ออกตัวก่อนนะครับว่าทั้งหมดผมอ่านจากหนังสื่อ Bioscope แล้วเอามาเล่าให้ฟังอีกที คือไม่ได้แสกนมาลงนะครับ คืออ่านแล้วชอบมากก็เลยเอาไปแบ่งปันให้ลูกเพจของผมอ่าน (อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก https://www.facebook.com/overhyp ) ประมวลมาเล่าให้ฟังคร่าวๆ แต่น่าสนใจดีครับ อยากอ่านของจริงละเอียดๆ แนะนำให้ไปซื้อ Bio ปกจูลี่แอนมัวร์มาอ่าน(ไม่ได้ขายของนะครับ ของเค้าดีจริง)
สกู๊ปนี้ชื่อว่า "ติดปีกสยายไปกับ Birdman ลูกบ้าครั้งสำคัญของคนทำหนังสุดหม่น อาเลฆันโดร กอนซาเลซ อีนาร์รีตู"
ในหนังสือ อีนาร์รีตูบอกว่า เค้าก็มี Birdman ของเค้า และ Birdman ของเค้านี่แหละเป็นตัวบงการให้เค้าทำโน่นทำนี่ และมันนำมาซึ่งความไม่เคยพอใจกับความสำเร็จเก่าๆจากหนัง 4 เรื่องของเค้าที่ประสบความสำเร็จมากมายไม่ว่าจะเป็น
- Amores Perros หนังเม็กซิโกเรื่องแรกที่กำกับ อีนาร์รีตู ก็พาหนังไป 5 เรื่องสุดท้ายบนเวทีออสการ์ปีในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมปี 2000 มาแล้ว
- 21 Grams พา Naomi Watts และ Benicio Del Toro เข้าชิงออสการ์ทั้งสาขานักแสดงนำฝ่ายชาย และนักแสดงนำฝ่ายหยิง พร้อมคำชมไปอีกกระบุงโกย
-Babel เข้าชิง 7 รางวัลออสการ์ เป็นหนังในดวงใจของคอหนังมากมาย
- Biutiful ก็ยังได้เข้าชิงออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และ นักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม
ทั้ง 4 เรื่อง มีพัฒนาการดีขึ้นทุกเรื่อง เค้าเป็นผู้กำกับคุณภาพในสายตานักวิจารณ์ แต่อีนาร์รีตู กลับบอกว่า เค้าอยู่ในจุดที่สบาย เสวยสุขกับความสำเร็จของงานทั้ง 4 เรื่องมากเกินไปแล้ว อีนาร์รีตูบอกว่า แคแรคเตอร์ Riggan ใน Birdman ก็เหมือนกับเค้านั่นแหละ ที่มีความทะเยอทะยานอยากจะเป็นศิลปินอย่างแท้จริง เพราะเกิดจากการหมกมุ่นกับตัวเองจนได้ยินเสียงกระซิบจาก Birdman ที่ออกมาด่าและบอกกับเค้าว่า ความสำเร็จในอดีตที่ผ่านมา มันก็คือความห่วยแตกของแก อะไรประมาณนั้น คือเค้าไม่เคยพอใจผลงานของตัวเองเลยไม่ว่ามันจะดีแค่ไหน
