กราบนมัสการพระคุณเจ้า
-------
สามารถติดตามธรรมะเทศนาได้ที่
https://www.facebook.com/PhraAjarnSuchart?fref=nf
----
“เหตุผลที่บวช”
โยม : ขอให้พระอาจารย์เล่าเหตุผลที่บวช
พระอาจารย์ : คือตอนต้นอ่านหนังสือธรรมะแล้วก็เลยได้รู้จักวิธีนั่งสมาธิก็นั่ง ก็ไม่คิดว่าจะบวชอะไรนะ ก็นั่งเพื่อหาความสุข นั่งแล้วก็มีความสุขก็อยากจะนั่งมากขึ้น อยากจะนั่งมากขึ้นก็เลยต้องลาออกจากงาน ก็เลยลองนั่งสมาธิ ไปอยู่ปีหนึ่งไม่ทำงาน ปฏิบัติอยู่ปีหนึ่ง ตัดทางโลกไปทุกอย่าง อยู่เหมือนพระอยู่ปีหนึ่ง อยู่กระทั่งเงินหมด
เงินหมดก็ต้องถามตัวเองว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อ เงินหมดแล้ว ถ้าจะอยู่แบบนี้ต่อไปมันต้องออกไปทำงาน ต้องไปหาเงินมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอาหารบ้านไม่ต้องเสียค่าเช่า แต่ถ้าไปทำงานมันก็ไม่ได้ปฏิบัติแบบนี้ ถ้าปฏิบัติแบบนี้มันก็ต้องบวช มันก็เลยมีทางเลือก ๒ ทาง ถ้ายังอยากปฏิบัติอยู่มันก็ต้องบวชก็เท่านั้นเอง
บวชเพราะอยากปฏิบัติต่อ อยากจะปฏิบัติให้เต็มที่ทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่ตื่นจนหลับปฏิบัติอย่างเดียว เดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง อ่านหนังสือธรรมะบ้าง กวาดบ้านถูบ้านบ้าง ทำอะไรจิปาถะเจริญสติไป ก็มีความสุขดีไม่วุ่นวาย ก็มีทุกข์ด้วยไม่ใช่ไม่มี เวลาเผลอเวลากิเลสออกฤทธิ์มันก็เซ็งเหมือนกัน มันก็อะไรเหมือนกัน บางทีมันก็ออกไปข้างนอกบ้าง แต่มันไม่ได้ไปเที่ยว ไปเปลี่ยนบรรยากาศ ออกไปอยู่แถวชายทะเลบ้าง ตอนนั้นพักอยู่ที่นาเกลือที่ตลาดใหม่ อยู่ซอยข้างไปรษณีย์ อยู่บ้างก็อึดอัดอยากออกไปข้างนอก บางทีก็ไปแช่น้ำอาบน้ำทะเล ไปนั่งสมาธิกลางแดดอยู่ชายทะเล ทำไปอย่างนี้ แต่ไม่ไปหาทางตาหูจมูกลิ้นกาย เปลี่ยนที่บ้าง ครั้งหนึ่งก็เคยไปนอนที่เกาะล้านเลย ไปก็กะจะอด เอาส้มไปโลหนึ่งแล้วเอากล้วยไป อยากจะไปหาที่เงียบๆอยู่ ทำอย่างนี้มาทั้งปี ได้ปีหนึ่ง เงินที่เก็บจากทำงานก็หมด มันก็ต้องเลือกทางแล้วว่าจะต้องทำยังไงต่อไป มันก็ต้องบวชแล้ว ทีนี้จะบวชที่ไหนดี เพราะวัดแถวบ้านมันก็ไม่มีใครปฏิบัติ มีแต่งานสวดงานศพงานอะไรต่างๆ แต่เขาก็แนะนำว่าให้ไปวัดช่องลมอยู่ใกล้บ้าน เป็นวัดที่มีความเคร่งครัดในพระวินัย มีการศึกษาปริยัติธรรม แต่ไม่มีการปฏิบัติ เราก็เลยกราบท่านเจ้าอาวาส ไปเล่าว่าเราได้ปฏิบัติได้ศึกษามาอยู่ปีหนึ่งแล้ว อยากจะบวชเพื่อปฏิบัติ ไม่อยากที่จะต้องมาเรียนมาสวดมาทำพิธีอะไรต่างๆ โชคดีพอดีท่านเจ้าอาวาสท่านเพิ่งไปกราบพระทางสายหลวงปู่มั่นมาทางภาคอีสาน ไปกราบหลวงปู่ฝั้น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ท่านก็ไปเห็นวัดป่า ท่านก็มีศรัทธาท่านก็กลับมาทำวัดป่า
