ผมรู้สึกตัวว่าเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่สมัยม.3 อาการคือ จาม จาม และจาม คัดจมูก ผมต้องทานยาซู..... เป็นประจำก่อนนอน เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ช่วงหลังมีน้องแนะนำให้ทาน ยาเซ...... ซึ่งดีขึ้นมาหน่อยตรงที่ไม่ง่วงนอนจากฤทธิ์ยามากเกินไป เมื่อสองปีที่ตอนนั้นผมอายุ 37 ผมเบื่อมากครับเวลานอนก็ไม่อยากนอนเพราะตื่นมารู้ตัวว่าต้องคัดจมูก แล้วก็เข้าวังวนเดิมคือ กินยา ง่วงนอน ทำงานไม่ได้เต็มที่ จนผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ผมตัดสินใจซื้อรองเท้าวิ่ง แล้วเริ่มวิ่งจ็อกกิ้ง บริเวณบ้าน รอบละประมาณ 500 ม. สลับกับเล่นเครื่องเล่นของ อบต. เชื่อไหมครับแทบขาดใจ ปวดขา ปวดแขน ไปหมด เป็นคนละเลยการออกกำลังกาย เรียกได้ว่าไม่ได้ออกกำลังกายเลย ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ก็ลองฝืนอยู่แบบนั้น ผ่านไปปีนึง อาการเริ่มดีขึ้นครับ กลายเป็นอาทิตย์นึงทานยาครั้งถึงสองครั้งเอง ทุกอย่างเหมือนจะดีนะครับ แต่แล้วเกิดจุดหักเหอีกครั้ง
กลางปีที่แล้วผมไปลองกางเกงยีนส์ปรากฏว่าพยายามเขย่งใส่กางเกงทำให้เข่าขวารับน้ำหนักมากเกินไป ปวดจี๊ดขึ้นมาเลย นึกว่าไม่เป็นไร ก็ทายาคิดว่าสองสามวันก็น่าจะหาย ผมหยุดวิ่งสักพักเผื่ออะไรจะดึขึ้น จนกระทั้งเดือนสองเดือนก็ไม่ดีขึ้น ตัดสินใจหาหมอ โดยใช้สิทธิประกันสังคมที่จ่ายเต็มทุกเดือน(750x12=9000 ไม่น้อยนะครับ) ที่ผ่านมาใช้บริการปีละครั้ง ไปหาครั้งแรกไม่เท่าไหร่ครับ ครั้งที่สองนี่สิเจ็บใจมาก หมอเจอหน้าผมพูดว่ามาอีกแล้ว ละยาบ้างก็ได้นะ ผมก็บอกก็มันยังไม่หายจะให้ผมทำยังไง หมอคงเริ่มรู้แล้วว่าผมเริ่มไม่พอใจ เริ่มพูดดีขึ้น ให้ยากลับมา หลังจากนั้นผมตัดสินใจไม่หาหมอแล้วรักษาเองก็ได้ ก็เริ่มข้อมูลจาก Google ผมศึกษาแล้วพบว่าวิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือ กายภาพบำบัด โดยหลักการแล้วคือทำให้บริเวณที่บาดเจ็บนั้นแข็งแรงขึ้น ผมก็เริ่มทำมันก็ดีบ้างเจ็บบ้าง สลับกันไป ผมจึงตัดสินใจกลับมาวิ่งอีกครั้ง โดยทั้งที่มันยังไม่หายนี่แหล่ะ แต่ไม่หักโหมมากเกินไป ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป วอร์มกล้ามเนื้อ เดิน หนึ่งรอบ วิ่งหนึ่งรอบ สลับกันไป ซิทอัพไม่เกี่ยวกับเข่าอยู่แล้วเต็มที่ไปเลย เครื่องเล่น อบต.นี่คุณภาพพอได้นะครับเป็นการแอโรบิคอีกวิธีนึง ยกดับเบลเพื่อสร้างกล้ามเนื้อแขนและหัวไหล่ ผ่านมาสักเดือนแล้วครับ ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน หัวเข่าดีขึ้นจริงๆครับ ถึงแม้จะยังไม่หายก็เถอะ อีกสิ่งที่ตามมาคือผมไม่ต้องกินยาแก้แพ้มาเดือนนึงแล้ว จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวทำให้ผมเชื่อในคำขวัญที่ผมได้ยินตั้งแต่เด็กๆได้ ว่ากีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ มาแชร์ประสบการณ์การออกกำลังกาย และวิธีการดูแลสุขภาพกันครับ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
กลางปีที่แล้วผมไปลองกางเกงยีนส์ปรากฏว่าพยายามเขย่งใส่กางเกงทำให้เข่าขวารับน้ำหนักมากเกินไป ปวดจี๊ดขึ้นมาเลย นึกว่าไม่เป็นไร ก็ทายาคิดว่าสองสามวันก็น่าจะหาย ผมหยุดวิ่งสักพักเผื่ออะไรจะดึขึ้น จนกระทั้งเดือนสองเดือนก็ไม่ดีขึ้น ตัดสินใจหาหมอ โดยใช้สิทธิประกันสังคมที่จ่ายเต็มทุกเดือน(750x12=9000 ไม่น้อยนะครับ) ที่ผ่านมาใช้บริการปีละครั้ง ไปหาครั้งแรกไม่เท่าไหร่ครับ ครั้งที่สองนี่สิเจ็บใจมาก หมอเจอหน้าผมพูดว่ามาอีกแล้ว ละยาบ้างก็ได้นะ ผมก็บอกก็มันยังไม่หายจะให้ผมทำยังไง หมอคงเริ่มรู้แล้วว่าผมเริ่มไม่พอใจ เริ่มพูดดีขึ้น ให้ยากลับมา หลังจากนั้นผมตัดสินใจไม่หาหมอแล้วรักษาเองก็ได้ ก็เริ่มข้อมูลจาก Google ผมศึกษาแล้วพบว่าวิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือ กายภาพบำบัด โดยหลักการแล้วคือทำให้บริเวณที่บาดเจ็บนั้นแข็งแรงขึ้น ผมก็เริ่มทำมันก็ดีบ้างเจ็บบ้าง สลับกันไป ผมจึงตัดสินใจกลับมาวิ่งอีกครั้ง โดยทั้งที่มันยังไม่หายนี่แหล่ะ แต่ไม่หักโหมมากเกินไป ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป วอร์มกล้ามเนื้อ เดิน หนึ่งรอบ วิ่งหนึ่งรอบ สลับกันไป ซิทอัพไม่เกี่ยวกับเข่าอยู่แล้วเต็มที่ไปเลย เครื่องเล่น อบต.นี่คุณภาพพอได้นะครับเป็นการแอโรบิคอีกวิธีนึง ยกดับเบลเพื่อสร้างกล้ามเนื้อแขนและหัวไหล่ ผ่านมาสักเดือนแล้วครับ ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน หัวเข่าดีขึ้นจริงๆครับ ถึงแม้จะยังไม่หายก็เถอะ อีกสิ่งที่ตามมาคือผมไม่ต้องกินยาแก้แพ้มาเดือนนึงแล้ว จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวทำให้ผมเชื่อในคำขวัญที่ผมได้ยินตั้งแต่เด็กๆได้ ว่ากีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ มาแชร์ประสบการณ์การออกกำลังกาย และวิธีการดูแลสุขภาพกันครับ