Birdman - การได้เป็นตัวเอง มันคืออิสระที่ล่องลอยไปไหนก็ได้ตามที่ใจต้องการ (Spoil)

สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก่อนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ คือกลัวดูไม่รู้เรื่อง เพราะจากคำโปรยจากนักวิจารณ์เมืองนอก ดูแล้วน่าจะดูยากพอสมควร แต่พอได้ไปดูจริงๆแล้ว กลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง หนังดูสนุก เข้าใจง่าย (หมายถึงเนื้อเรื่องและเหตุการณ์) และหนังทำได้น่าติดตามมากๆ

ผมเคยชมผลงานของ Gonzalez Inarritu มาแล้ว 3 เรื่อง คือ 21 grams Babel และ Biutiful ซึ่งสิ่งหนึ่งที่หนังทั้ง 3 เรื่องมีร่วมกันคือ ความหดหู่ ความเศร้า ความหม่นหมอง การตั้งคำถามกับชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง สำหรับผม Inarritu เป็นหนึ่งในผู้กำกับหนังหม่นที่เก่งมากที่สุดคนหนึ่งในโลกเลย (Biutiful ทำเอาผมหดหู่ไปหลายวันเลย)

Birdman ยังไม่ทิ้งเลยเซ็นสำคัญของ Inarritu แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า Birdman ทำได้ดีกว่าผลงานเรื่องก่อนๆของเค้า คือ หนังเดินเรื่องสนุก น่าติดตามมากๆ ไม่มีจังหวะที่น่าเบื่อเลยสำหรับผม ในขณะเดียวกัน หนังก็ยังเดินเรื่องเพื่อสื่อสารอยู่ตลอดเวลา
หนังดำเนินเรื่องแฝงความเหนือจริงอยู่นิดๆ (แต่ไม่ได้เข้าใจยากเท่าไหร่นัก) ซึ่งผมคิดว่าการลำดับภาพเล่าเรื่องทำได้ดีมาก การเล่าเรื่องแบบนี้ หากลำดับภาพไม่ดี จะกลายเป็นดูแล้วงง ไม่เข้าใจได้ แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นใน Birdman

การใช้การถ่ายแบบ long take ก็คงต้องเป็นสิ่งที่พูดถึง มันน่าชมเชยมากๆ ไม่มีอะไรจะบรรยายมากในประเด็นนี้ เพราะทำได้เนียนดีเหลือเกิน ต้องปรบมือให้สถานเดียว

การแสดงถือเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ตอนแรกผมสนใจอยากดูการแสดงของ Michael Keaton มาก เพราะเห็นว่าได้รางวัลมาหลายสถาบันและเป็นตัวเต็งรางวัล Best Actor ในเวที Oscar แต่พอได้ชม ผมกลับประทับใจการแสดงของ Edward Norton มาก Mike เป็นตัวละครที่น่าสนใจมากสำหรับผม เค้าบอกว่า ในชีวิตจริงเค้าเสแสร้งแทบทุกอย่าง แต่พอถึงการแสดง เค้ากลับกลายเป็นตัวเค้าจริงๆ ฟังดูย้อนแย้งมากๆสำหรับผม แต่มันน่าคิดมากว่าอะไรทำให้ตัวละครนี้เป็นแบบนี้ มันมีคนแบบนี้อยู่จริงๆในโลกใช่ไหม หรือจริงๆเราทุกคนต่างเสแสร้งในการดำเนินชีวิตทุกคนกันแน่ และทุกฉากที่ Mike คุยกับ Sam บนระเบียงมันสุดยอดมาก ทั้ง 2 สื่อสารรับและส่งกันได้น่าประทับใจสุดๆ มันไม่เหมือนการแสดงเลย ซึ่งผมรู้สึกว่าช่วงเวลานี้แหละที่ Mike ไม่ได้เสแสร้งเป็นคนอื่น มันคือตัวเค้าจริงๆ สายตาของเค้ามันดูซื่อตรงจริงใจมาก