ท่านไปมีที่ชาวบ้านถวายให้เป็นสวน ท่านเลยไปปลูกกระต๊อบให้พระอยู่ ตัวท่านก็ไปอยู่ วันไหนที่ท่านไม่มีภารกิจที่วัดท่านก็จะไปปลีกวิเวก ท่านก็บอกว่า ถ้าอยากจะบวชปฏิบัติก็ต้องไปที่ทางภาคอีสาน ถ้าบวชกับท่านท่านบอกว่าต้องอยู่กับท่านอย่างน้อย ๕ พรรษาตามหลักพระวินัย ไปไหนไม่ได้ก็ต้องอยู่ที่วัดท่าน ที่วัดท่านก็บอกว่าไม่มีปฏิบัติ มีแต่ปริยัติมีแต่การเรียน เรียนแล้วก็มีกิจกรรมกิจนิมนต์ต่างๆ งานศพ งานสวดอะไรต่างๆ ถ้าอยากจะปฏิบัติก็ต้องไปทางภาคอีสานไปหาพระสายหลวงปู่มั่น
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จัก เพราะตอนที่เราปฏิบัติเราไม่ได้ใช้หนังสือของไทย เราได้หนังสือมาจากศรีลังกา เป็นหนังสือที่เขาคัดมาจากพระไตรปิกฎ สติปัฏฐาน๔ พระสูตรของพระพุทธเจ้า ตอนนั้นมีพระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ ท่านบอกว่า ถ้าอยากไปอยู่ทางภาคอีสานก็ไปบวชที่วัดบวรฯได้ แล้วสมเด็จญาณฯ ท่านจะอนุญาตให้ไปอยู่กับอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ก็เลยต้องไปวัดบวรฯ
ไปก็เลยไปขออนุญาตท่านก็เมตตา บวชให้ บวชเสร็จก็ ตอนที่อยู่วัดบวรฯก็เจอพระชาวต่างประเทศ เขาก็แนะนำให้ไปวัดป่าบ้านตาด วัดหลวงตามหาบัว บอกว่าวัดนี้ดีมากเคร่งมาก ปฏิบัติอย่างเดียว ก็เลยไป เขียนจดหมายไปขออนุญาต เขียนไปหาพระชาวต่างประเทศที่อยู่ที่นั่น ท่านก็ไปกราบขอหลวงตาให้ หลวงตาอนุญาตให้ขึ้นไปได้ แต่ให้ไปอยู่ชั่วคราว ท่านไม่รับถาวร ก็ไป ไปถึงท่านก็บอกอยู่ได้ชั่วคราว ก็อยู่ไปเรื่อยๆ ตอนต้นท่านก็ทำท่าว่าอยู่ไม่ได้นะ อยู่ชั่วคราวนะ ตอนหลังท่านก็บอกว่าอยากจะอยู่ก็อยู่ไปนะ ก็เลยอยู่ไป ๙ พรรษา อยู่ที่นั่นก็มีกฎ ๕ พรรษาแรกก็ไม่ให้ไปไหน นอกจากมีกิจเหตุจำเป็นพ่อแม่ตายหรืออะไรอย่างนี้ถึงจะไปได้ ถ้าอยากจะลาไปเที่ยวที่นั่นที่นี้ไปวิเวก ที่โน้นที่นี่ท่านไม่ให้ไป เพราะวัดท่านก็วิเวกดีอยู่แล้ว วัดท่านก็เป็นสถานที่ปฏิบัติดีอยู่แล้ว เราก็ต้องการสถานที่อย่างนั้นที่เราไปอยู่บ้านตาด พอเราได้สถานที่แล้วเราก็โอเค เรื่องอยากอื่นนี้เราปรับตัวได้ อาหารอะไรต่างๆ กฎระเบียบต่างๆ เรารับได้ ขอให้มันมีที่ที่ทำให้เราสบายใจเราก็โอเค มีที่ให้เราอยู่เงียบๆ
