เรื่องของเรื่องคือผมเพิ่งได้ถกกับเพื่อนชาวฝรั่งมังค่าคนหนึ่งของผมที่เพิ่งมีโอกาศได้ดูหนังเรื่องนี้ไปในโรงเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมาหมาดๆ เลยได้ข้อสรุปที่น่าสนใจเกี่ยวกับตอนจบของหนังเรื่องนี้มาสองข้อใหญ่ๆ คือ...
1. ในตอนจบ Riggan (Michael Keaton) ฆ่าตัวตายแน่นอน สาเหตุของการฆ่าตัวตายก็เป็นเพราะว่า Riggan รู้ดีว่าตอนนี้เขาได้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง(การได้เป็นนักแสดงบรอดเวย์ที่ยิ่งใหญ่)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่คือจุดสูงสุดในชีวิตเขา และถ้าหากว่าเขา“แขวนนวม”เสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาจะเป็นตำนาน และจะไม่มีใครสามารถมาดูถูกเขาได้อีก / การที่ Jake (Zach Galifianakis) นำข้อเสนอมาบอกกับ Riggan ว่าละครของเขากำลังจะได้ไปเปิดแสดงทั่วโลกก็น่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Riggan ตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะในสายตาของ Riggan ข้อเสนอของ Jake มันก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปกับการที่เขาต้องกลับไปรับบทเป็น Birdman อีกครั้ง คือมันเป็นอะไรที่“ไร้ศักดิ์ศรี”ของความเป็นนักแสดงพอๆกัน(การรับบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในหนังบล็อกบัสเตอร์โง่ๆ = การเที่ยวเอาปืนยิงจมูกตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้คนในโรงละคร) / การที่ Riggan เห็น Birdman นั่งขี้อยู่ในห้องส้วม + การที่คนดูเห็นภาพฝูงนกรุมทึ้งซากแมงกะพรุนบนชายหาดแบบแว่บๆก่อนถึงฉากจบของหนังก็คือการที่หนังพยายามสื่อให้คนดูได้เห็น“ชัยชนะ”ของ Riggan อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น(การที่ Riggan สามารถก้าวพ้นการเป็น“ดาราซูเปอร์ฮีโร่”ไปเป็น“ศิลปิน” / เรื่องที่ Riggan เล่าให้เมียเก่าของฟังเกี่ยวกับการที่เขาเกือบฆ่าตัวตายในชายหาดที่เต็มไปด้วยแมงกระพรุน) การที่ดนตรีกลอง(ซึ่งถือได้ว่าเป็น“ซาวด์แทร็ค”ในหัวของ Riggan) เริ่มบรรเลงขึ้นก่อนที่ Riggan จะกระโดดออกทางหน้าต่างก็น่าจะถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง symbolism ที่หนังใส่เข้ามา
2. ฉากสุดท้ายของหนังที่คนดูเห็นภาพของ Sam (Emma Stone) มองลงไปข้างล่างหน้าต่างด้วยสีหน้าหวาดผวา เสร็จแล้วก็แหงนหน้าขึ้นไปข้างบนด้วยรอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งที่ทั้ง“เกิดขึ้นจริง”และ“ไม่ได้เกิดขึ้นจริง”ในคราเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือการที่ Sam มองลงไปข้างล่างหน้าต่างแล้วเห็นศพของพ่อเธอผู้เพิ่งปลิดชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดตึกตาย แต่สิ่งที่(อาจจะ)ไม่ได้เกิดขึ้นจริงคือการที่ Sam แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วเห็นวิญญาณของพ่อเธอโบยบินไปกับฝูงนก
ถ้างั้นทำไมคนดูถึงได้เห็นภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของ Sam ในฉากสุดท้ายของหนังทั้งๆที่นั่น(อาจจะ)ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง? บางทีนั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าภาพรอยยิ้มของ Sam นั้นคือภาพใน“ห้วงคำนึงสุดท้าย”ของ Riggan ก่อนที่เขาจะตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะตัว Riggan เองก็ต้องการให้ Sam ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวจดจำพ่อของตัวเองในฐานะนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ และ Birdman ก็เป็นหนังที่มีการบอกเล่าเรื่องที่ผสมผสาน“ความเป็นจริง”และ“ภาพในหัวตัวละคร”ให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืนมาตลอดทั้งเรื่องจนบางครั้งคนดูเองก็เดาไม่ถูกว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นอยู่นั้นคือความจริงหรือเป็นเพียงแค่ภาพฝันในหัวของตัวละคร? (ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือฉากที่ Riggan “มโน”เห็นฉากในหนัง Birdman กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของตัวเอง ซึ่งเป็นฉากที่ผสมผสาน“โลกแห่งความเป็นจริง”และ“โลกในหัวของตัวละคร”ได้ชัดเจนที่สุดฉากหนึ่ง)
ฉะนั้นการที่ฉากจบของหนังจะผสานความเป็นจริง (Sam เห็นศพของ Riggan) ให้เข้ากับความฝัน (Sam เห็น Riggan โบยบินไปกับฝูงนก)จึงไม่ได้เรื่องน่าแปลก
...พยายามเขียนเต็มที่ไม่ให้คนอ่านอ่านแล้วงง แต่ถ้ายังงงยังไงก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ จขกท.พยายามเต็มที่แล้ว
แต่สำหรับคนที่อ่านแล้วเข้าใจ เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วยยังไงก็เข้ามาแสดงความเห็นกันได้นะครับ เพราะยังไงนี่ก็เป็นแค่การตีความของคนสองคน อาจมีถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา
ป.ล. ขอฝากเพจคุยเรื่องหนัง/เพลง/เกม/การ์ตูน/ทีวีซีรี่ส์แบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมกันนะครับ
