14 กุมภา ( เรื่องใกล้ที่จำเป็นต้องห่างไกล )
โดย รอฟีกี มูฮำหมัด
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รัก เมื่อใกล้ถึงวันนี้ทีไร ผมจะเห็นเป็นประจำว่า มีมุสลิมจำนวนไม่น้อยเลย ที่ให้ความสนใจกับมัน คล้ายๆกับว่า มันคือวันสำคัญวันหนึ่งของพวกเรา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วันดังกล่าวนี้ ไม่มีส่วนใดๆเลยเกี่ยวข้องกับพวกเรา...
ก่อนที่พวกท่านจะคิดชื่นชมหรือดีใจไปกับวันดังกล่าว ผมขอนำเสนอ ประวัติบางส่วนของมัน เพื่อผู้ที่มีศรัทธาในอิสลามจริงๆจะได้รับรู้ว่ามันมีที่มาอย่างไร และจะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปตักเตือนซึ่งกันและกันได้อย่างถูกต้อง
ท่านพี่น้องที่รักครับ : วันวาเลนไทน์ (Valentine day) เป็นวันที่เกิดขึ้น จากการริเริ่มของชาวตะวันตก ซึ่งพวกเขาถือให้เป็นวันแห่งความรัก โดยความเป็นจริงแล้ว วันดังกล่าว ไม่มีต้นกำเนิดของเรื่องราวและความเป็นมาที่ชัดเจนนัก เท่าที่พอสรุปได้ ก็คือ
1.เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นมาจากพวกโรมันในยุคโบราณ เพื่อรำลึกถึงเทพเจ้าลูเปอร์คุส ซึ่งเป็นเทพแห่งการเจริญพันธุ์ ต่อมาเมื่อศาสนาคริสเติบโตขึ้นมา ก็มีการรับเอาเรื่องราวดังกล่าวเข้ามาในศาสนาและนำไปโยงกับเรื่องของนักบุญในศานาคริตส์ ก็คือ นักบุญ วาเลนตินัส ซึ่งมีวันฉลองใกล้ๆกัน(แต่เดิมจะมีการจัดกันในวันที่ 15 กุมพาพันธ์ ส่วนของนักบุญ ก็คือ วันที่ 14 กุมพาพันธ์)
นักบุญ วาเลนตินัส ก็คือ นักบวชในศานาคริสต์ เรียกสั้นๆว่า เซนต์ วาเลนไทน์ ว่ากันว่า นักบุญท่านนี้ เป็นผู้ที่พลีชีพเพื่อศาสนาคริสต์ ซึ่งถูกประหารในกรุงโรม เมื่อปี ค.ศ.269 หรือ 270 โดยในขณะนั้น กษัตริย์ที่ปกครองกรุงโรม ได้เรียกตัวท่านมาเพื่อให้ละทิ้งการเผยแพร่ศาสนา เพื่อป้องกันมิให้ศาสนาดั้งเดิมของคนในกรุงโรมสูญหาย เพราะแต่เดิมในกรุงโรมก็มีศาสนาดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว ก็คือ ศาสนาของชาวโรมันในยุคโบราณซึ่งนิยมบูชาในเทพเจ้า แต่กษัตริย์กลับถูกปฎิเสธจากนักบุญท่านนั้น แต่ด้วยความที่เป็นนักบุญ ท่านจึงแค่ถูกจับขังคุกไว้
ต่อมาเมื่ออยู่ในคุก ท่านได้พบรักกับหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุมห้องขัง และทำหน้าที่อุปถรรมถ์คู่รักทุกคู่ และทำการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ต่อไป จนกระทั่งเรื่องดังกล่าว รับรู้ถึงองค์กษัตริย์ ทำให้องค์กษัตริย์โกรธท่านมาก จึงสั่งให้ทหารไปนำตัวมา และสั่งให้โบยวาเลนตินัส ก่อนจะบัญชาการให้ทหารนำตัวของเขาไปตัดศีรษะในตอนรุ่งเช้าของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งในคืนสุดท้ายก่อนตาย เขาได้เขียนจดหมายอำลาคนรักของเขา โดยลงท้ายจดหมายนั้นว่า "จากวาเลนไทน์คนรักของเธอ"
เรื่องราวของ วาเลนตินัส เป็นที่ร่ำลือไปทั่ว เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่รับรู้โดยทั่วไป และโดยเฉพาะกับผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ดังนั้น ชาวคริสต์จึงถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็น "วันแห่งความรัก" เพื่อรำลึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของนักบุญผู้นี้
