สวัสดีครับ ผมชื่อบอสนะครับ เกิดในครอบครัวธรรมดาๆ สมาชิกในครอบครัวมีคุณพ่อ คุณแม่ และมีพี่น้อง2คนครับ ซึ่งผมเป็นพี่ชายคนโต
กระทู้นี้อยากจะเล่าถึง สิ่งที่น้องของผมได้เจอมาตลอดช่วงชีวิตของเขาจนถึงปัจจุบันครับซึ่งเชื่อว่าน้องที่เป็นตุ๊ดเป็นเกย์หลายคนอาจจะเจอมาเหมือนกัน น้องผมเป็นตุ๊ดครับ ชื่อ น้องบูช
เราเกิดในครอบครัวคนจีนครับ บอกเลยว่าเรื่องแบบนี้ สำหรับการที่ลูกชายเป็นตุ๊ด ยากที่คนในครอบครัวจะเข้าใจและรับได้ครับ
ตั้งแต่เด็กๆ เรา 2 คน ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดครับ ไม่ว่าเป็นเรื่องการเรียน การเล่น (ขนาดเวลาเล่นเกมส์ Playstation เล่นได้เฉพาะเสาร์อาทิจตย์วันละ 1 ชม เองโหดร้ายไหม 5555+)
รวมถึงการพูด ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนต้องสั่งสอนอยู่แล้ว
แต่บ้านผมค่อนข้างที่จะเข้มงวดหน่อย พ่อแม่ค่อนข้างที่จะคาดหวังครับ โดยการที่ผมเกิดมาเป็นพี่คนโต ก็ย่อมได้รับแรงกดดันมากกว่าน้องเป็นธรรมดา หลายๆคนคงเข้าใจ เรียนก็ต้องได้ดี ไม่ทำตัวเสเพล ทำอะไรผิดหน่อย ก็เจอหยิกหูกับเจอฟาดด้วยไม้แขวนเสื้อตลอด ซึ่งผมนี่จะคอยปกป้องน้องตลอด แบบตีผมคนเดียวพอ เท่ห์มะ? 5555 ซึ่งทำให้ผมกับน้องช่วงวัยเด็กสนิทกันมากครับ โดยน้องจะเรียกผมว่า
"เฮียบอส"ตลอด
เมื่อเริ่มเข้าประถมศึกษา เราสองคนเรียนที่โรงเรียนเดียวกันครับ เป็นโรงเรียนคริสต์ เป็นโรงเรียนสหศึกษา ช่วงนั้น ต่างคนต่างเจอสังคมวัยเรียนกันคนละแบบ สำหรับผมเองไม่มีปัญหาครับ แต่น้องบูชนี่สิ โดนแกล้งตลอดเลย แล้วก็จะงอแง มาฟ้องตลอด ไอเราเป็นพี่ก็จะปลอบ แล้วก็ไปพูดกับคนที่มาหาเรื่องน้องเราว่า "มาแกล้งน้องเราทำไม?" หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีใครแกล้งน้องบูชแล้วครับ เพราะเกรงใจเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
จากนั้นเนื่องจากผมกับน้องอายุห่างกันราวๆ 2 ปีครับ พอขึ้น ม.1 ผมเลยต้องย้ายโรงเรียน ก็โรงชื่อดังย่านสะพานปลาครับ เป็นโรงเรียนชายล้วน จึงทำให้ผมกับน้องเริ่มที่จะห่างกันครับ น้องยังอยู่โรงเรียนเก่า ส่วนผมย้ายไปโรงเรียนใหม่ ช่วงๆแรกก็ไม่มีอะไรครับ แต่พอนานเข้า ผมรู้สึกเลยว่าน้องกับผมคุยกัน น้อยลง ทะเลาะกันบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น จนแทบไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนั้นจำได้ว่า
เสียใจนะ