>>>
https://www.facebook.com/appleoneoone
[สปอยล์ขั้นรุนแรงสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู] วิเคราะห์ฉากจบของ Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance)
1. ในตอนจบ Riggan (Michael Keaton) ฆ่าตัวตายแน่นอน สาเหตุของการฆ่าตัวตายก็เป็นเพราะว่า Riggan รู้ดีว่าตอนนี้เขาได้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง(การได้เป็นนักแสดงบรอดเวย์ที่ยิ่งใหญ่)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่คือจุดสูงสุดในชีวิตเขา และถ้าหากว่าเขา“แขวนนวม”เสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาจะเป็นตำนาน และจะไม่มีใครสามารถมาดูถูกเขาได้อีก / การที่ Jake (Zach Galifianakis) นำข้อเสนอมาบอกกับ Riggan ว่าละครของเขากำลังจะได้ไปเปิดแสดงทั่วโลกก็น่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Riggan ตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะในสายตาของ Riggan ข้อเสนอของ Jake มันก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปกับการที่เขาต้องกลับไปรับบทเป็น Birdman อีกครั้ง คือมันเป็นอะไรที่“ไร้ศักดิ์ศรี”ของความเป็นนักแสดงพอๆกัน(การรับบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในหนังบล็อกบัสเตอร์โง่ๆ = การเที่ยวเอาปืนยิงจมูกตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้คนในโรงละคร) / การที่ Riggan เห็น Birdman นั่งขี้อยู่ในห้องส้วม + การที่คนดูเห็นภาพฝูงนกรุมทึ้งซากแมงกะพรุนบนชายหาดแบบแว่บๆก่อนถึงฉากจบของหนังก็คือการที่หนังพยายามสื่อให้คนดูได้เห็น“ชัยชนะ”ของ Riggan อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น(การที่ Riggan สามารถก้าวพ้นการเป็น“ดาราซูเปอร์ฮีโร่”ไปเป็น“ศิลปิน” / เรื่องที่ Riggan เล่าให้เมียเก่าของฟังเกี่ยวกับการที่เขาเกือบฆ่าตัวตายในชายหาดที่เต็มไปด้วยแมงกระพรุน) การที่ดนตรีกลอง(ซึ่งถือได้ว่าเป็น“ซาวด์แทร็ค”ในหัวของ Riggan) เริ่มบรรเลงขึ้นก่อนที่ Riggan จะกระโดดออกทางหน้าต่างก็น่าจะถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง symbolism ที่หนังใส่เข้ามา
2. ฉากสุดท้ายของหนังที่คนดูเห็นภาพของ Sam (Emma Stone) มองลงไปข้างล่างหน้าต่างด้วยสีหน้าหวาดผวา เสร็จแล้วก็แหงนหน้าขึ้นไปข้างบนด้วยรอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งที่ทั้ง“เกิดขึ้นจริง”และ“ไม่ได้เกิดขึ้นจริง”ในคราเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือการที่ Sam มองลงไปข้างล่างหน้าต่างแล้วเห็นศพของพ่อเธอผู้เพิ่งปลิดชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดตึกตาย แต่สิ่งที่(อาจจะ)ไม่ได้เกิดขึ้นจริงคือการที่ Sam แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วเห็นวิญญาณของพ่อเธอโบยบินไปกับฝูงนก
ถ้างั้นทำไมคนดูถึงได้เห็นภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของ Sam ในฉากสุดท้ายของหนังทั้งๆที่นั่น(อาจจะ)ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง? บางทีนั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าภาพรอยยิ้มของ Sam นั้นคือภาพใน“ห้วงคำนึงสุดท้าย”ของ Riggan ก่อนที่เขาจะตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะตัว Riggan เองก็ต้องการให้ Sam ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวจดจำพ่อของตัวเองในฐานะนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ และ Birdman ก็เป็นหนังที่มีการบอกเล่าเรื่องที่ผสมผสาน“ความเป็นจริง”และ“ภาพในหัวตัวละคร”ให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืนมาตลอดทั้งเรื่องจนบางครั้งคนดูเองก็เดาไม่ถูกว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นอยู่นั้นคือความจริงหรือเป็นเพียงแค่ภาพฝันในหัวของตัวละคร? (ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือฉากที่ Riggan “มโน”เห็นฉากในหนัง Birdman กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของตัวเอง ซึ่งเป็นฉากที่ผสมผสาน“โลกแห่งความเป็นจริง”และ“โลกในหัวของตัวละคร”ได้ชัดเจนที่สุดฉากหนึ่ง)
ฉะนั้นการที่ฉากจบของหนังจะผสานความเป็นจริง (Sam เห็นศพของ Riggan) ให้เข้ากับความฝัน (Sam เห็น Riggan โบยบินไปกับฝูงนก)จึงไม่ได้เรื่องน่าแปลก
...พยายามเขียนเต็มที่ไม่ให้คนอ่านอ่านแล้วงง แต่ถ้ายังงงยังไงก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ จขกท.พยายามเต็มที่แล้ว
แต่สำหรับคนที่อ่านแล้วเข้าใจ เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วยยังไงก็เข้ามาแสดงความเห็นกันได้นะครับ เพราะยังไงนี่ก็เป็นแค่การตีความของคนสองคน อาจมีถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา
ป.ล. ขอฝากเพจคุยเรื่องหนัง/เพลง/เกม/การ์ตูน/ทีวีซีรี่ส์แบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมกันนะครับ >>> https://www.facebook.com/appleoneoone