ที่บ้านตาดสมัยก่อนก็เป็นแบบนี้เงียบๆ อย่างนี้ แล้วก็ได้อยู่กับครูอาจารย์ที่มีประสบการณ์มีความรู้ก็ได้รับประโยชน์มาก ไม่ต้องคลำทาง อ่านหนังสือนี้มันก็ยังเหมือนคลำทางอยู่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีหนังสือเลย แต่อ่านหนังสือนี้ถ้าไม่เข้าใจก็อาจจะหลงทางได้ เหมือนคนดูแผนที่ไม่เป็น เอาทิศเหนือมาพลิกกลับเป็นทิศใต้อย่างนี้ เวลาดูแผนที่ตอนต้นมันก็ต้องดูลูกศรก่อนใช่ไหม ลูกศรเขาชี้ทิศเหนืออยู่ตรงไหน ไม่ใช่กลับหัวกลับหางดู
แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นี้ พอเราเดินผิดทางท่านก็บอก พอไปติดไหนท่านก็บอก ติดตรงนี้จะเป็นอย่างนี้ติดตรงนี้จะเป็นอย่างนี้นะ
พอหรือยังเหตุผลที่ทำให้บวช ไม่ได้เพราะอกหักหรอก ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยสูญเสียอะไร พ่อแม่ก็อยู่ ถ้าจะอกหักก็ไม่รู้จะอกหักตรงไหน จะเสียใจก็ไม่รู้จะเสียใจตรงไหน ถ้าจะถามว่าทุกข์หรือเปล่า ทุกข์ อะไร เพราะมันไม่สุข เพราะสุขที่มีอยู่มันไม่ถาวร มันสนุกเฮฮาปาร์ตี้เดี๋ยวมันก็หมดแล้ว หมดแล้วมันก็เศร้าสร้อยหงอยเหงาอีกแล้ว ต้องเฮฮากันใหม่ มันก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันถึงเบื่อไง เอ..มันไม่มีอะไรที่มันดีกว่านี้หรือ พอได้อ่านหนังสือธรรมก็พบว่ามีนี่หว่า
ฝึกนั่งสมาธิดู ถึงรู้ว่า อ๋อ นี่ของจริง มีแล้วเราสบายใจแล้วเราไม่ต้องพึ่งใคร เงินไม่มีก็มีได้ แต่เฮฮาปาร์ตี้นี้มันต้องมีเงินใช่ไหม พอได้ (สมาธิ)คราวนี้ก็ติดใจอยากจะได้มากๆ อยากจะได้ทั้งวันทั้งคืน มันก็ต้องปฏิบัติทั้งวันทั้งคืน
ชีวิตของเรามันไปเองนะ มันไม่มีใครสอน พ่อแม่ก็สอนเราไม่ได้ทางนี้ เพื่อนฝูงครูบาอาจารย์ที่เรียนในมหาวิทยาลัยใครเขาก็สอนเราทางนี้ไม่ได้ มันหาของมันเองมันไปของมันเอง พอได้หนังสือธรรมะเล่มนี้แรกนี้มันไปเลย ได้เล่มแรกมาติดใจเลยเขียนจดหมายไปขอเพิ่ม เล่มที่ต้องเสียเงินก็ซื้อ เล่มที่ฟรีไม่ต้องเสียก็เอามาอ่าน อ่านแล้วมันก็ได้ความรู้หลายมิติด้วยกัน
โยม : วันที่มาถามพระอาจารย์ครับ กลับไปก็คืนนั้นก็โทรไปหาแม่ พูดถึงเรื่องบวชปรากฏว่ามีปัญหา คือผมเหลือแม่และลูกคนเดียว พ่อก็ไม่มี เขากลัวว่าเวลาแก่ไปเขาจะไม่มีคนดูแล
พระอาจารย์ : หลวงตาท่านก็ดูแลแม่ท่านได้ เป็นพระก็ดูแลได้ ไปอยู่วัดสบายจะตาย
โยม : คราวนี้ผมจะออกอุบายว่าจะขอบวชพรรษาเดียวครับ เป็นการหลอกเขาไหมครับ