หลังจากนั้นน้องก็ย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกันครับ ผมดีใจนะ แต่ว่า ด้วยระยะห่างหรืออะไรก็ไม่ทราบ ก็แทบที่จะไม่ได้คุยกันอีกนั่นแหละ จนตอนนี้เริ่มมีข่าวมาว่า น้องชอบไปอยุ่กับกลุ่มตุ๊ด อันนี้เพื่อนๆบอกมา เราก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดว่าเป็นเพื่อนในห้อง แต่นานๆไปพอเราสังเกตุเราก็รู้ครับ ว่าน้องเราไม่ใช่ผู้ชายแน่นอน ซึ่งส่วนตัวผมเองไม่ได้ติดอะไรครับ น้องยังไงก็เป็นน้อง อีกทั้งน้องก็ไม่ใช่เด็กเกเร ขยันด้วย แต่พ่อแม่นี่สิ ถ้ารู้แล้วจะเป็นยังไง ไม่อยากจะคิดเลย ซึ่งต้องนั้นเราก็เก็บเป็นความลับครับ เพราะน้องอยุ่บ้านก็ แมนนะ พูดเลย 5555
จนเป็นอีกครั้งที่ผมขึ้นมหาลัย ซึ่งต้องไปอยู่หอ คราวนี้ไม่ได้คุยกันเลยครับ เพราะ ตอนประถมกับมัธยมยังได้เจอกันที่บ้าน แต่นี่คือ ไม่เจอเลย นานๆทีตอนผมกลับบ้าน โดยจุดหักเหที่ทำให้พ่อแม่ทราบว่าน้องเป็นตุ๊ด มันอยู่ตรงนี้ครับ คือ น้องผมลดน้ำหนักอย่างหนัก คือ จริงๆแล้ว น้องบูชเป็นคนอ้วนครับ จ้ำม่ำน่ารัก 5555 แต่ว่าตอนนั้นลดจนผอมเลย คือเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย และเนื่องจากน้องบูชเริ่มเป็นตุ๊ดตั้งแต่ มัธยม น้องจึงดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นครับ คือผิวดีเหมือนผู้หญิง และกิริยาท่าทางเริ่มออกมากขึ้นจนทำให้คนแถวบ้านจับสังเกตุ แล้วมาฟ้องพ่อกับแม่ ยุ่งจริงๆครับ
วันนั้นผมกลับบ้านมาก่อน พ่อกับแม่ก็ถามว่า ทำไมน้องเป็นตุ๊ดแล้วไม่บอก?
ผมนี่หน้าชาเลยครับ ในใจก็คิด "รู้ได้ไงวะ?" ก็เลยทราบความว่า ไอคนแถวบ้านนี่ละมาบอก ผมนี่โดนว่าต่างๆนานาเลยครับ แบบทำไมไม่ชวนน้องไปอยุ่กลุ่มเพื่อนของเรา ไม่ชวนน้องเตะบอล?? ผมคิดในใจ ก็น้องเล่นวอลเล่ อยู่อะ จะชวนยังไงฟะ!!!? 5555 แต่ไม่ได้พูดอะไรนะ
จนน้องกลับมาบ้าน พ่อแม่ก็ถามครับ น้องบูชนี่ถลึงตาใส่ผมเลย คงนึกว่าผมมาฟ้องมั้ง "Gu ป่าวฟ้องเว้ยยยย"
ซึ่งน้องก็ตอบว่าไปเอามาจากไหน ป๊ากับม๊าคิดมาก ซึ่งไอการคาบข่าวจากเพื่อนบ้านที่มีลูกเรียนอยู่ที่เดียวกัน หรือการเม้าท์ของเพื่อนบ้าน ก็มาถึงป๊ากับม๊าเรื่อยๆครับ น้องบูชก็ปฏิเสธทุกครั้ง ในใจตอนนั้นสงสารน้องนะ คือ ก็เหมือนครอบครัวหลายๆคนที่ไม่รู้จะบอกพ่อแม่ยังไง ทั้งๆที่พ่อแม่ถามตอนนั้น ไม่ใช่ถามเพื่อให้ยอมรับและปรับความเข้าใจ แต่ถามเพราะไม่อยากให้น้องเป็นตุ๊ดแค่นั้น
จนวันที่ป๊าระเบิดลงก็มาถึง เหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาด ป๊าถามน้องว่า " _ึงเป็นตุ๊ดใช่ไหม" แบบถามย้ำๆ ผมนี่ตอนนั้นนึกว่าดูละครช่องเจ็ด น้องก็บอกป่าว(เสียงสั่น) ป๊าถามย้ำไปเรื่อยๆ น้องบูชก็ปฎิเสธและเริ่มจะร้องไห้ จบประโยคที่ อย่าให้รู้นะว่า _ึงเป็น!!!