อีนาร์รีตูบอกว่า เค้าอยู่กับหนังดราม่า เค้าอยู่กับความหม่นหมอง ความตาย ความสูญเสียในหนังมากมาย จนแทบจะดูดกลืนพลังเค้าไปหมดตัวเลย เค้าบอกว่าเค้าขาดอารมณ์ขัน เค้าควรจะทำหนังที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันบ้าง ทำหนังที่เบาลงมาบ้าง และนั่นคือที่มาของ Birdman ที่ผมได้ดูมาแล้วก็แทบคลั่งกับความเริ่ดของหนังจนแทบจะต้องออกมาป่าวประกาศบอกให้คนไปดูกันมากๆ (คิดดูว่าเดินผ่านโรงหนัง พลังดึงดูดของ Birdman แรงมากจนเราไม่อยากดูหนังเรื่องอื่นอีกเลยในช่วงนี้ อยากเข้าไปดู Birdman ซ้ำๆๆๆๆๆอีกหลายๆรอบ)
หากใครที่ได้ดูหนังของอีนาร์รีตูมาทั้ง 4 เรื่องไม่ว่าจะเป็น Amores Perros , 21 Granms , Babel จะพบว่า 3 เรื่องแรกมีเอกลักษณ์ความเป็นอีนาร์รีตูคือ เค้าใช้เหตุการณ์หลายๆสถานที่ หลายๆช่วงเวลา มาตัดสลับกันไปมา แล้วมีจุดเชื่อมโยงให้คนดูได้ปะติดปะต่อกันเหมือนจิ้กซอ บางคนบอกว่ามันทำให้หนังดูยาก แต่อีนาร์รีตูบอกว่า อย่าดูถูกคนดู ซึ่งเค้าไม่เคยบอกว่าเค้าเล่าเรื่องเก่ง เค้าบอกว่าคนดูตะหากที่เก่ง ที่สามารถเชื่อมโยงได้ จนมา Biutiful เค้าเปลี่ยนแนวไปเดินเรื่องไปในแนวเส้นตรง ไปข้างหน้าเส้นเรื่องเดียว แต่ก็ยังวนเวียนกับความหมองหม่นของมนุษย์อยู่ดี
อีนาร์รีตูบอกว่า ที่ผ่านมาเค้าพึ่งพาการตัดต่อมากเกินไป (ก็แน่นอนล่ะ หนังตัดสลับหลายเหตุการณ์ มันก็ต้องใช้การตัดต่อที่แข็งแรงและหนักหน่วงสิ) เค้าบอกว่า ชีวิตมนุษย์จริงๆมันไม่มีการตัดต่อ มันต้อง Long Take นั่นคือที่มาของความทะเยอทะยานของหนัง Birdman ทื่เราจะเห็นความมหัศจรรย์ของ Long Take อีนาร์รีตูบอกว่า การใช้ Long take คือการซื่อสัตย์กับตัวเอง เค้าจะไมีมีสิทธิ์พลาดได้เลย
ส่วนหนึ่งในหนังสือที่ชอบมากคือเค้าพูดถึงการเสียดสีของคนในสังคมด้วย อีนาร์รีตูบอกว่า "ผมไม่อยากทำหนังเรื่องนี้ให้ขมขื่น หรือมีท่าทีสั่งสอน หรือบอกคนดูว่าอะไรถูกอะไรผิดนะครับ ผมไม่อยากเสียเวลาชีวิตตั้งสามปีไปกับการทำหนังขี้บ่นหรอก ผมเบื่อเต็มทนกับวัมนธรรมการเสียดสีการ-ดันถากถาง... ทุกอย่างจะต้องทำให้ดูเท่ ดูเจ๋ง ดูฉลาดหลักแหลม ดูเหนือคนอื่นดูมีเหตุผลซะจนไม่เหลียวแลเรื่องอารมณ์ความเป็นมนุษย์ จะเรื่องอะไร ประเด็นไหนก็เสียดสีมันให้หมด! ผมไม่อยากทำเท่ด้วยการเยาะเย้ยตัวละครของผมเองนี่ครับ ผมอยากซื่อตรงต่อตัวละครและความคิดเห็นของพวกเค้า ต่อให้พวกเค้ามีจุดบกพ่องหรือข้อจำกัดใดๆ ผมไม่อยากจะร่ายแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองหรอก ใครมันจะไปสนใจวะ!" (อันนี้ลอกมาจากในหนังสือให้อ่านเลย คือชอบมุมมองของเค้ามาก