พระอาจารย์ : กุศโลบายไม่เป็นไรนี่ หลอกไปทำบุญไม่ใช่หลอกไปทำบาปเสียหายตรงไหน หลอกเมียไปเที่ยวนี้มันบาปนะ ยังหลอกได้ ใช่ไหม เวลาหลอกเมียไปเที่ยวนี้ไม่เป็นไร พอหลอกแม่ไปบวชนี้กลัวแล้ว กลัวบาป ขึ้นมาแล้ว อะไรหล่าทั้งๆที่ไม่ได้ทำบาปสักหน่อย บวชบาปตรงไหน ใช่ไหม
โยม : คิดอยู่ครับ คิดเมื่อไม่นาน
พระอาจารย์ : ก็หลวงตามหาบัวตอนท่านบวช ท่านคิดจะบวชไปตลอดที่ไหน บวชเพราะจำใจบวช พ่อขอร้องให้บวช พ่อแม่ขอร้องให้บวช เพราะมีลูกหลายคนไม่มีใครบวชให้สักคน ก็หลอกแม่ไปซิว่า บวชให้แม่ไม่ได้บวชให้ใครหรอก แม่จะได้ขึ้นสวรรค์ พูดไม่เป็นเอง
โยม : พูดหลายครั้ง แต่ว่าคือแม่ผมเขาจะชอบคิดถึงเวลาแก่
พระอาจารย์ : เวลาแก่ก็ดูได้นิ ไม่เห็นมีอะไรเลย
โยม : เขากลัวว่าถ้าเขาอายุเยอะแล้วเกิดป่วยเกิดอะไรอย่างนี้แล้วไม่มีคนดูแล เขาจะชอบคิดและกัลวลลักษณะนั้น
พระอาจารย์ : แล้วคนที่มีลูกเยอะและเวลาป่วยและลูกทิ้งทำไมไม่คิดบ้างละ บางคนมีลูกตั้งหลายคนแต่เวลาแก่ไม่มีใครดูแลสักคน มันอยู่ที่เราต่างหากว่าเราอยากจะบวชจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าบวชแล้วต่อให้ช้างมีฉุดก็ไม่อยู่ อย่างพระพุทธเจ้าเห็นไหม พอท่านตัดสินใจบวชแล้ว ไม่มีอะไรมาฉุดก็หยุดไม่อยู่ มันไม่ได้อยู่ที่ใครมันอยูที่เรานั่นแหละ ถ้าเราจะบวชซะอย่าง ใครจะมาหยุดเราได้ใช่ไหม บวชแล้วเราก็ดูแลแม่ได้ไม่ใช่ว่าดูแลแม่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็อนุญาตว่าอาหารที่บิณฑบาตมาก็แบ่งให้พ่อให้แม่ได้ ปกติอาหารบิณฑบาตที่ได้มานี้ต้องเอามาแบ่งกับพระก่อน ก่อนที่จะไปแบ่งให้ญาติโยมได้ แต่ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ยกเว้น บิณฑบาตกับมาแบ่งให้พ่อให้แม่ก่อนได้ เอาแม่ไปอยู่วัดได้ หลวงตามหาบัวท่านก็เอาแม่ไปอยู่วัด แล้วท่านตายไปจิตท่านไประดับไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้าคุณไม่บวชคุณก็ตกนรกด้วยกันทั้งคู่ ไม่ตกนรกก็ไปอบายอย่างนี้ ทำบาปทำกรรมกันอยู่
โอกาสที่จะไปสูงนี้มันมากไหม แต่เวลามาบวชแล้วโอกาสที่จะไปสูงนี้มันมากนะ บาปแทบจะไม่ได้ทำเลย ใช่ไหม ไม่มองทางนี้กัน มองแต่เรื่องร่างกายกลัวร่างกายมันจะลำบากลำบนไม่มีใครดูแล มีคนดูแลมันก็ลำบากมันก็ตายเหมือนกันแหละ มันก็เจ็บเหมือนกัน ไม่มีคนดูแลมันก็ตายเหมือนกัน เจ็บเหมือนกัน ขอทานข้างถนนมันก็ตาย พระเจ้าแผ่นดินในวังก็ตายเหมือนกัน มันต่างกันตรงไหน
ต่อให้มีอะไรมากมายก่ายกองถึงเวลามันจะตายอะไรหยุดมันได้ละ อยู่เรา เรามันยังไม่พร้อมที่จะไป ยังมีกิเลสอยู่.