บอกเลยนะ ตอนนั้นผมน้ำตาคลอเลย แต่ก็ทำไรไม่ได้
แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวครับ หลังจากนั้นป๊าเขาก็ยอมรับได้แล้วเป็นคนไปคุยกับม๊าด้วยว่า ให้ยอมรับน้อง
จนวันนึงป๊าก็จากโลกใบนี้ไป ผมเหมือนเป็น เสาหลักของบ้าน ทุกคน โดยเฉพาะญาติคาดหวังกว่าแต่ก่อนมาก
แต่ว่า บูชก็เข้มแข็งไม่แพ้กันนะ คอยอยู่เป็นเพื่อนแม่ ข้างๆแม่ เรื่องแคร์คนในบ้านคือ ต้องบูชอะ ผมไม่ได้เรื่องเลย
ที่สำคัญคือ บูชบวชให้ป๊าด้วย เข้าใจว่าน้องคงไม่อยากตัดผมสั้นหรอก
แต่บอสรู้สึกเลยว่า น้องบวชเพราะอยากบวชให้ป๊าจริงๆ ป๊าคงดีใจมากแน่ๆ
หลังจากนั้นด้วยการที่เราเหลือ 3 คน แม่ลูก เราก็เริ่มคุยกันมากขึ้น น้องบูชก็เริ่มเปิดตัวเองมากขึ้น แต่ตอนนั้นม๊ายังรับไม่ได้นะ
ด้วยการที่เราโตแล้ว วันนั้นจึงตัดสินใจที่จะคุยเรื่องนี้กับม๊าครับ "ใจความสำคัญคือ ให้ม๊ายอมรับในสิ่งที่น้องเป็น "
จำได้เลยว่าตอนพูดกับม๊า พูดไปร้องไห้ไป แต่ประโยคที่ทำให้ม๊ายอมเข้าใจคือตอนที่ผมพูดว่า "ม๊า ม๊ารู้ป่าว บอสว่าบูชมันลำบากมากนะที่เกิดมาเป็นแบบนี้ อยู่โรงเรียนก็โดนเพื่อนแกล้ง โดนสังคมนินทา และถ้าเราเป็นคนในครอบครัวไม่เปิดรับ น้องบูชจะไปพึ่งใคร เราน่าทำให้บ้านเป็นที่ๆน้องไว้พึ่งพิงนะม๊า ไม่งั้นน้องมันจะไม่เหลือใครเลย"
หลังจากนั้น ม๊าก็คุยกับน้องมากขึ้น จนสุดท้าย น้องบูชก็กล้าที่จะบอกม๊าตรงๆ จนวันนี้ครอบครัวเรามีความสุขดีครับ ล่าสุดน้องบูชจะเรียนจบแล้วเลยขอทำไปทำนม เพราะมีเพื่อนๆน้องชวนไปเป็นนางแบบ ซึ่งผมกับม๊าก็ตกลงกันและตัดสินใจให้ทำ แต่เรื่องแปลงเพศนี่รอก่อนนะ อยากให้น้องทำงานและเก็บเงินเอง
และทุกคนวันนี้น้องบูชก็ทำงาน Part Time เก็บเงินเอง แบ่งเบาภาระที่บ้าน เป็นเพื่อนกับแม่ เหมือนคุยกับแม่ถูกคอ เป็นลูกกตัญญูอะบอกไม่ถูก ผมนี่สู้ไม่ได้เลย น้องจะเห็นวันแม่ วันเกิดตัวเอง วันสำคัญต่างๆ เป็นเหมือนวันที่ต้องไปกราบแม่ตลอด ผมนี่นานๆที
จบแล้ว จริงๆเรื่องมันเยอะมาก แต่อยากจะสรุปใจความไม่ให้ยืดยาวเกินไป
สำหรับคนที่อ่านกระทู้นี้ ถ้ามีความรู้สึกและเจอสถานการณ์แบบน้องบูชที่ไม่รู้จะบอกคนที่บ้านยังไง ก็อยากให้กำลังใจว่า น้องๆไม่ใช่เป็นคนเดียวที่มีปัญหาในเรื่องนี้ ปัญหาทุกอย่างมีทางออกนะ สุดท้าย เราต้องรวบรวมความกล้าเพื่อบอก พวกท่านอยู่ดี อาจจะเริ่มบอกคนในครอบครัวที่สนิทก่อน ค่อยๆเปิดเผยตัวเองทีละนิด ให้พวกท่านเริ่มซึมซับ