อีกส่วนในหนังสือที่ชอบก็คือเค้าเล่าประวัติและตัวตนของอีนาร์รีตูพอสังเขปว่า ตอนที่เค้าอายุแค่ 16 ปี เค้าตัดสินใจไปสมัครทำงานในเรือเดินทะเลตั้ง 3 ปี เค้าเลยมีโอกาสได้ไปเห็นเรื่องราวต่างๆมากมายหลากหลายวัฒนธรรม ซึ่งนั่นมีอิทธิพลกับชีวิตของเค้าค่อนข้างมาก หลังจากนั้นเค้าก็กลับมาเข้ามหาวิทยาลัย โดยไปเรียนด้านการสื่อสาร และในมหาวิทยาลัยเค้าได้มีโอกาสเสพงานหนังของผู้กำกับสายยุโรป อย่างเฟลลีนี และคุโรซาว่า มันก้ยิ่งทำให้เค้าตื่นตาตื่นใจ แต่สิ่งที่อีนาร์รีตูรักจริงกลับเป็น ดนตรีและงานเพลง เค้าตัดสินใจไปทำงานเป็นดีเจตอนเรียนจบ และก้าวหน้าจนประมาณว่ไาด้เป็นผอ สถานี และก็เปิดบริษัทโปรดักชั่น ทำหนังโฆษณา มาเรื่อยๆ จนได้มาทำหนังสั้น แล้วคค่อยเขยิบมาทำหนังยาว คือประสบการณ์ที่หล่อหลอมเค้ามานี่ไม่ธรรมดาเลย
อีนาร์รีตูมีมุมมองเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่ที่น่าทึ่งมาก ตรงที่เค้าบอกว่า เค้าเกลียดซูเปอร์ฮีโร่มากถึงขั้นยี้เลย เค้าบอกว่าต่อให้หนังพยายามดัดจริตจะทำตัวให้ซูเปอร์ฮีโร่มีคุณธรรมยังไง แต่ความเป้นจริงมันก็ขวาจัด แค่เลือกที่จะเป็นคนดี คนรวย แล้วใช้อำนาจไปทำร้ายตัวร้ายเพียงเพราะเค้ายึดถืออุดมการณ์ที่แตกต่างจากตัวเอง
เรื่องราวของ Alejandro González Iñárritu ก่อนจะมาเป็น Birdman
ออกตัวก่อนนะครับว่าทั้งหมดผมอ่านจากหนังสื่อ Bioscope แล้วเอามาเล่าให้ฟังอีกที คือไม่ได้แสกนมาลงนะครับ คืออ่านแล้วชอบมากก็เลยเอาไปแบ่งปันให้ลูกเพจของผมอ่าน (อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก https://www.facebook.com/overhyp ) ประมวลมาเล่าให้ฟังคร่าวๆ แต่น่าสนใจดีครับ อยากอ่านของจริงละเอียดๆ แนะนำให้ไปซื้อ Bio ปกจูลี่แอนมัวร์มาอ่าน(ไม่ได้ขายของนะครับ ของเค้าดีจริง)
สกู๊ปนี้ชื่อว่า "ติดปีกสยายไปกับ Birdman ลูกบ้าครั้งสำคัญของคนทำหนังสุดหม่น อาเลฆันโดร กอนซาเลซ อีนาร์รีตู"
ในหนังสือ อีนาร์รีตูบอกว่า เค้าก็มี Birdman ของเค้า และ Birdman ของเค้านี่แหละเป็นตัวบงการให้เค้าทำโน่นทำนี่ และมันนำมาซึ่งความไม่เคยพอใจกับความสำเร็จเก่าๆจากหนัง 4 เรื่องของเค้าที่ประสบความสำเร็จมากมายไม่ว่าจะเป็น
- Amores Perros หนังเม็กซิโกเรื่องแรกที่กำกับ อีนาร์รีตู ก็พาหนังไป 5 เรื่องสุดท้ายบนเวทีออสการ์ปีในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมปี 2000 มาแล้ว
- 21 Grams พา Naomi Watts และ Benicio Del Toro เข้าชิงออสการ์ทั้งสาขานักแสดงนำฝ่ายชาย และนักแสดงนำฝ่ายหยิง พร้อมคำชมไปอีกกระบุงโกย