ธรรมะบนเขา สนทนาธรรม วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
“เหตุผลที่บวช” โดยพระอาจารย์สุชาติ
-------
สามารถติดตามธรรมะเทศนาได้ที่
https://www.facebook.com/PhraAjarnSuchart?fref=nf
----
“เหตุผลที่บวช”
โยม : ขอให้พระอาจารย์เล่าเหตุผลที่บวช
พระอาจารย์ : คือตอนต้นอ่านหนังสือธรรมะแล้วก็เลยได้รู้จักวิธีนั่งสมาธิก็นั่ง ก็ไม่คิดว่าจะบวชอะไรนะ ก็นั่งเพื่อหาความสุข นั่งแล้วก็มีความสุขก็อยากจะนั่งมากขึ้น อยากจะนั่งมากขึ้นก็เลยต้องลาออกจากงาน ก็เลยลองนั่งสมาธิ ไปอยู่ปีหนึ่งไม่ทำงาน ปฏิบัติอยู่ปีหนึ่ง ตัดทางโลกไปทุกอย่าง อยู่เหมือนพระอยู่ปีหนึ่ง อยู่กระทั่งเงินหมด
เงินหมดก็ต้องถามตัวเองว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อ เงินหมดแล้ว ถ้าจะอยู่แบบนี้ต่อไปมันต้องออกไปทำงาน ต้องไปหาเงินมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอาหารบ้านไม่ต้องเสียค่าเช่า แต่ถ้าไปทำงานมันก็ไม่ได้ปฏิบัติแบบนี้ ถ้าปฏิบัติแบบนี้มันก็ต้องบวช มันก็เลยมีทางเลือก ๒ ทาง ถ้ายังอยากปฏิบัติอยู่มันก็ต้องบวชก็เท่านั้นเอง
บวชเพราะอยากปฏิบัติต่อ อยากจะปฏิบัติให้เต็มที่ทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่ตื่นจนหลับปฏิบัติอย่างเดียว เดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง อ่านหนังสือธรรมะบ้าง กวาดบ้านถูบ้านบ้าง ทำอะไรจิปาถะเจริญสติไป ก็มีความสุขดีไม่วุ่นวาย ก็มีทุกข์ด้วยไม่ใช่ไม่มี เวลาเผลอเวลากิเลสออกฤทธิ์มันก็เซ็งเหมือนกัน มันก็อะไรเหมือนกัน บางทีมันก็ออกไปข้างนอกบ้าง แต่มันไม่ได้ไปเที่ยว ไปเปลี่ยนบรรยากาศ ออกไปอยู่แถวชายทะเลบ้าง ตอนนั้นพักอยู่ที่นาเกลือที่ตลาดใหม่ อยู่ซอยข้างไปรษณีย์ อยู่บ้างก็อึดอัดอยากออกไปข้างนอก บางทีก็ไปแช่น้ำอาบน้ำทะเล ไปนั่งสมาธิกลางแดดอยู่ชายทะเล ทำไปอย่างนี้ แต่ไม่ไปหาทางตาหูจมูกลิ้นกาย เปลี่ยนที่บ้าง ครั้งหนึ่งก็เคยไปนอนที่เกาะล้านเลย ไปก็กะจะอด เอาส้มไปโลหนึ่งแล้วเอากล้วยไป อยากจะไปหาที่เงียบๆอยู่ ทำอย่างนี้มาทั้งปี ได้ปีหนึ่ง เงินที่เก็บจากทำงานก็หมด มันก็ต้องเลือกทางแล้วว่าจะต้องทำยังไงต่อไป มันก็ต้องบวชแล้ว ทีนี้จะบวชที่ไหนดี เพราะวัดแถวบ้านมันก็ไม่มีใครปฏิบัติ มีแต่งานสวดงานศพงานอะไรต่างๆ แต่เขาก็แนะนำว่าให้ไปวัดช่องลมอยู่ใกล้บ้าน เป็นวัดที่มีความเคร่งครัดในพระวินัย มีการศึกษาปริยัติธรรม แต่ไม่มีการปฏิบัติ เราก็เลยกราบท่านเจ้าอาวาส ไปเล่าว่าเราได้ปฏิบัติได้ศึกษามาอยู่ปีหนึ่งแล้ว อยากจะบวชเพื่อปฏิบัติ ไม่อยากที่จะต้องมาเรียนมาสวดมาทำพิธีอะไรต่างๆ โชคดีพอดีท่านเจ้าอาวาสท่านเพิ่งไปกราบพระทางสายหลวงปู่มั่นมาทางภาคอีสาน ไปกราบหลวงปู่ฝั้น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ท่านก็ไปเห็นวัดป่า ท่านก็มีศรัทธาท่านก็กลับมาทำวัดป่า