สำหรับคนที่มีครอบครัว มีลูก ที่เป็นแบบน้องบูช อย่ารังเกียดเขาเลยนะ เขาก็เป็นคนเหมือนกัน เป็นอะไรก็ได้ขอให้เป็นคนดี ทุกวันนี้ก็แอบเสียใจที่น้องยังไม่ได้แบบเปิดเผยกับป๊าอย่างเป็นทางการ แต่อย่างที่บอกว่าป๊ารับได้และโอเครมากแล้ว ไม่อยากให้ใครหลายคนคิดได้เมื่อสายไปแล้ว เพราะยังไงเขาก็คือคนในครอบครัว
ก่อนจะผ่านมาถึงช่วงเวลานี้ พี่อยากจะสอนว่า คนในครอบครัว โดยเฉพาะ พ่อกับแม่ ท่านก็คือเป็นคนที่ลำบากใจที่สุด มันแน่นอนอยุ่แล้วว่า ท่านจะต้องเสียใจในตอนแรก อีกทั้งยังโดนคำนินทาจากคนรอบค้างและสังคม เคยมีคนพูดกับม๊าว่า "เลี้ยงยังไงให้ลูกเป็นแบบนี้" ม๊าก็เล่าให้ฟัง เราก็กอดกัน ให้กำลังใจกัน คนเราเลือกเกิดไมไ่ด้ครับ แต่เราเลือกที่จะเป็นคนดีได้
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://instagram.com/kanom_pung_ping/
https://www.facebook.com/ขนมปังปิ้ง-937825102961520
เมื่อผมมีน้องเป็นตุ๊ด :)
สวัสดีครับ ผมชื่อบอสนะครับ เกิดในครอบครัวธรรมดาๆ สมาชิกในครอบครัวมีคุณพ่อ คุณแม่ และมีพี่น้อง2คนครับ ซึ่งผมเป็นพี่ชายคนโต
กระทู้นี้อยากจะเล่าถึง สิ่งที่น้องของผมได้เจอมาตลอดช่วงชีวิตของเขาจนถึงปัจจุบันครับซึ่งเชื่อว่าน้องที่เป็นตุ๊ดเป็นเกย์หลายคนอาจจะเจอมาเหมือนกัน น้องผมเป็นตุ๊ดครับ ชื่อ น้องบูช
เราเกิดในครอบครัวคนจีนครับ บอกเลยว่าเรื่องแบบนี้ สำหรับการที่ลูกชายเป็นตุ๊ด ยากที่คนในครอบครัวจะเข้าใจและรับได้ครับ
ตั้งแต่เด็กๆ เรา 2 คน ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดครับ ไม่ว่าเป็นเรื่องการเรียน การเล่น (ขนาดเวลาเล่นเกมส์ Playstation เล่นได้เฉพาะเสาร์อาทิจตย์วันละ 1 ชม เองโหดร้ายไหม 5555+)
รวมถึงการพูด ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนต้องสั่งสอนอยู่แล้ว
แต่บ้านผมค่อนข้างที่จะเข้มงวดหน่อย พ่อแม่ค่อนข้างที่จะคาดหวังครับ โดยการที่ผมเกิดมาเป็นพี่คนโต ก็ย่อมได้รับแรงกดดันมากกว่าน้องเป็นธรรมดา หลายๆคนคงเข้าใจ เรียนก็ต้องได้ดี ไม่ทำตัวเสเพล ทำอะไรผิดหน่อย ก็เจอหยิกหูกับเจอฟาดด้วยไม้แขวนเสื้อตลอด ซึ่งผมนี่จะคอยปกป้องน้องตลอด แบบตีผมคนเดียวพอ เท่ห์มะ? 5555 ซึ่งทำให้ผมกับน้องช่วงวัยเด็กสนิทกันมากครับ โดยน้องจะเรียกผมว่า "เฮียบอส"ตลอด