-Babel เข้าชิง 7 รางวัลออสการ์ เป็นหนังในดวงใจของคอหนังมากมาย
- Biutiful ก็ยังได้เข้าชิงออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และ นักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม
ทั้ง 4 เรื่อง มีพัฒนาการดีขึ้นทุกเรื่อง เค้าเป็นผู้กำกับคุณภาพในสายตานักวิจารณ์ แต่อีนาร์รีตู กลับบอกว่า เค้าอยู่ในจุดที่สบาย เสวยสุขกับความสำเร็จของงานทั้ง 4 เรื่องมากเกินไปแล้ว อีนาร์รีตูบอกว่า แคแรคเตอร์ Riggan ใน Birdman ก็เหมือนกับเค้านั่นแหละ ที่มีความทะเยอทะยานอยากจะเป็นศิลปินอย่างแท้จริง เพราะเกิดจากการหมกมุ่นกับตัวเองจนได้ยินเสียงกระซิบจาก Birdman ที่ออกมาด่าและบอกกับเค้าว่า ความสำเร็จในอดีตที่ผ่านมา มันก็คือความห่วยแตกของแก อะไรประมาณนั้น คือเค้าไม่เคยพอใจผลงานของตัวเองเลยไม่ว่ามันจะดีแค่ไหน
อีนาร์รีตูบอกว่า เค้าอยู่กับหนังดราม่า เค้าอยู่กับความหม่นหมอง ความตาย ความสูญเสียในหนังมากมาย จนแทบจะดูดกลืนพลังเค้าไปหมดตัวเลย เค้าบอกว่าเค้าขาดอารมณ์ขัน เค้าควรจะทำหนังที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันบ้าง ทำหนังที่เบาลงมาบ้าง และนั่นคือที่มาของ Birdman ที่ผมได้ดูมาแล้วก็แทบคลั่งกับความเริ่ดของหนังจนแทบจะต้องออกมาป่าวประกาศบอกให้คนไปดูกันมากๆ (คิดดูว่าเดินผ่านโรงหนัง พลังดึงดูดของ Birdman แรงมากจนเราไม่อยากดูหนังเรื่องอื่นอีกเลยในช่วงนี้ อยากเข้าไปดู Birdman ซ้ำๆๆๆๆๆอีกหลายๆรอบ)
หากใครที่ได้ดูหนังของอีนาร์รีตูมาทั้ง 4 เรื่องไม่ว่าจะเป็น Amores Perros , 21 Granms , Babel จะพบว่า 3 เรื่องแรกมีเอกลักษณ์ความเป็นอีนาร์รีตูคือ เค้าใช้เหตุการณ์หลายๆสถานที่ หลายๆช่วงเวลา มาตัดสลับกันไปมา แล้วมีจุดเชื่อมโยงให้คนดูได้ปะติดปะต่อกันเหมือนจิ้กซอ บางคนบอกว่ามันทำให้หนังดูยาก แต่อีนาร์รีตูบอกว่า อย่าดูถูกคนดู ซึ่งเค้าไม่เคยบอกว่าเค้าเล่าเรื่องเก่ง เค้าบอกว่าคนดูตะหากที่เก่ง ที่สามารถเชื่อมโยงได้ จนมา Biutiful เค้าเปลี่ยนแนวไปเดินเรื่องไปในแนวเส้นตรง ไปข้างหน้าเส้นเรื่องเดียว แต่ก็ยังวนเวียนกับความหมองหม่นของมนุษย์อยู่ดี