ท่านไปมีที่ชาวบ้านถวายให้เป็นสวน ท่านเลยไปปลูกกระต๊อบให้พระอยู่ ตัวท่านก็ไปอยู่ วันไหนที่ท่านไม่มีภารกิจที่วัดท่านก็จะไปปลีกวิเวก ท่านก็บอกว่า ถ้าอยากจะบวชปฏิบัติก็ต้องไปที่ทางภาคอีสาน ถ้าบวชกับท่านท่านบอกว่าต้องอยู่กับท่านอย่างน้อย ๕ พรรษาตามหลักพระวินัย ไปไหนไม่ได้ก็ต้องอยู่ที่วัดท่าน ที่วัดท่านก็บอกว่าไม่มีปฏิบัติ มีแต่ปริยัติมีแต่การเรียน เรียนแล้วก็มีกิจกรรมกิจนิมนต์ต่างๆ งานศพ งานสวดอะไรต่างๆ ถ้าอยากจะปฏิบัติก็ต้องไปทางภาคอีสานไปหาพระสายหลวงปู่มั่น
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จัก เพราะตอนที่เราปฏิบัติเราไม่ได้ใช้หนังสือของไทย เราได้หนังสือมาจากศรีลังกา เป็นหนังสือที่เขาคัดมาจากพระไตรปิกฎ สติปัฏฐาน๔ พระสูตรของพระพุทธเจ้า ตอนนั้นมีพระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ ท่านบอกว่า ถ้าอยากไปอยู่ทางภาคอีสานก็ไปบวชที่วัดบวรฯได้ แล้วสมเด็จญาณฯ ท่านจะอนุญาตให้ไปอยู่กับอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ก็เลยต้องไปวัดบวรฯ
ไปก็เลยไปขออนุญาตท่านก็เมตตา บวชให้ บวชเสร็จก็ ตอนที่อยู่วัดบวรฯก็เจอพระชาวต่างประเทศ เขาก็แนะนำให้ไปวัดป่าบ้านตาด วัดหลวงตามหาบัว บอกว่าวัดนี้ดีมากเคร่งมาก ปฏิบัติอย่างเดียว ก็เลยไป เขียนจดหมายไปขออนุญาต เขียนไปหาพระชาวต่างประเทศที่อยู่ที่นั่น ท่านก็ไปกราบขอหลวงตาให้ หลวงตาอนุญาตให้ขึ้นไปได้ แต่ให้ไปอยู่ชั่วคราว ท่านไม่รับถาวร ก็ไป ไปถึงท่านก็บอกอยู่ได้ชั่วคราว ก็อยู่ไปเรื่อยๆ ตอนต้นท่านก็ทำท่าว่าอยู่ไม่ได้นะ อยู่ชั่วคราวนะ ตอนหลังท่านก็บอกว่าอยากจะอยู่ก็อยู่ไปนะ ก็เลยอยู่ไป ๙ พรรษา อยู่ที่นั่นก็มีกฎ ๕ พรรษาแรกก็ไม่ให้ไปไหน นอกจากมีกิจเหตุจำเป็นพ่อแม่ตายหรืออะไรอย่างนี้ถึงจะไปได้ ถ้าอยากจะลาไปเที่ยวที่นั่นที่นี้ไปวิเวก ที่โน้นที่นี่ท่านไม่ให้ไป เพราะวัดท่านก็วิเวกดีอยู่แล้ว วัดท่านก็เป็นสถานที่ปฏิบัติดีอยู่แล้ว เราก็ต้องการสถานที่อย่างนั้นที่เราไปอยู่บ้านตาด พอเราได้สถานที่แล้วเราก็โอเค เรื่องอยากอื่นนี้เราปรับตัวได้ อาหารอะไรต่างๆ กฎระเบียบต่างๆ เรารับได้ ขอให้มันมีที่ที่ทำให้เราสบายใจเราก็โอเค มีที่ให้เราอยู่เงียบๆ
