ถ้าใครจำบรรยากาศลุ้นรางวัลออสการ์ปีก่อนได้ จะจำได้ดีว่า มีหนังสองเรื่องที่เป็นตัวเก็งของภาพยนตร์ยอดเยี่ยม คือ Birdman กับ Boyhood ที่ทั้งสองเรื่อง ต่างมีความดีงามต่างกันไป Birdman เป็นหนังบอกถึงการดำรงชีวิตในสังคมบันเทิงทางฝั่งตะวันตก ขณะที่ Boyhood เล่าถึงการเจริญเติบโตของเด็กชายคนหนึ่งอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 12 ปี
ตรงนี้เอง ท่ายากของหนังสองเรื่องนี้ ก่อให้เกิดแฟนบอยเถียงกันไปมาอยู่พักหนึ่ง (น่าจะแค่ในประเทศไทย) แฟนฝั่ง Boyhood ก็บอกว่าสมควรได้ออสการ์มากกว่า เพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายทำตั้ง 12 ปีเลยนะ ในขณะที่แฟนฝั่ง Birdman ก็โต้กลับไปว่าหนังเขาก็ถ่ายทำด้วยเทคนิค Long Take ค่อนเรื่อง น่าได้มากกว่าอีก
คนเราอาจมองที่ความน่าทึ่ง และตื่นตาตื่นใจกับเทคนิค หรือชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง จนบางคนอาจหลงลืมไปว่า ภาพยนตร์มีส่วนที่สำคัญที่สุดอยู่นั่นคือบท เทคนิคต่างๆเป็นเพียงการเสริมให้น่าสนใจและน่าติดตามเฉยๆ เพราะเหตุนี้ทำไม The Hurt Locker ถึงเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่รายได้ต่ำสุดของรางวัลออสการ์ถึงเอาชนะหนังอลังการพันล้านอย่าง Avatar หรือจะ 12 Years a Slave ที่เล่าเรื่องโดยขาดเทคนิคประกอบใดๆยังเอาชนะหนังโคตรสนุกและน่าทึ่งอย่าง Gravity ได้
ผมอยากจะบอกว่า ภาพยนตร์ทุกเรื่องมีคุณภาพในตัวของมัน เรามองมุมหนึ่งอาจยังมองไม่เห็นสิ่งที่คนทำจะสื่อออกมา แต่ถ้าเรามองหลายๆมุม จากหลายๆคน เราจะสัมผัสคุณค่าของภาพยนตร์นั้นได้
เราวัดคุณค่าภาพยนตร์จากอะไร ดูได้จาก Boyhood และ Birdman
ตรงนี้เอง ท่ายากของหนังสองเรื่องนี้ ก่อให้เกิดแฟนบอยเถียงกันไปมาอยู่พักหนึ่ง (น่าจะแค่ในประเทศไทย) แฟนฝั่ง Boyhood ก็บอกว่าสมควรได้ออสการ์มากกว่า เพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายทำตั้ง 12 ปีเลยนะ ในขณะที่แฟนฝั่ง Birdman ก็โต้กลับไปว่าหนังเขาก็ถ่ายทำด้วยเทคนิค Long Take ค่อนเรื่อง น่าได้มากกว่าอีก
คนเราอาจมองที่ความน่าทึ่ง และตื่นตาตื่นใจกับเทคนิค หรือชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง จนบางคนอาจหลงลืมไปว่า ภาพยนตร์มีส่วนที่สำคัญที่สุดอยู่นั่นคือบท เทคนิคต่างๆเป็นเพียงการเสริมให้น่าสนใจและน่าติดตามเฉยๆ เพราะเหตุนี้ทำไม The Hurt Locker ถึงเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่รายได้ต่ำสุดของรางวัลออสการ์ถึงเอาชนะหนังอลังการพันล้านอย่าง Avatar หรือจะ 12 Years a Slave ที่เล่าเรื่องโดยขาดเทคนิคประกอบใดๆยังเอาชนะหนังโคตรสนุกและน่าทึ่งอย่าง Gravity ได้
ผมอยากจะบอกว่า ภาพยนตร์ทุกเรื่องมีคุณภาพในตัวของมัน เรามองมุมหนึ่งอาจยังมองไม่เห็นสิ่งที่คนทำจะสื่อออกมา แต่ถ้าเรามองหลายๆมุม จากหลายๆคน เราจะสัมผัสคุณค่าของภาพยนตร์นั้นได้