เมื่อเริ่มเข้าประถมศึกษา เราสองคนเรียนที่โรงเรียนเดียวกันครับ เป็นโรงเรียนคริสต์ เป็นโรงเรียนสหศึกษา ช่วงนั้น ต่างคนต่างเจอสังคมวัยเรียนกันคนละแบบ สำหรับผมเองไม่มีปัญหาครับ แต่น้องบูชนี่สิ โดนแกล้งตลอดเลย แล้วก็จะงอแง มาฟ้องตลอด ไอเราเป็นพี่ก็จะปลอบ แล้วก็ไปพูดกับคนที่มาหาเรื่องน้องเราว่า "มาแกล้งน้องเราทำไม?" หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีใครแกล้งน้องบูชแล้วครับ เพราะเกรงใจเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
จากนั้นเนื่องจากผมกับน้องอายุห่างกันราวๆ 2 ปีครับ พอขึ้น ม.1 ผมเลยต้องย้ายโรงเรียน ก็โรงชื่อดังย่านสะพานปลาครับ เป็นโรงเรียนชายล้วน จึงทำให้ผมกับน้องเริ่มที่จะห่างกันครับ น้องยังอยู่โรงเรียนเก่า ส่วนผมย้ายไปโรงเรียนใหม่ ช่วงๆแรกก็ไม่มีอะไรครับ แต่พอนานเข้า ผมรู้สึกเลยว่าน้องกับผมคุยกัน น้อยลง ทะเลาะกันบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น จนแทบไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนั้นจำได้ว่า เสียใจนะ
หลังจากนั้นน้องก็ย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกันครับ ผมดีใจนะ แต่ว่า ด้วยระยะห่างหรืออะไรก็ไม่ทราบ ก็แทบที่จะไม่ได้คุยกันอีกนั่นแหละ จนตอนนี้เริ่มมีข่าวมาว่า น้องชอบไปอยุ่กับกลุ่มตุ๊ด อันนี้เพื่อนๆบอกมา เราก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดว่าเป็นเพื่อนในห้อง แต่นานๆไปพอเราสังเกตุเราก็รู้ครับ ว่าน้องเราไม่ใช่ผู้ชายแน่นอน ซึ่งส่วนตัวผมเองไม่ได้ติดอะไรครับ น้องยังไงก็เป็นน้อง อีกทั้งน้องก็ไม่ใช่เด็กเกเร ขยันด้วย แต่พ่อแม่นี่สิ ถ้ารู้แล้วจะเป็นยังไง ไม่อยากจะคิดเลย ซึ่งต้องนั้นเราก็เก็บเป็นความลับครับ เพราะน้องอยุ่บ้านก็ แมนนะ พูดเลย 5555
จนเป็นอีกครั้งที่ผมขึ้นมหาลัย ซึ่งต้องไปอยู่หอ คราวนี้ไม่ได้คุยกันเลยครับ เพราะ ตอนประถมกับมัธยมยังได้เจอกันที่บ้าน แต่นี่คือ ไม่เจอเลย นานๆทีตอนผมกลับบ้าน โดยจุดหักเหที่ทำให้พ่อแม่ทราบว่าน้องเป็นตุ๊ด มันอยู่ตรงนี้ครับ คือ น้องผมลดน้ำหนักอย่างหนัก คือ จริงๆแล้ว น้องบูชเป็นคนอ้วนครับ จ้ำม่ำน่ารัก 5555 แต่ว่าตอนนั้นลดจนผอมเลย คือเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย และเนื่องจากน้องบูชเริ่มเป็นตุ๊ดตั้งแต่ มัธยม น้องจึงดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นครับ คือผิวดีเหมือนผู้หญิง และกิริยาท่าทางเริ่มออกมากขึ้นจนทำให้คนแถวบ้านจับสังเกตุ แล้วมาฟ้องพ่อกับแม่ ยุ่งจริงๆครับ
วันนั้นผมกลับบ้านมาก่อน พ่อกับแม่ก็ถามว่า ทำไมน้องเป็นตุ๊ดแล้วไม่บอก?