ที่บ้านตาดสมัยก่อนก็เป็นแบบนี้เงียบๆ อย่างนี้ แล้วก็ได้อยู่กับครูอาจารย์ที่มีประสบการณ์มีความรู้ก็ได้รับประโยชน์มาก ไม่ต้องคลำทาง อ่านหนังสือนี้มันก็ยังเหมือนคลำทางอยู่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีหนังสือเลย แต่อ่านหนังสือนี้ถ้าไม่เข้าใจก็อาจจะหลงทางได้ เหมือนคนดูแผนที่ไม่เป็น เอาทิศเหนือมาพลิกกลับเป็นทิศใต้อย่างนี้ เวลาดูแผนที่ตอนต้นมันก็ต้องดูลูกศรก่อนใช่ไหม ลูกศรเขาชี้ทิศเหนืออยู่ตรงไหน ไม่ใช่กลับหัวกลับหางดู
แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นี้ พอเราเดินผิดทางท่านก็บอก พอไปติดไหนท่านก็บอก ติดตรงนี้จะเป็นอย่างนี้ติดตรงนี้จะเป็นอย่างนี้นะ
พอหรือยังเหตุผลที่ทำให้บวช ไม่ได้เพราะอกหักหรอก ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยสูญเสียอะไร พ่อแม่ก็อยู่ ถ้าจะอกหักก็ไม่รู้จะอกหักตรงไหน จะเสียใจก็ไม่รู้จะเสียใจตรงไหน ถ้าจะถามว่าทุกข์หรือเปล่า ทุกข์ อะไร เพราะมันไม่สุข เพราะสุขที่มีอยู่มันไม่ถาวร มันสนุกเฮฮาปาร์ตี้เดี๋ยวมันก็หมดแล้ว หมดแล้วมันก็เศร้าสร้อยหงอยเหงาอีกแล้ว ต้องเฮฮากันใหม่ มันก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันถึงเบื่อไง เอ..มันไม่มีอะไรที่มันดีกว่านี้หรือ พอได้อ่านหนังสือธรรมก็พบว่ามีนี่หว่า
ฝึกนั่งสมาธิดู ถึงรู้ว่า อ๋อ นี่ของจริง มีแล้วเราสบายใจแล้วเราไม่ต้องพึ่งใคร เงินไม่มีก็มีได้ แต่เฮฮาปาร์ตี้นี้มันต้องมีเงินใช่ไหม พอได้ (สมาธิ)คราวนี้ก็ติดใจอยากจะได้มากๆ อยากจะได้ทั้งวันทั้งคืน มันก็ต้องปฏิบัติทั้งวันทั้งคืน
ชีวิตของเรามันไปเองนะ มันไม่มีใครสอน พ่อแม่ก็สอนเราไม่ได้ทางนี้ เพื่อนฝูงครูบาอาจารย์ที่เรียนในมหาวิทยาลัยใครเขาก็สอนเราทางนี้ไม่ได้ มันหาของมันเองมันไปของมันเอง พอได้หนังสือธรรมะเล่มนี้แรกนี้มันไปเลย ได้เล่มแรกมาติดใจเลยเขียนจดหมายไปขอเพิ่ม เล่มที่ต้องเสียเงินก็ซื้อ เล่มที่ฟรีไม่ต้องเสียก็เอามาอ่าน อ่านแล้วมันก็ได้ความรู้หลายมิติด้วยกัน
โยม : วันที่มาถามพระอาจารย์ครับ กลับไปก็คืนนั้นก็โทรไปหาแม่ พูดถึงเรื่องบวชปรากฏว่ามีปัญหา คือผมเหลือแม่และลูกคนเดียว พ่อก็ไม่มี เขากลัวว่าเวลาแก่ไปเขาจะไม่มีคนดูแล
พระอาจารย์ : หลวงตาท่านก็ดูแลแม่ท่านได้ เป็นพระก็ดูแลได้ ไปอยู่วัดสบายจะตาย
โยม : คราวนี้ผมจะออกอุบายว่าจะขอบวชพรรษาเดียวครับ เป็นการหลอกเขาไหมครับ