อีนาร์รีตูบอกว่า ที่ผ่านมาเค้าพึ่งพาการตัดต่อมากเกินไป (ก็แน่นอนล่ะ หนังตัดสลับหลายเหตุการณ์ มันก็ต้องใช้การตัดต่อที่แข็งแรงและหนักหน่วงสิ) เค้าบอกว่า ชีวิตมนุษย์จริงๆมันไม่มีการตัดต่อ มันต้อง Long Take นั่นคือที่มาของความทะเยอทะยานของหนัง Birdman ทื่เราจะเห็นความมหัศจรรย์ของ Long Take อีนาร์รีตูบอกว่า การใช้ Long take คือการซื่อสัตย์กับตัวเอง เค้าจะไมีมีสิทธิ์พลาดได้เลย
ส่วนหนึ่งในหนังสือที่ชอบมากคือเค้าพูดถึงการเสียดสีของคนในสังคมด้วย อีนาร์รีตูบอกว่า "ผมไม่อยากทำหนังเรื่องนี้ให้ขมขื่น หรือมีท่าทีสั่งสอน หรือบอกคนดูว่าอะไรถูกอะไรผิดนะครับ ผมไม่อยากเสียเวลาชีวิตตั้งสามปีไปกับการทำหนังขี้บ่นหรอก ผมเบื่อเต็มทนกับวัมนธรรมการเสียดสีการ-ดันถากถาง... ทุกอย่างจะต้องทำให้ดูเท่ ดูเจ๋ง ดูฉลาดหลักแหลม ดูเหนือคนอื่นดูมีเหตุผลซะจนไม่เหลียวแลเรื่องอารมณ์ความเป็นมนุษย์ จะเรื่องอะไร ประเด็นไหนก็เสียดสีมันให้หมด! ผมไม่อยากทำเท่ด้วยการเยาะเย้ยตัวละครของผมเองนี่ครับ ผมอยากซื่อตรงต่อตัวละครและความคิดเห็นของพวกเค้า ต่อให้พวกเค้ามีจุดบกพ่องหรือข้อจำกัดใดๆ ผมไม่อยากจะร่ายแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองหรอก ใครมันจะไปสนใจวะ!" (อันนี้ลอกมาจากในหนังสือให้อ่านเลย คือชอบมุมมองของเค้ามาก
อีกส่วนในหนังสือที่ชอบก็คือเค้าเล่าประวัติและตัวตนของอีนาร์รีตูพอสังเขปว่า ตอนที่เค้าอายุแค่ 16 ปี เค้าตัดสินใจไปสมัครทำงานในเรือเดินทะเลตั้ง 3 ปี เค้าเลยมีโอกาสได้ไปเห็นเรื่องราวต่างๆมากมายหลากหลายวัฒนธรรม ซึ่งนั่นมีอิทธิพลกับชีวิตของเค้าค่อนข้างมาก หลังจากนั้นเค้าก็กลับมาเข้ามหาวิทยาลัย โดยไปเรียนด้านการสื่อสาร และในมหาวิทยาลัยเค้าได้มีโอกาสเสพงานหนังของผู้กำกับสายยุโรป อย่างเฟลลีนี และคุโรซาว่า มันก้ยิ่งทำให้เค้าตื่นตาตื่นใจ แต่สิ่งที่อีนาร์รีตูรักจริงกลับเป็น ดนตรีและงานเพลง เค้าตัดสินใจไปทำงานเป็นดีเจตอนเรียนจบ และก้าวหน้าจนประมาณว่ไาด้เป็นผอ สถานี และก็เปิดบริษัทโปรดักชั่น ทำหนังโฆษณา มาเรื่อยๆ จนได้มาทำหนังสั้น แล้วคค่อยเขยิบมาทำหนังยาว คือประสบการณ์ที่หล่อหลอมเค้ามานี่ไม่ธรรมดาเลย
อีนาร์รีตูมีมุมมองเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่ที่น่าทึ่งมาก ตรงที่เค้าบอกว่า เค้าเกลียดซูเปอร์ฮีโร่มากถึงขั้นยี้เลย เค้าบอกว่าต่อให้หนังพยายามดัดจริตจะทำตัวให้ซูเปอร์ฮีโร่มีคุณธรรมยังไง แต่ความเป้นจริงมันก็ขวาจัด แค่เลือกที่จะเป็นคนดี คนรวย แล้วใช้อำนาจไปทำร้ายตัวร้ายเพียงเพราะเค้ายึดถืออุดมการณ์ที่แตกต่างจากตัวเอง