2.วันดังกล่าวยังเป็น "วันเสียสาว" เป็นวันที่หนุ่มๆจะขอความสาวของหญิงผู้เป็นที่รัก และมีการหลับนอนกัน โดยมิได้ผ่านการสมรส หรือ การแต่งงานอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ค้านกับจริยธรรมอันดีงามของอิสลาม และถูกสั่งห้ามจากอัลเลาะห์(ซบ.)โดยเด็ดขาด ดังโองการอัลกุรอานที่ว่า
ความว่า
"และสูเจ้าอย่าเข้าใกล้การซินา เพราะแท้จริงมันเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และเป็นหนทางอันชั่วช้ายิ่ง" และการกระทำดังกล่าว ยังเป็นที่มาของโรคร้าย และสังคมที่เลวทราม ดังที่เราสังเกตุเห็นได้จากสังคมของเราในยุคปัจจุบัน
นีคือ สรุปจากเรื่องราวและประวัติของ "วันวาเลนไทน์" ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆเลยกับมุสลิม จึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องออกห่าง เพราะเป็นส่วนหนึ่งจากการสนับสนุนให้มีการหลับนอนกันโดยมิได้มีการสมรสอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามในศาสนาอิสลาม อีกทั้งท่านนบี(ซล.)ทรงกล่าวว่าความว่า "ใครที่ทำตัวเหมือนกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใดเขาก็ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มชนนั้น"
ฉนั้น ท่านพี่น้องที่รักทั้งหลาย จงห่างไกลจากการมีส่วนร่วมในวันดังกล่าวเถิด เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาหมู่ชนที่หลงผิดเหล่านั้ัน ... วัลลอฮู่อะอ์ลัม.
แล้วพบกันในโอกาสต่อไปครับ
วัสสลามู่อ้าลัยกุม ว่าเราะห์ม่าตุ้ลลอฮี่ ว่าบ้าร่อกาตุฮ์
# Rofikee Muhammad #
https://www.facebook.com/groups/422133821263587/permalink/631521436991490/
14 กุมภา (เรื่องใกล้ที่จำเป็นต้องห่างไกล )
โดย รอฟีกี มูฮำหมัด
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รัก เมื่อใกล้ถึงวันนี้ทีไร ผมจะเห็นเป็นประจำว่า มีมุสลิมจำนวนไม่น้อยเลย ที่ให้ความสนใจกับมัน คล้ายๆกับว่า มันคือวันสำคัญวันหนึ่งของพวกเรา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วันดังกล่าวนี้ ไม่มีส่วนใดๆเลยเกี่ยวข้องกับพวกเรา...
ก่อนที่พวกท่านจะคิดชื่นชมหรือดีใจไปกับวันดังกล่าว ผมขอนำเสนอ ประวัติบางส่วนของมัน เพื่อผู้ที่มีศรัทธาในอิสลามจริงๆจะได้รับรู้ว่ามันมีที่มาอย่างไร และจะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปตักเตือนซึ่งกันและกันได้อย่างถูกต้อง
ท่านพี่น้องที่รักครับ : วันวาเลนไทน์ (Valentine day) เป็นวันที่เกิดขึ้น จากการริเริ่มของชาวตะวันตก ซึ่งพวกเขาถือให้เป็นวันแห่งความรัก โดยความเป็นจริงแล้ว วันดังกล่าว ไม่มีต้นกำเนิดของเรื่องราวและความเป็นมาที่ชัดเจนนัก เท่าที่พอสรุปได้ ก็คือ
1.เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นมาจากพวกโรมันในยุคโบราณ เพื่อรำลึกถึงเทพเจ้าลูเปอร์คุส ซึ่งเป็นเทพแห่งการเจริญพันธุ์ ต่อมาเมื่อศาสนาคริสเติบโตขึ้นมา ก็มีการรับเอาเรื่องราวดังกล่าวเข้ามาในศาสนาและนำไปโยงกับเรื่องของนักบุญในศานาคริตส์ ก็คือ นักบุญ วาเลนตินัส ซึ่งมีวันฉลองใกล้ๆกัน(แต่เดิมจะมีการจัดกันในวันที่ 15 กุมพาพันธ์ ส่วนของนักบุญ ก็คือ วันที่ 14 กุมพาพันธ์)