พระอาจารย์ : กุศโลบายไม่เป็นไรนี่ หลอกไปทำบุญไม่ใช่หลอกไปทำบาปเสียหายตรงไหน หลอกเมียไปเที่ยวนี้มันบาปนะ ยังหลอกได้ ใช่ไหม เวลาหลอกเมียไปเที่ยวนี้ไม่เป็นไร พอหลอกแม่ไปบวชนี้กลัวแล้ว กลัวบาป ขึ้นมาแล้ว อะไรหล่าทั้งๆที่ไม่ได้ทำบาปสักหน่อย บวชบาปตรงไหน ใช่ไหม
โยม : คิดอยู่ครับ คิดเมื่อไม่นาน
พระอาจารย์ : ก็หลวงตามหาบัวตอนท่านบวช ท่านคิดจะบวชไปตลอดที่ไหน บวชเพราะจำใจบวช พ่อขอร้องให้บวช พ่อแม่ขอร้องให้บวช เพราะมีลูกหลายคนไม่มีใครบวชให้สักคน ก็หลอกแม่ไปซิว่า บวชให้แม่ไม่ได้บวชให้ใครหรอก แม่จะได้ขึ้นสวรรค์ พูดไม่เป็นเอง
โยม : พูดหลายครั้ง แต่ว่าคือแม่ผมเขาจะชอบคิดถึงเวลาแก่
พระอาจารย์ : เวลาแก่ก็ดูได้นิ ไม่เห็นมีอะไรเลย
โยม : เขากลัวว่าถ้าเขาอายุเยอะแล้วเกิดป่วยเกิดอะไรอย่างนี้แล้วไม่มีคนดูแล เขาจะชอบคิดและกัลวลลักษณะนั้น
พระอาจารย์ : แล้วคนที่มีลูกเยอะและเวลาป่วยและลูกทิ้งทำไมไม่คิดบ้างละ บางคนมีลูกตั้งหลายคนแต่เวลาแก่ไม่มีใครดูแลสักคน มันอยู่ที่เราต่างหากว่าเราอยากจะบวชจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าบวชแล้วต่อให้ช้างมีฉุดก็ไม่อยู่ อย่างพระพุทธเจ้าเห็นไหม พอท่านตัดสินใจบวชแล้ว ไม่มีอะไรมาฉุดก็หยุดไม่อยู่ มันไม่ได้อยู่ที่ใครมันอยูที่เรานั่นแหละ ถ้าเราจะบวชซะอย่าง ใครจะมาหยุดเราได้ใช่ไหม บวชแล้วเราก็ดูแลแม่ได้ไม่ใช่ว่าดูแลแม่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็อนุญาตว่าอาหารที่บิณฑบาตมาก็แบ่งให้พ่อให้แม่ได้ ปกติอาหารบิณฑบาตที่ได้มานี้ต้องเอามาแบ่งกับพระก่อน ก่อนที่จะไปแบ่งให้ญาติโยมได้ แต่ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ยกเว้น บิณฑบาตกับมาแบ่งให้พ่อให้แม่ก่อนได้ เอาแม่ไปอยู่วัดได้ หลวงตามหาบัวท่านก็เอาแม่ไปอยู่วัด แล้วท่านตายไปจิตท่านไประดับไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้าคุณไม่บวชคุณก็ตกนรกด้วยกันทั้งคู่ ไม่ตกนรกก็ไปอบายอย่างนี้ ทำบาปทำกรรมกันอยู่
โอกาสที่จะไปสูงนี้มันมากไหม แต่เวลามาบวชแล้วโอกาสที่จะไปสูงนี้มันมากนะ บาปแทบจะไม่ได้ทำเลย ใช่ไหม ไม่มองทางนี้กัน มองแต่เรื่องร่างกายกลัวร่างกายมันจะลำบากลำบนไม่มีใครดูแล มีคนดูแลมันก็ลำบากมันก็ตายเหมือนกันแหละ มันก็เจ็บเหมือนกัน ไม่มีคนดูแลมันก็ตายเหมือนกัน เจ็บเหมือนกัน ขอทานข้างถนนมันก็ตาย พระเจ้าแผ่นดินในวังก็ตายเหมือนกัน มันต่างกันตรงไหน
ต่อให้มีอะไรมากมายก่ายกองถึงเวลามันจะตายอะไรหยุดมันได้ละ อยู่เรา เรามันยังไม่พร้อมที่จะไป ยังมีกิเลสอยู่.
ธรรมะบนเขา สนทนาธรรม วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต