้สึกธัมมชโยและจัดการอย่างเด็ดขาด แต่ในที่สุดก็บูดเบี้ยว อุ้มชูกันไว้ และเกิดกรณีอำนาจการเมืองเข้าแทรก เป็นเหตุให้มีการถอนฟ้อง ซึ่งการถอนฟ้องนั้นไม่ได้หมายความว่าไม่ผิดและไม่ได้หมายความว่าศาลตัดสินว่าไม่ผิด ความผิดอันใดตามกฎหมายที่มีอยู่ก็ยังคงอยู่ คงเหลือแต่ปัญหาว่าจะฟื้นขึ้นมาดำเนินคดีได้อย่างไร ไม่ใช่กรณีว่าพ้นจากความผิด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพ้นจากสมณเพศหรือพ้นจากความเป็นพระสงฆ์ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้ว ทว่าพอมีการถอนฟ้องบรรดานักอุ้มชูทั้งหลายก็เร่งรีบดำเนินการคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสให้กับธัมมชโย และขอพระราชทานสมณศักดิ์ชั้นเทพให้แก่ธัมมชโยซ้ำเข้าไปอีก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่นำพาต่อพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช และมติของมหาเถรสมาคมเอาเสียเลย
เพราะผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้น เมื่อพ้นจากความเป็นภิกษุไปแล้วก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสหรือมีสมณศักดิ์ใดๆ ได้อีก ใครที่กระทำผิดในเรื่องเหล่านี้ล้วนต้องรับผิดตามกฎหมายทั้งสิ้น ก็รอดูกันว่าวันเวลาใดที่อุ้งมือแห่งกฎหมายจะจัดการกับความผิดเหล่านี้
เหตุที่ชาวพุทธทั้งหลายไม่ยอมรับและต่อต้านในเรื่องนี้ก็เพราะไม่สามารถยอมรับว่าพระสงฆ์มีเมีย หรือไปเที่ยวเสพกามกับโสเภณี ซึ่งไม่มีความผิดตามกฎหมาย แต่เป็นปาราชิกตามพระธรรมวินัยและเพราะถ้าหากยอมรับแล้วก็เท่ากับยอมรับว่าบัดนี้พระธรรมวินัยได้อันตรธานไปจากประเทศไทยแล้วนั่นเอง
ต่อไปจะได้เห็นพระมีเมีย พระเที่ยวซ่อง พระให้บริการทางเพศ แล้วบอกว่าไม่ผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นปาราชิกแล้วจะเป็นอย่างไร?