นักบุญ วาเลนตินัส ก็คือ นักบวชในศานาคริสต์ เรียกสั้นๆว่า เซนต์ วาเลนไทน์ ว่ากันว่า นักบุญท่านนี้ เป็นผู้ที่พลีชีพเพื่อศาสนาคริสต์ ซึ่งถูกประหารในกรุงโรม เมื่อปี ค.ศ.269 หรือ 270 โดยในขณะนั้น กษัตริย์ที่ปกครองกรุงโรม ได้เรียกตัวท่านมาเพื่อให้ละทิ้งการเผยแพร่ศาสนา เพื่อป้องกันมิให้ศาสนาดั้งเดิมของคนในกรุงโรมสูญหาย เพราะแต่เดิมในกรุงโรมก็มีศาสนาดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว ก็คือ ศาสนาของชาวโรมันในยุคโบราณซึ่งนิยมบูชาในเทพเจ้า แต่กษัตริย์กลับถูกปฎิเสธจากนักบุญท่านนั้น แต่ด้วยความที่เป็นนักบุญ ท่านจึงแค่ถูกจับขังคุกไว้
ต่อมาเมื่ออยู่ในคุก ท่านได้พบรักกับหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุมห้องขัง และทำหน้าที่อุปถรรมถ์คู่รักทุกคู่ และทำการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ต่อไป จนกระทั่งเรื่องดังกล่าว รับรู้ถึงองค์กษัตริย์ ทำให้องค์กษัตริย์โกรธท่านมาก จึงสั่งให้ทหารไปนำตัวมา และสั่งให้โบยวาเลนตินัส ก่อนจะบัญชาการให้ทหารนำตัวของเขาไปตัดศีรษะในตอนรุ่งเช้าของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งในคืนสุดท้ายก่อนตาย เขาได้เขียนจดหมายอำลาคนรักของเขา โดยลงท้ายจดหมายนั้นว่า "จากวาเลนไทน์คนรักของเธอ"
เรื่องราวของ วาเลนตินัส เป็นที่ร่ำลือไปทั่ว เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่รับรู้โดยทั่วไป และโดยเฉพาะกับผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ดังนั้น ชาวคริสต์จึงถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็น "วันแห่งความรัก" เพื่อรำลึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของนักบุญผู้นี้
2.วันดังกล่าวยังเป็น "วันเสียสาว" เป็นวันที่หนุ่มๆจะขอความสาวของหญิงผู้เป็นที่รัก และมีการหลับนอนกัน โดยมิได้ผ่านการสมรส หรือ การแต่งงานอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ค้านกับจริยธรรมอันดีงามของอิสลาม และถูกสั่งห้ามจากอัลเลาะห์(ซบ.)โดยเด็ดขาด ดังโองการอัลกุรอานที่ว่า
ความว่า
"และสูเจ้าอย่าเข้าใกล้การซินา เพราะแท้จริงมันเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และเป็นหนทางอันชั่วช้ายิ่ง" และการกระทำดังกล่าว ยังเป็นที่มาของโรคร้าย และสังคมที่เลวทราม ดังที่เราสังเกตุเห็นได้จากสังคมของเราในยุคปัจจุบัน
นีคือ สรุปจากเรื่องราวและประวัติของ "วันวาเลนไทน์" ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆเลยกับมุสลิม จึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องออกห่าง เพราะเป็นส่วนหนึ่งจากการสนับสนุนให้มีการหลับนอนกันโดยมิได้มีการสมรสอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามในศาสนาอิสลาม อีกทั้งท่านนบี(ซล.)ทรงกล่าวว่าความว่า "ใครที่ทำตัวเหมือนกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใดเขาก็ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มชนนั้น"
ฉนั้น ท่านพี่น้องที่รักทั้งหลาย จงห่างไกลจากการมีส่วนร่วมในวันดังกล่าวเถิด เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาหมู่ชนที่หลงผิดเหล่านั้ัน ... วัลลอฮู่อะอ์ลัม.
แล้วพบกันในโอกาสต่อไปครับ
วัสสลามู่อ้าลัยกุม ว่าเราะห์ม่าตุ้ลลอฮี่ ว่าบ้าร่อกาตุฮ์
# Rofikee Muhammad #
https://www.facebook.com/groups/422133821263587/permalink/631521436991490/