ผมนี่หน้าชาเลยครับ ในใจก็คิด "รู้ได้ไงวะ?" ก็เลยทราบความว่า ไอคนแถวบ้านนี่ละมาบอก ผมนี่โดนว่าต่างๆนานาเลยครับ แบบทำไมไม่ชวนน้องไปอยุ่กลุ่มเพื่อนของเรา ไม่ชวนน้องเตะบอล?? ผมคิดในใจ ก็น้องเล่นวอลเล่ อยู่อะ จะชวนยังไงฟะ!!!? 5555 แต่ไม่ได้พูดอะไรนะ
จนน้องกลับมาบ้าน พ่อแม่ก็ถามครับ น้องบูชนี่ถลึงตาใส่ผมเลย คงนึกว่าผมมาฟ้องมั้ง "Gu ป่าวฟ้องเว้ยยยย"
ซึ่งน้องก็ตอบว่าไปเอามาจากไหน ป๊ากับม๊าคิดมาก ซึ่งไอการคาบข่าวจากเพื่อนบ้านที่มีลูกเรียนอยู่ที่เดียวกัน หรือการเม้าท์ของเพื่อนบ้าน ก็มาถึงป๊ากับม๊าเรื่อยๆครับ น้องบูชก็ปฏิเสธทุกครั้ง ในใจตอนนั้นสงสารน้องนะ คือ ก็เหมือนครอบครัวหลายๆคนที่ไม่รู้จะบอกพ่อแม่ยังไง ทั้งๆที่พ่อแม่ถามตอนนั้น ไม่ใช่ถามเพื่อให้ยอมรับและปรับความเข้าใจ แต่ถามเพราะไม่อยากให้น้องเป็นตุ๊ดแค่นั้น
จนวันที่ป๊าระเบิดลงก็มาถึง เหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาด ป๊าถามน้องว่า " _ึงเป็นตุ๊ดใช่ไหม" แบบถามย้ำๆ ผมนี่ตอนนั้นนึกว่าดูละครช่องเจ็ด น้องก็บอกป่าว(เสียงสั่น) ป๊าถามย้ำไปเรื่อยๆ น้องบูชก็ปฎิเสธและเริ่มจะร้องไห้ จบประโยคที่ อย่าให้รู้นะว่า _ึงเป็น!!!
บอกเลยนะ ตอนนั้นผมน้ำตาคลอเลย แต่ก็ทำไรไม่ได้
แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวครับ หลังจากนั้นป๊าเขาก็ยอมรับได้แล้วเป็นคนไปคุยกับม๊าด้วยว่า ให้ยอมรับน้อง
จนวันนึงป๊าก็จากโลกใบนี้ไป ผมเหมือนเป็น เสาหลักของบ้าน ทุกคน โดยเฉพาะญาติคาดหวังกว่าแต่ก่อนมาก
แต่ว่า บูชก็เข้มแข็งไม่แพ้กันนะ คอยอยู่เป็นเพื่อนแม่ ข้างๆแม่ เรื่องแคร์คนในบ้านคือ ต้องบูชอะ ผมไม่ได้เรื่องเลย
ที่สำคัญคือ บูชบวชให้ป๊าด้วย เข้าใจว่าน้องคงไม่อยากตัดผมสั้นหรอก
แต่บอสรู้สึกเลยว่า น้องบวชเพราะอยากบวชให้ป๊าจริงๆ ป๊าคงดีใจมากแน่ๆ
หลังจากนั้นด้วยการที่เราเหลือ 3 คน แม่ลูก เราก็เริ่มคุยกันมากขึ้น น้องบูชก็เริ่มเปิดตัวเองมากขึ้น แต่ตอนนั้นม๊ายังรับไม่ได้นะ
ด้วยการที่เราโตแล้ว วันนั้นจึงตัดสินใจที่จะคุยเรื่องนี้กับม๊าครับ "ใจความสำคัญคือ ให้ม๊ายอมรับในสิ่งที่น้องเป็น "