Riggan Thomson อดีตนักแสดงผู้สวมบทบาท Birdman ผู้โด่งดังในอดีต ปัจจุบันเลิกลากับภรรยาและต้องดูแลลูกสาวที่โตเป็นสาวแล้ว 1 คน ในวันนี้เค้ากำลังจะทำสิ่งอื่นในชีวิตที่ไม่ใช่ Birdman เค้ากำลังจะกำกับและร่วมแสดงในละครเวทีของตัวเอง ในขณะที่เค้ากำลังจะทำสิ่งอื่นเพื่อให้คนอื่นๆยอมรับในตัวเค้า แต่กลับมีอีกคนในตัวเค้าที่คอยดึงฉุดเค้าไว้ตลอดเวลา ผมไม่แน่ใจนักว่าคนคนนี้คือใคร แต่ผมรับรู้ได้ว่ามันมีอยู่ 2 คน คือ "คุณอดีต" และ "คุณสังคม"

"คุณอดีต" คอยย้ำในสิ่งที่เราประสบความสำเร็จในอดีต คอยบอกให้เรากลับไปทำในสิ่งที่เราทำได้ดี มันรั้งเราทุกอย่าง ไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้า ซึ่งคนนี้ก็อยู่ในตัวผมเช่นกัน ผมรู้ว่าอดีตมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่อดีตมันก็ไม่เคยจากเราไปซักที ยิ่งอดีตที่สวยงามนี่แหละตัวดี มันจะคอยดึงให้เราอยู่กับมัน แม้เราจะอยากเดินจากมันไปเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยจากมันไปได้ไกลเลย

"คุณสังคม" เป็นอีกคนหนึ่งที่คอยกำหนดให้เราทำตามเค้า เราทุกคนต่างอยากเป็นที่รักของคนอื่น ซึ่งสุดท้ายเราก็ไม่รู้เพราะอะไร เรามักให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าตัวเอง ไม่มีใครบอกได้ว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบ ให้คุณค่ากับมัน แท้จริงแล้วมันมีคุณค่าแบบนั้นจริงหรือไม่ มันเหมือนสิ่งเสมือนที่ถูกกำหนดโดยคนส่วนใหญ่ ซึ่งมันอาจจะไม่มีคุณค่าอะไรเลยก็ได้ มันคอยดึงเรา ไม่ให้เราทำในสิ่งที่เราต้องการจริงๆ

การจะเป็นที่รักของคนอื่นได้นั้น เราควรทำในสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นเท่านั้นเหรอ สุดท้าย Riggan ก็เลือกทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ใช่ทำตามสิ่งที่คนอื่นคาดหวังว่าจะเห็นและสุดท้ายมันก็กลายเป็นสิ่งที่คนอื่นชื่นชม การแสดงละครเวทีฉากสุดท้ายของเค้ามันสวยงามมาก เค้าปลดปล่อยทุกอย่างออกไปหมด สุดท้ายคนอื่นก็ยอมรับในตัวเค้า แต่ผมรู้สึกว่านั้น ยังไม่ใช่ความสุขที่สุดของเค้า

นกบินเป็นฝูงนอกหน้าต่างโรงพยาบาลที่ Riggan มองเห็น มันรู้สึกได้ถึงการปลดปล่อยบางอย่าง รู้สึกถึงอิสระ รู้สึกถึงการได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ รอยยิ้มของ Riggan ในฉากนี้ มันสื่อสารถึงความสุขที่แท้จริง ตอนนี้สิ่งที่ยังคงอยู่คือตัวของเค้าเอง เค้าได้ไล่อีกคนในตัวเค้าออกไปแล้ว สุดท้ายความสุขจริงๆ คือ "การได้เป็นตัวเอง มันคืออิสระที่ล่องลอยไปไหนก็ได้ตามที่ใจต้องการ"

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่