จำได้เลยว่าตอนพูดกับม๊า พูดไปร้องไห้ไป แต่ประโยคที่ทำให้ม๊ายอมเข้าใจคือตอนที่ผมพูดว่า "ม๊า ม๊ารู้ป่าว บอสว่าบูชมันลำบากมากนะที่เกิดมาเป็นแบบนี้ อยู่โรงเรียนก็โดนเพื่อนแกล้ง โดนสังคมนินทา และถ้าเราเป็นคนในครอบครัวไม่เปิดรับ น้องบูชจะไปพึ่งใคร เราน่าทำให้บ้านเป็นที่ๆน้องไว้พึ่งพิงนะม๊า ไม่งั้นน้องมันจะไม่เหลือใครเลย"
หลังจากนั้น ม๊าก็คุยกับน้องมากขึ้น จนสุดท้าย น้องบูชก็กล้าที่จะบอกม๊าตรงๆ จนวันนี้ครอบครัวเรามีความสุขดีครับ ล่าสุดน้องบูชจะเรียนจบแล้วเลยขอทำไปทำนม เพราะมีเพื่อนๆน้องชวนไปเป็นนางแบบ ซึ่งผมกับม๊าก็ตกลงกันและตัดสินใจให้ทำ แต่เรื่องแปลงเพศนี่รอก่อนนะ อยากให้น้องทำงานและเก็บเงินเอง
และทุกคนวันนี้น้องบูชก็ทำงาน Part Time เก็บเงินเอง แบ่งเบาภาระที่บ้าน เป็นเพื่อนกับแม่ เหมือนคุยกับแม่ถูกคอ เป็นลูกกตัญญูอะบอกไม่ถูก ผมนี่สู้ไม่ได้เลย น้องจะเห็นวันแม่ วันเกิดตัวเอง วันสำคัญต่างๆ เป็นเหมือนวันที่ต้องไปกราบแม่ตลอด ผมนี่นานๆที
จบแล้ว จริงๆเรื่องมันเยอะมาก แต่อยากจะสรุปใจความไม่ให้ยืดยาวเกินไป
สำหรับคนที่อ่านกระทู้นี้ ถ้ามีความรู้สึกและเจอสถานการณ์แบบน้องบูชที่ไม่รู้จะบอกคนที่บ้านยังไง ก็อยากให้กำลังใจว่า น้องๆไม่ใช่เป็นคนเดียวที่มีปัญหาในเรื่องนี้ ปัญหาทุกอย่างมีทางออกนะ สุดท้าย เราต้องรวบรวมความกล้าเพื่อบอก พวกท่านอยู่ดี อาจจะเริ่มบอกคนในครอบครัวที่สนิทก่อน ค่อยๆเปิดเผยตัวเองทีละนิด ให้พวกท่านเริ่มซึมซับ
สำหรับคนที่มีครอบครัว มีลูก ที่เป็นแบบน้องบูช อย่ารังเกียดเขาเลยนะ เขาก็เป็นคนเหมือนกัน เป็นอะไรก็ได้ขอให้เป็นคนดี ทุกวันนี้ก็แอบเสียใจที่น้องยังไม่ได้แบบเปิดเผยกับป๊าอย่างเป็นทางการ แต่อย่างที่บอกว่าป๊ารับได้และโอเครมากแล้ว ไม่อยากให้ใครหลายคนคิดได้เมื่อสายไปแล้ว เพราะยังไงเขาก็คือคนในครอบครัว
ก่อนจะผ่านมาถึงช่วงเวลานี้ พี่อยากจะสอนว่า คนในครอบครัว โดยเฉพาะ พ่อกับแม่ ท่านก็คือเป็นคนที่ลำบากใจที่สุด มันแน่นอนอยุ่แล้วว่า ท่านจะต้องเสียใจในตอนแรก อีกทั้งยังโดนคำนินทาจากคนรอบค้างและสังคม เคยมีคนพูดกับม๊าว่า "เลี้ยงยังไงให้ลูกเป็นแบบนี้" ม๊าก็เล่าให้ฟัง เราก็กอดกัน ให้กำลังใจกัน คนเราเลือกเกิดไมไ่ด้ครับ แต่เราเลือกที่จะเป็นคนดีได้
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้